พูดเรื่องรักเรื่องใคร่เนี่ย ไม่ค่อยสันทัดกรณีเลย แม้รู้เห็นโลกมานานก็ยังละอ่อน-อ่อนหัดอยู่เหมือนเพื่อนคนหนึ่ง เจอมันทีไรก็ถามว่า “เจอสเป็กหรือยัง” มันก็ตอบว่า “ยัง” ทุกครั้งไป จนบัดนี้ไม่รู้ว่ามันเจอหวานใจหรือยัง เพราะไม่เคยพบเห็นมันอีกเลย
เพื่อนคนนี้มันกำหนดลักษณะคนที่จะมาเป็นแฟนหรือคู่ชีวิตของมัน ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ขนาดของอก เอว สะโพก ส่วนสูง สีผิว ความรู้ ความรวย ฉลาด สวย หวาน ฯลฯ
นี่มันความรักแบบไหน? แต่มันก็เป็นความรักแบบหนึ่งที่มีอยู่จริง ถ้าไม่รู้ผ่อนปรนลดสเป็กลงบ้าง ก็ยากที่จะหาคนรักได้ในชาตินี้ นอกจากปาฏิหาริย์เมตตา
“ชีวิตคือการเดินทาง ออกจากบ้าน แล้วกลับบ้าน” ก่อนเดินทางต่อไป ฟังเรื่องเล่าเพื่อปรับสภาพร่างกายสักหน่อยดีไหม?
ครั้งหนึ่ง มูลลา นัสรูดิน ไปชมภาพยนตร์กับภรรยา ทั้งสองแต่งงานกันมาแล้วอย่างน้อย 20 ปี ภาพยนตร์ดังกล่าว เป็นหนึ่งในหนังต่างประเทศที่มีฉากเซ็กซ์อันเร่าร้อน เมื่อทั้งสองออกมาจากโรงภาพยนตร์ภรรยาพูดขึ้นว่า...
“นัสรูดิน คุณไม่เคยรักฉันเหมือนที่นักแสดงชายพวกนั้นทำในหนังเลยนะ ทำไมล่ะ?”
นัสรูดิน ตอบว่า “เธอจะบ้าหรือ? รู้มั้ยว่าพวกเขาได้ค่าตัวในการจ้างให้ทำแบบนั้นเท่าไหร่?”
แหม...คุณภรรยาปรารถนาจะให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ในครอบครัวบ้าง ไงคุณสามีไม่เล่นด้วย กลับแถพูดจาประสาบางความจริงซะนี่ แล้วอย่างนี้ จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร
บางความจริงของคุณสามี ทำให้มองเห็นว่า คนเราอยู่กันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีรักให้กันเลย เพราะคุณจะรักก็ต่อเมื่อความรักให้ผลตอบแทนบางอย่าง แล้วคุณจะรักได้อย่างไร ในเมื่อคุณรักได้เฉพาะเมื่อความรักให้ผลตอบแทน? แล้วความรักก็กลายเป็นสินค้าในตลาดไปด้วย จากนั้นก็ไม่มีความสัมพันธ์ ไม่มีการอยู่ด้วยกัน ไม่มีการเฉลิมฉลอง ไม่มีความสุขในการอยู่กับคนอื่น อย่างเก่งคุณก็แค่ยอมทนคนอื่น
จริงหรือเปล่า ท่านผู้มีความรัก และผู้มากประสบการณ์รักทั้งหลาย?
อย่าเพิ่งท้อใจ มีคนให้เรายอมทนอยู่ด้วยก็ดีแล้ว ดีกว่าไม่มีใช่ไหม?
ลองมองความรักอีกมุนหนึ่ง อาจจะซึ้งตรึงใจก็ได้ หากใจถึงใจ
ปรัชญาเมธี รพินทรนาถ ฐากูร พ่อมดแห่งการใช้ถ้อยคำ มหากวีผู้ยิ่งใหญ่ของโลก กล่าวว่า...
“ด้วยความรักเท่านั้น ที่มนุษย์จะรู้ชัดว่า เขาเป็นมากกว่าที่เขาเข้าใจ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทั้งโลก”
“ความทุกข์ความสุขของผู้ที่เรารัก เป็นความทุกข์ความสุขของเราเอง หรือมากกว่านั้นเพราะอะไรเล่า เพราะเราเติบโตขึ้นโดยความเห็นอกเห็นใจต่อเขา เพราะเราสัมผัสสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ และให้ความกระจ่างไปทั่วจักรวาล ก็โดยความรักอันมีต่อเขา”
รักเช่นนี้ ดุจตะวันและดาวเดือนที่สาดแสงโดยเสมอภาค สรรพสิ่งได้รับแสงนั้นโดยถ้วนทั่ว เป็นรักอันยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ่งอื่นใดยิ่งกว่า
จะเห็นว่า รักในมิติแรก หวังผลตอบแทน รักคือสิ่งตอบแทน ส่วนรักในมิติที่สอง ไม่หวังผลตอบแทน รักคือรัก รักนี้มีแต่ให้ ให้เธออยู่ดีมีสุข
รักทั้งสองมิติ ก็มีที่มาต่างกัน รักแรกมาจากหัวคิด อีกรักมาจากหัวใจ
หัวคิด หรือสมอง มันคิดสมชื่อ คิดเป็นเงินเป็นทอง คิดเป็นสิ่งของ แม้รักก็ไม่ละเว้น รักของหัวคิด จะต้องมีสิ่งของตอบแทน นิดๆ หน่อยๆ ก็เอา เป็นรักที่เจือด้วยทุกข์
หัวใจ หรือความรู้สึก รักเช่นนี้มันอยู่เหนือเหตุผล ไม่มีสเป็ก ไม่มีสิ่งตอบแทน เป็นรักบริสุทธิ์ รักคือรัก รักอย่างนี้มีความสุข รักเกิดขึ้นเมื่อใด สุขก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น ความสุขคือเงาของรัก
คนเรามีทั้งหัวคิดหัวใจ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ทางที่ดีควรให้ทั้งสองสมดุลกัน จึงจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์
หัวคิดและหัวใจนี่แหละ เป็นผู้ลิขิตชีวิตเรา จะหนักไปทางไหน (หัวคิดหรือหัวใจ) ก็ดูเอาเอง
ทุกวันนี้ เรากลายเป็นผู้ถูกครอบงำด้วยหัวคิดมากเกินไป การศึกษาและความเจริญทั้งหมดของเราถูกครอบงำด้วยหัวคิด เพราะหัวคิดทำให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทุกอย่าง แค่เราคิดเท่านั้น ส่วนหัวใจให้อะไรเราได้?
จริงอยู่ หัวใจให้เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมแก่คุณไม่ได้ ให้อุตสาหกรรมอันยิ่งใหญ่แก่คุณไม่ได้ ให้เงินให้ทองให้เพชรนิลจินดาคุณไม่ได้
แต่หัวใจให้ความสุขคุณได้ ให้การเฉลิมฉลองแก่คุณได้ ให้ความรู้สึกอันล้ำเลิศที่มีต่อความงาม ดนตรี และบทกวีแก่คุณได้ สามารถนำพาคุณไปสู่โลกแห่งความรัก และที่สุดนำคุณไปสู่ประสบการณ์ที่ได้จากการสวดมนต์
แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ของซื้อของขาย คุณไม่อาจทำให้ยอดเงินเหลือในบัญชีเพิ่มมากขึ้นได้ด้วยหัวใจ คุณไม่อาจต่อสู้กับสงครามใหญ่ ไม่อาจสร้างระเบิดปรมาณู และระเบิดไฮโดรเจน และไม่อาจทำลายผู้คนด้วยหัวใจได้
หัวใจรู้เพียงแค่วิธีสร้างสรรค์ ในขณะที่หัวคิดรู้เพียงวิธีทำลาย หัวคิดชอบทำลาย และระบบการศึกษาทั้งหมดของเราติดกับอยู่ในหัวคิด
สวรรค์อยู่ในหัวใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หัวใจถูกลืมไปสนิท ไม่มีใครเข้าใจภาษาเช่นนั้นอีกต่อไป เราเข้าใจตรรกะ แต่ไม่เข้าใจความรัก เราเข้าใจคณิตศาสตร์ แต่ไม่เข้าใจดนตรี
คุณจะต้องนำหัวใจกลับมา ต้องกลับมารับรู้ถึงธรรมชาติอีกครั้ง ต้องเรียนรู้ที่จะเฝ้ามองดอกกุหลาบ ดอกบัว ดอกโมกข์ ดอกแก้ว ดอกสาละ ดอกลำดวน ดอกมะลิ ดอกลั่นทม ฯลฯ อีกครั้ง ต้องทำการติดต่อสื่อสารกับต้นไม้ ก้อนหิน แม่น้ำ คุณจะต้องเริ่มบทสนทนากับหมู่ดาวอีกครั้ง
จะอย่างไรก็ตาม หัวคิด หัวใจ คือสองด้านของชีวิตที่ลิขิตตัวเรา เราต้องรู้ทันให้ทั้งสองสมดุลกัน
นรกสวรรค์ไม่ได้อยู่เบื้องล่างและเบื้องบน ทั้งสองอยู่ที่ตัวเรา ขณะหนึ่งเราอยู่ในสวรรค์ และอีกขณะหนึ่งเราอยู่ในนรก ขณะหนึ่งเราอยู่ในหัวคิด ขณะหนึ่งเราอยู่ในหัวใจ ยอมรับมัน ว่ามันคือชีวิตรักมัน เพราะมันเป็นชีวิตของเรา เมื่อรักเกิดขึ้น สุขก็ตามมา เป็นเงาแห่งรัก
...เมื่อรู้สึกรัก
สุขจักตามติด
หัวใจหัวคิด
ลิขิตตนเอง...
จงใช้คนให้เหมาะสมกับงาน อย่าใช้ช่างตัดรองเท้า ไปผ่าตัดคนป่วย (นอกจากจะไม่รักไม่สุขแล้ว) เดี๋ยวก็ซวยกันทั้งประเทศ เอวัง
เพื่อนคนนี้มันกำหนดลักษณะคนที่จะมาเป็นแฟนหรือคู่ชีวิตของมัน ว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่น ขนาดของอก เอว สะโพก ส่วนสูง สีผิว ความรู้ ความรวย ฉลาด สวย หวาน ฯลฯ
นี่มันความรักแบบไหน? แต่มันก็เป็นความรักแบบหนึ่งที่มีอยู่จริง ถ้าไม่รู้ผ่อนปรนลดสเป็กลงบ้าง ก็ยากที่จะหาคนรักได้ในชาตินี้ นอกจากปาฏิหาริย์เมตตา
“ชีวิตคือการเดินทาง ออกจากบ้าน แล้วกลับบ้าน” ก่อนเดินทางต่อไป ฟังเรื่องเล่าเพื่อปรับสภาพร่างกายสักหน่อยดีไหม?
ครั้งหนึ่ง มูลลา นัสรูดิน ไปชมภาพยนตร์กับภรรยา ทั้งสองแต่งงานกันมาแล้วอย่างน้อย 20 ปี ภาพยนตร์ดังกล่าว เป็นหนึ่งในหนังต่างประเทศที่มีฉากเซ็กซ์อันเร่าร้อน เมื่อทั้งสองออกมาจากโรงภาพยนตร์ภรรยาพูดขึ้นว่า...
“นัสรูดิน คุณไม่เคยรักฉันเหมือนที่นักแสดงชายพวกนั้นทำในหนังเลยนะ ทำไมล่ะ?”
นัสรูดิน ตอบว่า “เธอจะบ้าหรือ? รู้มั้ยว่าพวกเขาได้ค่าตัวในการจ้างให้ทำแบบนั้นเท่าไหร่?”
แหม...คุณภรรยาปรารถนาจะให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ในครอบครัวบ้าง ไงคุณสามีไม่เล่นด้วย กลับแถพูดจาประสาบางความจริงซะนี่ แล้วอย่างนี้ จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร
บางความจริงของคุณสามี ทำให้มองเห็นว่า คนเราอยู่กันไปเรื่อยๆ โดยไม่มีรักให้กันเลย เพราะคุณจะรักก็ต่อเมื่อความรักให้ผลตอบแทนบางอย่าง แล้วคุณจะรักได้อย่างไร ในเมื่อคุณรักได้เฉพาะเมื่อความรักให้ผลตอบแทน? แล้วความรักก็กลายเป็นสินค้าในตลาดไปด้วย จากนั้นก็ไม่มีความสัมพันธ์ ไม่มีการอยู่ด้วยกัน ไม่มีการเฉลิมฉลอง ไม่มีความสุขในการอยู่กับคนอื่น อย่างเก่งคุณก็แค่ยอมทนคนอื่น
จริงหรือเปล่า ท่านผู้มีความรัก และผู้มากประสบการณ์รักทั้งหลาย?
อย่าเพิ่งท้อใจ มีคนให้เรายอมทนอยู่ด้วยก็ดีแล้ว ดีกว่าไม่มีใช่ไหม?
ลองมองความรักอีกมุนหนึ่ง อาจจะซึ้งตรึงใจก็ได้ หากใจถึงใจ
ปรัชญาเมธี รพินทรนาถ ฐากูร พ่อมดแห่งการใช้ถ้อยคำ มหากวีผู้ยิ่งใหญ่ของโลก กล่าวว่า...
“ด้วยความรักเท่านั้น ที่มนุษย์จะรู้ชัดว่า เขาเป็นมากกว่าที่เขาเข้าใจ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทั้งโลก”
“ความทุกข์ความสุขของผู้ที่เรารัก เป็นความทุกข์ความสุขของเราเอง หรือมากกว่านั้นเพราะอะไรเล่า เพราะเราเติบโตขึ้นโดยความเห็นอกเห็นใจต่อเขา เพราะเราสัมผัสสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ และให้ความกระจ่างไปทั่วจักรวาล ก็โดยความรักอันมีต่อเขา”
รักเช่นนี้ ดุจตะวันและดาวเดือนที่สาดแสงโดยเสมอภาค สรรพสิ่งได้รับแสงนั้นโดยถ้วนทั่ว เป็นรักอันยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ่งอื่นใดยิ่งกว่า
จะเห็นว่า รักในมิติแรก หวังผลตอบแทน รักคือสิ่งตอบแทน ส่วนรักในมิติที่สอง ไม่หวังผลตอบแทน รักคือรัก รักนี้มีแต่ให้ ให้เธออยู่ดีมีสุข
รักทั้งสองมิติ ก็มีที่มาต่างกัน รักแรกมาจากหัวคิด อีกรักมาจากหัวใจ
หัวคิด หรือสมอง มันคิดสมชื่อ คิดเป็นเงินเป็นทอง คิดเป็นสิ่งของ แม้รักก็ไม่ละเว้น รักของหัวคิด จะต้องมีสิ่งของตอบแทน นิดๆ หน่อยๆ ก็เอา เป็นรักที่เจือด้วยทุกข์
หัวใจ หรือความรู้สึก รักเช่นนี้มันอยู่เหนือเหตุผล ไม่มีสเป็ก ไม่มีสิ่งตอบแทน เป็นรักบริสุทธิ์ รักคือรัก รักอย่างนี้มีความสุข รักเกิดขึ้นเมื่อใด สุขก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น ความสุขคือเงาของรัก
คนเรามีทั้งหัวคิดหัวใจ ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ทางที่ดีควรให้ทั้งสองสมดุลกัน จึงจะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์
หัวคิดและหัวใจนี่แหละ เป็นผู้ลิขิตชีวิตเรา จะหนักไปทางไหน (หัวคิดหรือหัวใจ) ก็ดูเอาเอง
ทุกวันนี้ เรากลายเป็นผู้ถูกครอบงำด้วยหัวคิดมากเกินไป การศึกษาและความเจริญทั้งหมดของเราถูกครอบงำด้วยหัวคิด เพราะหัวคิดทำให้เกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทุกอย่าง แค่เราคิดเท่านั้น ส่วนหัวใจให้อะไรเราได้?
จริงอยู่ หัวใจให้เทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยมแก่คุณไม่ได้ ให้อุตสาหกรรมอันยิ่งใหญ่แก่คุณไม่ได้ ให้เงินให้ทองให้เพชรนิลจินดาคุณไม่ได้
แต่หัวใจให้ความสุขคุณได้ ให้การเฉลิมฉลองแก่คุณได้ ให้ความรู้สึกอันล้ำเลิศที่มีต่อความงาม ดนตรี และบทกวีแก่คุณได้ สามารถนำพาคุณไปสู่โลกแห่งความรัก และที่สุดนำคุณไปสู่ประสบการณ์ที่ได้จากการสวดมนต์
แต่สิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ของซื้อของขาย คุณไม่อาจทำให้ยอดเงินเหลือในบัญชีเพิ่มมากขึ้นได้ด้วยหัวใจ คุณไม่อาจต่อสู้กับสงครามใหญ่ ไม่อาจสร้างระเบิดปรมาณู และระเบิดไฮโดรเจน และไม่อาจทำลายผู้คนด้วยหัวใจได้
หัวใจรู้เพียงแค่วิธีสร้างสรรค์ ในขณะที่หัวคิดรู้เพียงวิธีทำลาย หัวคิดชอบทำลาย และระบบการศึกษาทั้งหมดของเราติดกับอยู่ในหัวคิด
สวรรค์อยู่ในหัวใจ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หัวใจถูกลืมไปสนิท ไม่มีใครเข้าใจภาษาเช่นนั้นอีกต่อไป เราเข้าใจตรรกะ แต่ไม่เข้าใจความรัก เราเข้าใจคณิตศาสตร์ แต่ไม่เข้าใจดนตรี
คุณจะต้องนำหัวใจกลับมา ต้องกลับมารับรู้ถึงธรรมชาติอีกครั้ง ต้องเรียนรู้ที่จะเฝ้ามองดอกกุหลาบ ดอกบัว ดอกโมกข์ ดอกแก้ว ดอกสาละ ดอกลำดวน ดอกมะลิ ดอกลั่นทม ฯลฯ อีกครั้ง ต้องทำการติดต่อสื่อสารกับต้นไม้ ก้อนหิน แม่น้ำ คุณจะต้องเริ่มบทสนทนากับหมู่ดาวอีกครั้ง
จะอย่างไรก็ตาม หัวคิด หัวใจ คือสองด้านของชีวิตที่ลิขิตตัวเรา เราต้องรู้ทันให้ทั้งสองสมดุลกัน
นรกสวรรค์ไม่ได้อยู่เบื้องล่างและเบื้องบน ทั้งสองอยู่ที่ตัวเรา ขณะหนึ่งเราอยู่ในสวรรค์ และอีกขณะหนึ่งเราอยู่ในนรก ขณะหนึ่งเราอยู่ในหัวคิด ขณะหนึ่งเราอยู่ในหัวใจ ยอมรับมัน ว่ามันคือชีวิตรักมัน เพราะมันเป็นชีวิตของเรา เมื่อรักเกิดขึ้น สุขก็ตามมา เป็นเงาแห่งรัก
...เมื่อรู้สึกรัก
สุขจักตามติด
หัวใจหัวคิด
ลิขิตตนเอง...
จงใช้คนให้เหมาะสมกับงาน อย่าใช้ช่างตัดรองเท้า ไปผ่าตัดคนป่วย (นอกจากจะไม่รักไม่สุขแล้ว) เดี๋ยวก็ซวยกันทั้งประเทศ เอวัง