xs
xsm
sm
md
lg

จับทาง คสช.หั่นทิ้งประชามติ ปิดจุดเสี่ยงร่าง รธน.ใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**ช่วงขวบเดือนแรกหลังรัฐประหาร เรียกได้ว่าไม่ต่างจากช่วงฮันนีมูน เพราะดูเหมือนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำอะไรก็ดูดีไปเสียหมด
จึงไม่แปลกที่ผลโพลเกือบทุกสำนัก ยกให้ “บิ๊กตู่”ตัวลอยติดลมบน ขึ้นหึ้งเป็น “นายกรัฐมนตรี”ชนิดนอนมา ไม่มีคู่แข่งคนไหนจะมาเบียดเสียดเข้าป้ายไปได้
และตามสายข่าววงในแทบทุกคน ฟันธงเป็นเสียงเดียวกันว่า “บิ๊กตู่”จะนั่งตำแหน่งนายกฯ ด้วยตัวเอง หลังจากเกษียณอายุราชการ และลงจากตำแหน่งหัวหน้าคสช. ตามสูตร
แต่กว่าจะถึงวันปรับโหมดตัวเองจากนายทหารจอมเด็ดขาด ไปสวมสูทหล่อเนี๊ยบเข้าไปนั่งเก้าอี้ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล “บิ๊กตู่” ต้องเจอกับมรสุมอีกหลายระลอก ที่จะถาโถมซัดเข้าใส่
ล่าสุดมีข่าวรั่ว-ข่าวหลุด ออกมาว่า “วิษณุ เครืองาม”ที่ปรึกษา คสช. ด้านกฎหมาย ได้นำ รัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งผ่านการร่างจาก “หัวกะทิ”ในคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษ ซึ่งตั้งขึ้นมาปฏิบัติภารกิจเฉพาะให้ คสช.พิจารณาแล้ว
โดยในทุกประเด็น คสช.เห็นชอบเกือบหมด ไม่มีติดขัด-ไม่มีทักท้วง เพราะไว้ใจฝีไม้ลายมือของ วิษณุว่าสามารถอุดช่องโหว่ได้ทุกช่อง
แถม คสช.ได้ตั้งชุดทำงานพิเศษขึ้นมา ตรวจสอบ ธรรมนูญชั่วคราว ของคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษด้วย ทำให้การตรวจทาน-ตรวจสอบ วิเคราะห์ข้อดี-ข้อเสีย ของธรรมนูญชั่วคราวแต่ละมาตรา เป็นไปอย่างรอบคอบ
ทว่า คสช.ติดใจในประเด็นการ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”ซึ่งมีการระบุขั้นตอนอยู่ใน ธรรมนูญชั่วคราว ด้วย โดยกำหนดสัดส่วนคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เอาไว้ 35 คน มาจากสภาปฏิรูป 20 คน คณะรัฐมนตรี (ครม.) 5 คน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 5 คน และคสช. 5 คน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สัดส่วนที่แบ่งออกมานั้น หากสังเคราะห์ถึงเนื้อในแล้ว เรียกได้ว่ามาจาก คสช.ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ คสช. จะต้องชงชื่อสภาปฏิรูป ชงชื่อสนช. ชงชื่อครม. เองด้วย
เรียกได้ว่างานนี้ “คนนอก”ที่ คสช.ไม่ได้รับเชิญ ห้ามเตะต้อง-ออกความเห็นในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเด็ดขาด
งานช้างของ คสช.ในการ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เรื่องการตั้งคนขึ้นมาดูแล อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตราบใดที่ “บิ๊กตู่”เลือกใช้บริการ “เนติบริกร”จากค่าย “กฤษฎีกา”
แต่ประเด็นสำคัญที่ คสช. ต้องการให้ตัดออกจาก ธรรมนูญชั่วคราว คือการกำหนดให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องผ่านการทำ “ประชามติ”ด้วย ภายหลังผ่านความเห็นชอบจากสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)
คสช. จึงสั่งการให้ วิษณุไปปรับแก้ถ้อยคำเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เนื่องจาก คสช. ต้องการที่จะนำ ธรรมนูญชั่วคราว มาบังคับใช้โดยเร็ว
เหตุผลที่ คสช. เลือกที่จะไม่ให้การทำประชามติมีผลบังคับอยู่ใน ธรรมนูญชั่วคราว เพราะแม้กระบวนการทำประชามติ จะได้รับการยกให้เป็นกระบวนการในการแสวงหาทางออก หากมีความขัดแย้งในประเด็นสำคัญๆ แต่ต้องยอมรับว่า มีความเสี่ยงสูง หากเอาอนาคตไปแขวนไว้กับการออกเสียงประชามติ
เพราะได้มีการวางบรรทัดฐานไว้แล้วว่า การออกเสียงประชามติ จะต้องได้เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง ไม่ใช่เสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิ ซึ่งขณะนี้ประชากรไทยที่มีสิทธิเลือกตั้ง และออกเสียงประชามติ มีอยู่ 45 ล้านเสียง เมื่อการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 57 ที่ผ่านมา
**เสียงข้างมากจะต้องได้ถึง 23 ล้านเสียง จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ดูได้จากช่วงปลายสมัยพรรคเพื่อไทย ที่มีความพยายามในการฉีกรัฐธรรมนูญ แต่ก็ถูกสกัดไว้โดยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ไล่ส่งให้ไปทำประชามติก่อนที่จะลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระที่ 3 แต่จนแล้วจนรอด พรรคเพื่อไทยที่คุยโวว่ามีฐานเสียงไม่น้อยกว่า 20 ล้านคนทั่วประเทศ ก็ไม่กล้าเดินหน้าชน เพราะติดล็อกเรื่องคะแนนเสียงประชามติที่ว่า ถึงขนาดดิ้นรนที่จะแก้ไขกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติให้รู้แล้วรู้รอด
และแทบไม่ต้องเดาหาก คสช. เลือกใช้การประชามติมาอยู่ในออปชั่นการร่างรัฐธรรนูญใหม่ด้วย ก็จะเข้าทาง“ขั้วอำนาจเก่า”ที่เตรียมเดิมเกมใต้ดิน รณรงค์ให้ลิ่วล้อ “โหวตโน - โนโหวต”เตะตัดขา คสช. อย่างแน่นอน
**หากสุดท้ายร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติเข้าจริงๆ มีหวังต้องพังกันทั้งขบวน
เป็นเหตุให้ คสช.เลือกที่จะ “เพลย์เซฟ”และสั่งให้ปรับเปลี่ยนถ้อยคำที่เกี่ยวข้องกับการทำประชามติเสียใหม่ เพราะไม่อยากเสี่ยงกับความไม่แน่นอน ที่อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ
การตัดออก หรือปรับเปลี่ยนถ้อยคำใน ธรรมนูญชั่วคราว ทางคสช.ได้ประเมินดูแล้วว่า มีได้มากกว่าเสีย แน่นอนว่าต้องเปิดช่องให้ “นักวิชาการ-คนเสื้อแดง”ออกมามีแอคชั่น แหกปากเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ก็รู้กันดีว่า หาได้น้อยคนที่จะอาจหาญมาวิพากษ์วิจารณ์ คสช.ในยามนี้
อีกทางหนึ่ง คสช.ประเมินว่า หากปล่อยให้กำหนดการทำประชามติไว้ใน ธรรมนูญชั่วคราวเหมือนผูกเงื่อนตายเอาไว้ หากกระแสไม่เป็นไปในทางบวก แล้วจะไม่ทำประชามติ ก็ไม่ได้แล้ว เพราะถือเป็นกฎหมายไปแล้ว แต่หากไม่ระบุไว้ในธรรมนูญชั่วคราว แล้วรอเช็คกระแสดู โดยใช้ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เข้าไปสำรวจความคิดเห็นแบบละเอียด
**หากเรตติ้ง “บิ๊กตู่ - คสช.”ยังไม่ตก จะกลับลำมาทำประชามติ ก็ไม่สาย ตรงกันข้าม หากเรตติ้งตกก็สามารถทำเนียนลืมการทำประชามติ ก็ยังง่ายดายเสียกว่า
นั่นเพราะ คสช. มีบทเรียนมาจากยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ตัดสินใจยุบสภา เพราะคิดคำนวณแล้วว่า กระแส“ไม่เอาทักษิณ” พุ่งปรี๊ด แล้วคะแนนความนิยมพรรคประชาธิปัตย์ ผนวกกับพรรคภูมิใจไทย สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
แต่เอาเข้าจริง ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งไม่กี่วัน คะแนนความนิยมของ“เพื่อไทย”ทิ้งขาด จนอภิสิทธิ์ ต้องขอแรง “บิ๊กตู่” ออกมาจ้อหน้าจอทีวี ให้เลือกคนดีมาแล้ว แต่ก็ยังแพ้แบบทิ้งขาดม้วนเดียวจบ
หรือหากจะกำหนดให้การออกเสียงประชามติ จะอาศัยเสียงเกินครึ่งหนึ่งของผู้ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งก็ตาม แต่ คสช. ย่อมไม่อยากประมาท เพราะหาก“แพ้โหวต”ขึ้นมา รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แทบที่จะไร้ความหมายไปเลย
เพราะอย่างการลงประชามติ “รัฐธรรมนูญ 50”เมื่อเดือนสิงหาคม 2550 ที่แม้จะผ่านการออกเสียงประชามติ แต่ก็ไม่ใช่งานหมูๆ อย่างที่คิด ช่วงโค้งสุดท้ายรัฐบาลทหารยังต้องปูพรม รณรงค์ธงเขียวให้พรึ่บพรั่บทั่วเมืองไปหมด เมื่อระฆังหมดยก ก็ได้รับชัยชนะ 14 ต่อ 10 ล้านเสียง แต่รัฐธรรมนูญก็ผูกติดมากับวาทกรรม “รับไปก่อน แก้ทีหลัง”
**ฉะนั้น อยู่แบบเพลย์เซฟ เลือกเล่นในมุมที่ไม่เสี่ยงมากนัก“บิ๊กตู่ - คสช.”น่าจะปลอดภัยมากกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น