xs
xsm
sm
md
lg

“ภูมิแพ้อาหารแฝง” อันตรายที่ต้องรู้ / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ หอบหืด คัดจมูก ปัญหาลมพิษ กลาก ผื่นคัน ผิวบวม ผิวบวมน้ำ ขอบตาดำหรือมีถุงใต้ตา ปวดหัว ปวดหัวไมเกรน นอนไม่หลับ ภาวะลำไส้รั่ว ท้องผูก ท้องเสีย จุก ปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ มีปัญหาการติดเชื้อยีสต์ในช่องปาก ในช่องคลอด และในลำไส้ อารมณ์ซึมเศร้าและแปรปรวน โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง”

อาการที่กล่าวมาข้างต้นนี้ หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่าสาเหตุส่วนหนึ่งอาจจะมาจาก “ภูมิแพ้อาหารแฝง” ที่เกิดจากอาหารที่เรากินอยู่เป็นประจำก็ได้ หรือที่เรียกว่า Food Intolerance

อาการเหล่านี้จะเริ่มทยอยหายไปครึ่งหนึ่ง เมื่อหยุดอาหารที่เราไม่พึงประสงค์ประมาณ 21 วันขึ้นไป อาหารบางอย่างต้องหยุดกินไปตลอดชีวิต อาหารบางอย่างต้องหยุดกินไปเป็นเวลา 6 เดือน อาหารบางอย่างให้กินได้เพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

ศูนย์ห้องปฏิบัติการ Man Nature Lab ณ บ้านพระอาทิตย์ ได้เคยตรวจเลือดและสำรวจการตรวจโรคภูมิแพ้อาหารแฝง 20 อันดับแรกที่มากที่สุดจากคนไทยที่เข้ามาตรวจจำนวน 623 คน ดังนี้

แต่ละคนจะมีอาหารที่ตัวเองแพ้ไม่เหมือนกัน แต่เป็นที่น่ายินดีว่าคนที่มีอาการที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อหยุดอาหารตามที่ได้ตรวจเลือดมา จะพบว่าอาการเจ็บป่วยหลายอย่างได้ลดน้อยไป หรือหายไปได้โดยไม่ต้องใช้ยาเคมีใดๆ ทำให้ไม่ต้องได้รับผลข้างเคียงจากการกินยาแก้ภูมิแพ้ที่จะทำลายตับหรือไต

ขอย้ำว่าภูมิแพ้อาหารแฝง ไม่เหมือนกับภูมิแพ้เฉียบพลัน เพราะภูมิแพ้เฉียบพลันแม้จะอันตรายได้ถึงชีวิต แต่เราจะรู้ตัวก่อนเพราะได้จากประสบการณ์ชีวิตที่เรากินอะไรแล้วเกิดการแพ้ทันทีเมื่อเกิดการย่อยอาหาร ร่างกายจึงหลั่งฮีสตามีนออกมาอย่างรวดเร็ว สามารถตรวจด้วยการสะกิดผิวหนัง แต่เนื่องด้วยอาการที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นโดยเฉียบพลัน เราจึงมักจะเรียนรู้ได้ว่าอะไรที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเกิดอาการเช่นนั้นและหลีกเลี่ยงได้โดยไม่ต้องตรวจ (ยกเว้นว่าไม่รู้ตัว)

ส่วนภูมิแพ้อาหารแฝงนั้น มีอาการข้างเคียงได้หลายชนิด จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและมองข้ามเรื่องอาหารไป และอาการที่เกิดขึ้นหลังการย่อยอาหารนั้นอาจไม่เกิดขึ้นทันทีแต่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนั้นไปได้นานถึง 72 ชั่วโมง ซึ่งทำให้คนๆ นั้นไม่สามารถจำได้ว่าอาหารที่ทำให้ตัวเองเกิดภูมิแพ้อาหารแฝงนั้นคืออะไร

เพราะใน 1 มื้อ เรากินอาหารได้หลายอย่าง แม้ใน 1 จานก็อาจจะมีส่วนผสมของอาหารได้หลายชนิด และถ้าเรารอไปถึง 1-3 วัน อาหาร (9 มื้อ) เราจึงแทบไม่มีทางจะรู้หรือจำได้เลย ว่าอาหารชนิดใดเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้อาหารแฝงที่แท้จริง

ปัญหาภูมิแพ้เฉียบพลันที่เราเรียนรู้จากอาการที่เกิดขึ้นได้ทันทีและอาจถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นกับคนทั่วไปได้เพียงแค่ 2% แต่สำหรับภูมิแพ้อาหารแฝงนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ขึ้นอยู่กับว่าอาหารชนิดนั้นเราแพ้หรือไม่อย่างไร?

จริงอยู่ว่า “จมูกอักเสบ ไซนัสอักเสบ หอบหืด คัดจมูก ปัญหาลมพิษ กลาก ผื่นคัน ผิวบวม ผิวบวมน้ำ ขอบตาดำหรือมีถุงใต้ตา ปวดหัว ปวดหัวไมเกรน นอนไม่หลับ ภาวะลำไส้รั่ว ท้องผูก ท้องเสีย จุก ปวดกล้ามเนื้อและปวดข้อ มีปัญหาการติดเชื้อยีสต์ในช่องปาก ในช่องคลอด และในลำไส้ อารมณ์ซึมเศร้าและแปรปรวน โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง ฯลฯ เป็นอาการที่ไม่ได้ทำให้คนเสียชีวิต แต่คนเหล่านี้อาจได้รับผลข้างเคียงและเสียชีวิตจากการกินยาตลอดชีวิต

แม้คนส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้น เมื่อหยุดอาหารที่เราไม่ควรกิน แต่บางคนหนักกว่านั้นคือเป็นภูมิแพ้อาหารแฝงกับอาหารจำนวนมากจนแทบจะกินอะไรไม่ได้อีกเลย เพราะกินอะไรก็แพ้ไปหมด และคนในยุคนี้มักจะเป็นโรคภูมิแพ้อาหารแฝงกันมากขึ้นน่าจะเป็นเพราะสาเหตุดังต่อไปนี้

1.เกิดความบกพร่องของเอนไซม์ตามธรรมชาติ เช่น ร่างกายผลิตเอนไซม์แลคเตสได้น้อยลงหลังอายุ 2 ขวบ แต่เรายังดื่มนมอยู่ ทำให้ไม่สามารถย่อยแลคโตสในนมได้

2.ปริมาณการสังเคราะห์เอนไซม์ในร่างกายลดลง จากอายุที่มากขึ้นและอาหารที่บริโภคมากเกินไป ซึ่งสามารถแก้ได้ด้วยการกินปริมาณอาหารให้ลดลง บริโภคอาหารสดที่ไม่ผ่านความร้อนเกิน 47 องศาเซลเซียสให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มปริมาณเอนไซม์จากอาหาร เช่น ผักสลัดสด น้ำผักผลไม้สดปั่น หรือไม่ก็ต้องบริโภคจากการหมักพืชผักผลไม้ในเวลาที่พอเหมาะ (ไม่สั้นไปและไม่นานไป) และต้องไม่มีแบคทีเรียก่อโรคด้วย

3.ปริมาณแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลำไส้ (Probiotic) ลดลง สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการกินยาปฏิชีวนะสะสมมากเกินไป ทำให้แบคทีเรียชนิดนี้มีปริมาณน้อยลง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือทำให้เชื้อยีสต์ชนิดแคนดิด้าจะอาศัยจังหวะที่แบคทีเรียที่เป็นประโยชน์มีปริมาณลดลง เข้าทำการชิงพื้นที่ขยายตัวเพิ่มจำนวนในลำไส้ให้มากขึ้น ทำให้เกิดภาวะลำไส้รั่ว หรือลำไส้บวมอักเสบ ทำให้กินอะไรก็จะทำให้โมเลกุลมีขนาดใหญ่เกินไปถูกดูดซึมเข้าไปในลำไส้ได้ง่ายและกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมและร่างกายตอบสนองสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นสารก่อภูมิแพ้ หากเป็นกรณีนี้สามารถแก้ปัญหาได้ 3 ทางคือ

1.ลดจำนวนยีสต์แคนดิด้า ด้วยการดื่มน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริกเป็นส่วนใหญ่ เมื่อกรดลอริกถูกย่อยแล้วก็จะกลายเป็นโมโนลอริน ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อยีสต์แคนดิด้าได้

2.เพิ่มจำนวนแบคทีเรียชนิดดีในกลุ่มโปรไบโอติกจากอาหารบางชนิดที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์ และไม่ผ่านความร้อนใดๆ เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว น้ำหมักจากผักผลไม้ (กระบวนการผลิตและบรรจุภัณฑ์ต้องสะอาดปราศจากเชื้อก่อโรค) เนยแข็ง ผักดอง กะหล่ำปลีดอง กิมจิ มิโซะ ถั่วหมักนัตโตะ โยเกิร์ตจากนมถั่วเหลือง หรือโยเกิร์ตจากนมมะพร้าว ทั้งนี้จะต้องแน่ใจว่าเมื่อตรวจภูมิแพ้อาหารแฝงแล้วจะต้องไม่แพ้อาหารเหล่านี้ด้วย ถ้าแพ้มากก็ควรจะกินแบคทีเรียโปรไบโอติกในรูปของแคปซูลแทน

3.เพิ่มจำนวนอาหารพรีไบโอติกที่เพิ่มแบคทีเรียชนิดดี เช่นในกลุ่มใยอาหาร เช่น ผักสด ผลไม้สด อินนูลิน แก่นตะวัน หัวหอมกระเทียม ดื่มน้ำให้มากเพื่อช่วยการทำงานของใยอาหาร เพิ่มสารในกลุ่มฟีนอลที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เช่น ถั่วเมล็ดกลม ถั่วเมล็ดแบน ถั่วเมล็ดเล็ก ถั่วลิสง สมุนไพรและเครื่องเทศ ผลไม้ชนิดรับประทานทั้งเปลือก ผลเบอรี่ น้ำส้มสายชู ส่วนอาหารที่ให้ผ่านความร้อน ได้แก่ มะเขือเทศ ผักกาดขาวปลี ผักกาดขาว ผักกวางตุ้งจีน ฯลฯ

ประการสำคัญที่สุดในระหว่างการปรับพฤติกรรมการกินใหม่นั้น ควรจะต้องตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง เพื่อทำให้เรารู้และตระหนักว่าอาหารชนิดใดที่ควรหลีกเลี่ยง ซึ่งที่ Man Nature Lab สามารถตรวจเลือดเพียงไม่กี่หยดเพื่อให้ทราบภูมิแพ้อาหารแฝงได้มากถึง 221 ชนิด ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากเพราะหากเรารู้และหลีกเลี่ยงได้ ก็จะทำให้เราไม่ต้องมีอาการที่ไม่พึงประสงค์และทำให้ไม่ต้องรับผลข้างเคียงจากยาเคมีโดยไม่จำเป็นอีกต่อไป
สนใจติดต่อคลีนิคเทคนิคการแพทย์ Man Nature Lab ได้ที่ อาคารบี บ้านพระอาทิตย์ ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงครามเขตพระนคร เปิดให้บริการทุกวันอังคารถึงวันอาทิตย์เวลา 10.00 น.-18.00 น. โทรศัพท์ 096-065-3684, 096-065-3685


กำลังโหลดความคิดเห็น