xs
xsm
sm
md
lg

Man Nature Lab Center (ตอนที่ 1) : ตรวจเลือดไม่กี่หยด...เปลี่ยนชีวิตได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

คนจำนวนมากไม่ค่อยอยากจะตรวจเลือด เพราะด้านหนึ่งก็กลัวเข็ม แต่อีกด้านหนึ่งกลัวที่จะได้รับข่าวร้ายแล้วทำใจไม่ได้ แต่เมื่อได้อ่านซีรี่ย์บทความต่อไปนี่ท่านผู้อ่านอาจจะต้องเปลี่ยนใจใหม่ เพราะการตรวจที่เรากำลังจะนำเสนอต่อไปนี้เป็นการตรวจเพื่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งสำคัญเมื่อเราได้รู้ข้อมูลเฉพาะตัวเราเอง ว่าเราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร และเราอาจมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นจากการที่เรามีข้อมูลที่เพียงพอ

เพราะหากเราตัดสินใจปฏิวัติเรื่องสุขภาพของตัวเราเองนั้น ส่วนหนึ่งต้องมีข้อมูลและความรู้จากการศึกษาและวิจัยที่จะก่อให้เกิดปัญญา และอีกด้านหนึ่งคือการรู้ข้อมูลเฉพาะตัวเราเอง เพื่อที่จะได้นำความรู้จากการศึกษาและวิจัยมาบริหารจัดการกับข้อมูลที่ได้เจากตัวเราเองต่อไปกับสิ่งที่เราดำเนินชีวิตในอดีตและจะดำเนินต่อไปในอนาคต

ข้อสำคัญที่สุดภารกิจที่จะกล่าวต่อไปนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อวัตถุประสงค์ตรวจเพื่อ ขายยาเคมี หรือวิตามิน แต่เป็นการนำงานทางวิทยาศาสตร์เพื่อมารองรับงานธรรมชาติบำบัด

หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการทำให้งานธรรมชาติบำบัดเป็นงานทางด้านวิทยาศาสตร์

ด้วยเหตุผลดังกล่าวสื่อในเครือ ASTV-ผู้จัดการ จึงจัดตั้งองค์กรใหม่ขึ้นโดยร่วมมือกับ รศ.ดร.คล้ายอัปสร พงศ์รพีพร นักชีวเคมีผู้เชี่ยวชาญด้านการถอดรหัสพันธุกรรม ภายใต้ชื่อว่า "Man Nature Lab Center" หรือ "ศูนย์ห้องปฏิบัติการ แมน เนเจอร์" เพื่อนำงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์มารองรับงานธรรมชาติบำบัด และทำให้งานธรรมชาติบำบัดเป็นวิทยาศาสตร์ โดยมีความมุ่งหวังว่าประชาชนชาวไทยจะได้มีโอกาสพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น และพึ่งแพทย์หรือยาเคมีให้น้อยลง และหากจำเป็นต้องพึ่งแพทย์หรือยาเคมีก็จะได้รับรู้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการตัดสินใจ

ก่อนจะลงรายละเอียดในตอนต่อๆไป เรามาลองดูว่าในขั้นแรก Man Nature Lab Center จะทำภารกิจ 3 ด้านสำคัญกล่าวคือ

ภารกิจด้านที่หนึ่ง ตรวจอาหารต้องห้ามเฉพาะบุคคลเพื่อปฏิวัติการกิน ในรูปของภูมิแพ้อาหารที่แสดงอาการเฉียบพลัน อันเป็นสาเหตุของอาการ ลมพิษ, น้ำมูกไหล, จาม, บวม, หอบหืด ฯลฯ..

และ "ภูมิแพ้อาหารแฝงเรื้อรัง" ที่ไม่แสดงอาการเฉียบพลัน ที่ก่อให้เกิดอาการได้หลายชนิด เช่น ปวดหัว ปวดหัวไมเกรน นอนไม่หลับ ปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ ขอบตาดำหรือมีถุงใต้ตา อารมณ์ซึมเศร้าและแปรปรวน อ่อนเพลีย อ่อนล้า ลมพิษ กลาก ผิวบวมน้ำ ท้องผูก ท้องร่วง จุกเสียด ภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง จมูกอักเสบ คัดจมูก ไซนัสอักเสบ หอบหืด ฯลฯ

อาการที่กล่าวมาข้างต้นมักจะจบลงด้วยการกินยาเคมีหลากหลายชนิดในแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งยาเหล่านี้มีผลเสียต่อตับและไต และอาจก่อให้เกิด "โรคลูกโซ่" ที่เกิดขึ้นจากยาเคมีอีกมากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ ตับ ไต ฯลฯ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ต้องกินยาเคมีมากขึ้นไปเรื่อยๆ

ซึ่งหากเรามีข้อมูลที่เพียงพอของตัวเราเองในการหยุดอาหารที่ไม่พึงประสงค์เฉพาะตัวเราที่ก่อให้เกิดอาการเหล่านี้ได้ เราก็จะมีอาการเหล่านี้น้อยลงไปหรือหายไปในที่สุด โดยที่ไม่ต้องกินยาเคมีเพื่อที่จะได้ไม่ต้องเกิดโรคลูกโซ่ต่อไป


ภายใต้หลักคิดที่ว่าเพราะคนแต่ละคนมีอาหารต้องห้ามไม่เหมือนกัน อาหารบางอย่างดีกับหลายคนแต่อาจไม่ดีกับคนบางคน ดังนั้น "หยุดอาหารบางชนิด เพื่อหยุดโรคและหยุดยาอีกหลายชนิด"

ภารกิจด้านที่สอง คือการตรวจโลหะหนักจากเลือด
เพื่อทำให้เราได้รู้ว่าโลหะหนักที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายคืออะไรบ้าง เช่น แคดเมียม ปรอท ตะกั่ว อลูมิเนียม ดีบุก ทองแดง ฯลฯ โลหะหนักเหล่านี้ จะก่อให้เกิดอนูมูลอิสระทำลายเซลล์และอวัยวะร่างกายเราให้เสื่อมลง ทำให้ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์บางชนิด อีกทั้งยังไปแทนที่โลหะสำคัญของเอนไซม์ ทำให้เอนไซม์ทำงานได้น้อยลงหรือไม่ได้เลย และทำให้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของชีวโมเลกุล

สำหรับโรคที่เกิดจากโลหะหนักได้แก่ โรคมะเร็ง โรคไต โรคตับอักเสบ โรคความดันโลหิตสูง ปวดกระดูกสันหลัง ปวดขา เหน็บชา บวม เนื้อเยื่อจมูกอักเสบ โรคโลหิตจาง โรคออทิสติก โรคสมองเสื่อม โรคความจำเสื่อม ท้องร่วง วิงเวียนศีรษะ ฯลฯ

หากเราตรวจสอบโลหะหนักในกระแสเลือดได้ ย่อมทำให้เราสามารถ "เปลี่ยนพฤติกรรมและการกินใหม่ได้" โดยอาจต้องมีการเปลี่ยนไส้กรองน้ำในครัวเรือนหรือที่ทำงานใหม่ เปลี่ยนแหล่งอาหารใหม่ที่ไร้สารพิษ เปลี่ยนเครื่องฟอกอากาศใหม่ หรือแม้กระทั่งกระบวนการขับโลหะหนักของร่างกายออกซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การรับประทานอาหาร การล้างลำไส้ และการขับน้ำดีออกผ่านการล้างพิษตับ จะทำให้เราปลอดจากอาการที่ไม่ต้องพึงประสงค์ ไม่ต้องกินยา และทำให้เราสามารถมีสุขภาพที่ดีได้เพื่อป้องกันก่อนที่จะป่วย หรือแม้ป่วยแล้วก็ลดอาการลงได้

ภายใต้หลักคิดที่ว่า "รู้โลหะหนักก่อน เปลี่ยนการกินได้ก่อน เปลี่ยนพฤติกรรมได้ก่อน ขจัดโลหะหนักได้ก่อน จะหยุดป่วยได้โดยไม่ต้องกินยา"

ภารกิจที่สาม คือการถอดรหัสพันธุกรรม หรือ DNA เพื่อเปลี่ยนก่อนป่วย
การถอดรหัสพันธุกรรมจะทำให้เราสามารถรู้ได้ว่า มีรหัสพันธุกรรมของเรากลายพันธุ์เปลี่ยนแปลงทำให้มีความเสี่ยงจะเกิดโรคร้ายหรือไม่ โดยเฉพาะ โรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ ฯลฯ ถ้าเรารู้ก่อนที่จะป่วยเป็นโรคร้ายก็จะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนได้เพื่อให้รหัสพันธุกรรมเราไม่พัฒนาต่อไปกลายเป็นโรคร้าย รวมถึงการปรับพฤติกรรมและการกินเพื่อให้รหัสพันธุกรรมกลับมาใกล้เคียงปกติได้มากขึ้นได้

ข้อดีของการรู้ก่อนคือสามารถปรับพฤติกรรมและการกินก่อนป่วยจริงได้ และยังสามารถใช้ข้อมูลนี้ไปบริหารจัดการเรื่องการประกันสุขภาพเพื่อรองรับแผนบริหารทางการเงินในยามเจ็บป่วยให้ครอบคลุมโรคร้ายที่เรามีความเสี่ยงจะเป็นได้ อีกทั้งแม้จะป่วยแล้วก็ยังสามารถใช้เป็นข้อมูลตัดสินใจว่ายาเคมีและการฉายรังสีจะได้ผลจริงหรือไม่ก่อนที่จะใช้จริงกับคนๆนั้น โดยไม่ต้องลองผิดลองถูกอีกต่อไป

แต่ถ้าเรารู้อาหารที่ไม่เหมาะกับเรา รู้ว่ามีโลหะหนักที่ทำให้เกิดโรค และถอดรหัสจนแน่ใจว่าเรามีเกณฑ์เสี่ยงจากโรคร้าย ก็จะสามารถนำไปสู่การป้องกันแบบบูรณาการได้เพื่อเป็นข้อมูล ความรู้ และปัญญา ในการปฏิวัติสุขภาพอย่างแท้จริง

ท่านใดสนใจสามารถเข้าโครงการตรวจเลือดเปลี่ยนชีวิตได้ทุกวันจันทร์-อาทิตย์ เวลา 10.00 น. -18.00 น. ที่อาคารบี บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ ติดต่อได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 096-065-3684 และ 096-065-3685

เพราะเราเชื่อว่าข้อมูลและองค์ความรู้คือพลังอำนาจของการเปลี่ยนแปลง !!!



กำลังโหลดความคิดเห็น