xs
xsm
sm
md
lg

รัฐสภาไทยล่มสลายแล้ว!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ดาวเดือนลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อยตามจักรราศีและกาลเวลา มาถึงวันนี้ สิริอัญญาผู้มีปัญญาอันน้อยก็ได้โคจรมาประจำจักรราศี ณ คอลัมน์นี้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตั้งใจหวังว่าจะได้ทำหน้าที่บรรณาการท่านผู้มีพระคุณด้วยอาหารแห่งปัญญาดังแต่ก่อน

ณ ราศีนี้ บัดนี้ บ้านเมืองเป็นกลียุคทุกข์เข็ญทุกหย่อมหญ้า สาเหตุย่อมมีมาแต่พรรคการเมืองและนักการเมือง ที่ก่อกรรมทำเข็ญกับบ้านเมือง ด้วยเหลิงลำพองในอำนาจ ประหนึ่งว่ามีอำนาจวาสนาแล้วจะดำรงรักษาอำนาจวาสนาอยู่ชั่วนิรันดร

ไม่สำนึกถึงประวัติศาสตร์แม้เหตุการณ์ระยะใกล้ เมื่อครั้งเกิดการต่อสู้ของประชาชนชาวไทย ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนนักการเมืองผู้มีอำนาจต้องนิราศบ้านร้างเมือง บ้านแตกสาแหรกขาด เป็นที่น่าเวทนาอยู่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

ไม่สำนึกและไม่สรุปบทเรียนว่าอำนาจนั้นเป็นของร้อน หากไม่ถือโดยธรรม ไม่ใช้โดยธรรม ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยามแล้ว อำนาจนั้นก็จะไหม้ผลาญราญรอนผู้ถืออำนาจจนวินาศมลายไปเสมอ

พลังอำนาจทุกๆ ด้านซึ่งประหนึ่งใหญ่โตน่าเกรงขาม แต่เมื่อไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ใช้โดยธรรม และไม่เป็นไปโดยธรรมแล้ว ก็ไม่ต่างอันใดกับต้นไม้ใหญ่ที่ไร้รากแก้ว แค่สายลมแผ่วโชยมาเบาๆ ก็ล้มครืนลงในพริบตา


สถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้ แม้ว่าอาณาประชาราษฎรจะถูกอำนาจอันยิ่งใหญ่กดทับข่มขวัญวันแล้ววันเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า และทำให้การต่อสู้ของภาคประชาชนพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับอำนาจรัฐช่วงก่อน 19 กันยายน 2549 แล้ว ก็ยังห่างไกลกันมาก

ดังนั้นใครไหนมีอำนาจก็อย่าได้ฮึกเหิมลำพองเกินไปนัก เพราะสักวันหนึ่งอาจไม่มีแผ่นดินอยู่ กระทั่งทรัพย์สมบัติที่ได้มาก็อาจจะถูกริบราชบาตรตามควรแก่โทษานุโทษก็เป็นได้

แม้อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็ไม่ควรท้อแท้ถดถอยสิ้นขวัญและกำลังใจ เพราะปราชัยครั้งแล้วครั้งเล่า ให้ดูตัวอย่างอันมีมาในประวัติศาสตร์นั้นเถิด การต่อสู้ของประชาชนแม้แพ้แล้วแพ้เล่าสักเท่าใด ในที่สุดก็จะได้มาซึ่งชัยชนะเสมอ

คำที่ว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรมในที่สุดนั้น ย่อมมีความหมายแจ่มชัดอยู่ในตัวว่าธรรมจะชนะในที่สุด แต่ในท่ามกลางวิถีอันนำไปสู่ชัยชนะนั้น บ้างสั้น บ้างยาว บ้างเร็ว บ้างช้า บ้างง่าย บ้างยาก แต่ในที่สุดขอเพียงมีธรรมก็ย่อมนำไปสู่ชัยชนะอย่างแน่นอน

วันนี้ภาคประชาชนต่อสู้เพื่ออะไรเล่า? ก็เพื่อเอกราชอธิปไตยของประเทศชาติ เพื่อพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริยาธิราช และเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขแก่อาณาประชาราษฎรทั่วทั้งมาตุภูมินี้

ทั้งหมดนี้ได้รับผลกระทบหนักหน่วงรุนแรงขึ้นทุกที จากน้ำมือของพรรคการเมืองและนักการเมือง ไม่ว่าจากพวกอัปรีย์หรือพวกจัญไร มันก็สร้างความบรรลัยวายวอดเหมือนกัน และเป็นผลให้ประชาชนต้องลุกขึ้นสู้เหมือนกัน

ยิ่งขายชาติ ขายแผ่นดิน หนักหนาสาหัสมากขึ้นเท่าใด เปลวไฟแห่งการต่อสู้ของประชาชนก็ยิ่งกระพือโหมมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นเท่าใด การต่อสู้ของภาคประชาชนก็ยิ่งกระพือโหมมากขึ้นเท่านั้น การสร้างความเดือดร้อนทุกข์เข็ญแก่อาณาประชาราษฎร์มากขึ้นเท่าใด ก็เป็นผลให้ประชาชนลุกขึ้นสู้มากขึ้นเท่านั้น

เหล่านี้คือเชื้อไฟที่สั่งสมและสุมกองไว้ทุกปริมณฑลของแผ่นดินนี้ โดยมิต้องวิตกกังวลว่าสื่อมวลชนและกลุ่มคนบางสีจะยืนคู่เคียงข้างอธรรมไปจนตาย มันไม่ใช่วิสัยที่จะเป็นไปได้ ประชาชนผู้ยากไร้ยากเข็ญที่แม้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเคยปลุกระดมมา 30 ปีก็ไม่ยอมตื่น บัดนี้ตื่นขึ้นแล้ว แม้จะยังงัวเงียสับสนเห็นยักษ์เป็นเทวดา เห็นซาตานเป็นพระผู้มาโปรด ก็เป็นเรื่องชั่วคราว ในที่สุดก็จะตื่นตัวขึ้นเห็นความจริง

วันนี้การเห็นความจริงที่เป็นไปในบ้านเมืองก็แพร่ขยายไปอย่างกว้างขวางแล้ว และบัดนี้กระแสลมกำลังเปลี่ยนทิศ และพัดโชยมาแรงกล้าขึ้นทุกที อย่างน้อยก็มีกระแสลมใหญ่สองกระแสที่เห็นประจักษ์แล้ว

หนึ่งนั้นคือการฮั้วกันขายชาติ เตรียมยกแผ่นดินแห่งราชอาณาจักรนี้ให้กับเขมร ซึ่งคนสองพวกคือทั้งอัปรีย์และจัญไรได้สุมหัวคบคิดกันมานานปี บัดนี้ก็มาถึงเวลาที่ศาลโลกจะตัดสินคดีในวันที่ 11 พฤศจิกายน ศกนี้


ก็เป็นที่แน่ชัดว่าประเทศไทยจะเสียดินแดนครั้งที่ 15 ตามแผนที่อัตราส่วน 1:200,000 ของเขมรใน 3 พื้นที่สำคัญคือ รอบปราสาทพระวิหารเนื้อที่ราว 4.6 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 4,000 ไร่ จากนั้นก็จะเสียพื้นที่ใน 7 จังหวัดชายแดนไทย-เขมร 1.8 ล้านไร่ และในอ่าวไทยอีก 17 ล้านไร่

แม้ศาลโลกยังไม่ทันตัดสิน แต่ก็มีการเตรียมการประชุมร่วมเพื่อยกแผ่นดินไทยให้กับเขมร มิหนำซ้ำยังพยายามกดดันให้ทหารทุกคน อาวุธทุกชิ้นของกองทัพสยบยอมให้เขมรโดยดุษณี โดยมีข้ออ้างสันติภาพแบบขี้ข้าบังหน้าเท่านั้น

นี่คือเชื้อไฟที่พร้อมจะโหมไหม้ลามทั่วทั้งประเทศ เพราะประชาชนคนไทยจะไม่มีวันยอมเสียแผ่นดินเกิดแม้ตารางนิ้วเดียวให้กับเขมรเป็นอันขาด

อีกหนึ่งนั้นก็คือการล้มล้างรัฐสภา ทำให้รัฐสภาเป็นขี้ข้าที่ไม่ตั้งอยู่ในธรรมรัฐ ในนิติรัฐ ไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอีกต่อไป กลายเป็นรัฐสภาที่สนองตัณหาและปรารถนาของคนคนเดียวอย่างไม่รู้สึกสำนึกละอายต่อคนไทยและอนุชนรุ่นหลังในวันข้างหน้า

นั่นคือการลอกคราบแปลงโฉมร่างกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ผู้ชุมนุม ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ขอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติอนุมัติหลักการว่าจะมีการนิรโทษกรรมให้กับผู้ชุมนุมและผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของประชาชน

สภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติรับหลักการของการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ชุมนุมดังกล่าว และให้คณะกรรมาธิการไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้มีความชัดเจนภายใต้หลักการที่ว่านั้น

ซึ่งคณะกรรมาธิการมีอำนาจและหน้าที่ปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำให้เป็นไปภายใต้หลักการที่สภาผู้แทนราษฎรได้อนุมัติหลักการไว้ ไม่มีอำนาจปรับปรุงแก้ไขใดๆ ที่นอกเหนือเกินไปจากหลักการหรือล้มหลักการเก่า แล้วเพิ่มบทบัญญัติใหม่ให้เป็นไปอย่างอื่น

สภาผู้แทนราษฎรในยุคที่เลวร้ายที่สุดของประเทศคือยุคฝักถั่วหรือยุคเผด็จการครองเมืองก็ไม่เคยก่อกรรมทำชั่วที่จะละเมิดรัฐธรรมนูญและหลักบัญญัติวิธีอันเป็นประเพณีที่มีมาของรัฐสภาไทย

แต่มาบัดนี้เหล่าผีโม่แป้งที่ไม่มีสำนึกผิดชอบชั่วดีก็ได้ล้มล้างสิ่งที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติ ล้มล้างนิติรัฐ ธรรมรัฐ และประเพณีปฏิบัติทั้งปวงที่มีมาสำหรับรัฐสภา

จู่ๆ ก็ทำการแปรญัตติคือเพิ่มเติมบทบัญญัตินอกเหนือเกินไปจากหลักการที่จะนิรโทษกรรมแก่ผู้ชุมนุม เป็นว่าลบล้างความผิดในการทุจริตคอร์รัปชัน ลบล้างคำตัดสินของศาล และลบล้างการตรวจสอบไต่สวนในเรื่องทุจริตทั้งหลายซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการชุมนุมเลย

เรื่องนี้จึงเป็นการล้มล้างรัฐสภาไทยด้วยฝ่าตีนของนักการเมืองไปแล้ว นี่คือเชื้อไฟที่พร้อมจะโหมไหม้ลามทั่วทั้งประเทศ เพราะประชาชนคนไทยจะไม่มีวันยอมให้รัฐสภากลายเป็นเครื่องมือเผด็จการที่สนองตัณหาราคะของใครอีกต่อไป

เชื้อไฟก็พร้อม กระแสลมก็แรงกล้าขึ้น พลังแห่งธรรมและสามัคคีธรรมกำลังหล่อหลอมรวมพลังทุกกระแส แม่น้ำทุกสาย ให้ไหลรวมไปสู่พระมหาสมุทรแล้ว!
กำลังโหลดความคิดเห็น