xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เบื้องลึก คสช.สั่งเชือด เขี่ยทิ้ง "ขี้ข้าแม้ว" อีกล็อต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ฟ้าผ่าสะเทือนอาณาจักร “ระบอบทักษิณ”อีกครั้ง เมื่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งเรียกบรรดา “บิ๊กข้าราชการ” ที่เป็นขุมข่ายเส้นสายของกลุ่มอำนาจเก่ามาเก็บเข้ากรุ

โดยรอบนี้หวยไปออกที่ “สุวิจักขณ์ นาควัชระชัย”เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร “อรรถพล ใหญ่สว่าง”อัยการสูงสุด และ “สุรชัย ศรีสารคาม”ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ (ไอซีที)

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งเข้ามาควบคุมอำนาจการบริหารประเทศใหม่ๆ ก็ได้ขยับบรรดา “ขาใหญ่”ไปแล้วรอบหนึ่ง ทั้ง “ธงทอง จันทรางศุ”ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี “พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก”ปลัดกระทรวงกลาโหม หรือ “ธาริต เพ็งดิษฐ์”อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

หรือกระทั่ง “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว”ผบ.ตร. ที่มีข่าวว่า สมัครใจขอลุกจากตำแหน่งเอง เพื่อเปิดทางให้เพื่อนรัก ที่มีกำหนดเกษียณอายุราชการพร้อมกันคือ “พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ”มารักษาราชการเบอร์ 1 สตช. แทน

ตลอดจนไปถึงการจัดระเบียบ ตำรวจมะเขือเทศ อาทิ “พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง - พล.ต.ท.นเรศ นันทโชต - พล.ต.ท.อนุชัย เล็กบำรุง - พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา - พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล”และระดับผู้การคุมหัวเมืองคนเสื้อแดง ไล่ตั้งแต่ เชียงใหม่ ขอนแก่น นนทบุรี สมุทรปราการ อุดรธานี ไม่เว้นกระทั่ง “พล.ต.ต.คัชชา ธาตุศาสตร์”ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี ที่มีหลักฐานยืนยันว่า เป็นผู้สั่งให้ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม กปปส. ที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. จนเป็นเหตุให้ทั้งตำรวจ และประชาชน เสียชีวิต

ขณะที่ในส่วนของฝ่ายปกครองก็มีการโยก “พ่อเมือง”หลายตำแหน่ง ไล่เรียงดูรายชื่อ ก็หนีไม่พ้นบรรดานักวิ่งที่เติบโตในยุค ระบอบทักษิณ ครองเมืองแทบทั้งสิ้น

แม้สถานการณ์ตอนนี้จะค่อนข้างนิ่ง ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของ คสช. อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็ยังปรากฎ ล่าสุดในการสั่งโยกย้าย “สุวิจักขณ์ นาควัชระชัย - อรรถพล ใหญ่สว่าง - สุรชัย ศรีสารคาม”โดย 3 ทหารเสือของ “นช.แม้ว”ต้องไปนั่งตบยุง ที่สำนักนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ใหญ่ในที่ที่ไม่ควรใหญ่ มานาน

เมื่อไล่เช็คผลงานทั้ง 3 คน ก็ชัดเจนว่าเป็น“ขี้ข้าแม้ว”อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สาเหตุในการถูกเด้ง ก็ต่างกรรมต่างวาระ เริ่มตั้งแต่ “สุวิจักขณ์”ที่มีชื่อพัวพันกับโครงการทุจริตของสภาผู้แทนราษฎร หลายโครงการ ทั้งๆที่สภา คือ สถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ควรอย่างยิ่งที่พวกเหลือบไรจะมากอบโกยผลประโยชน์

ชื่อของ สุวิจักขณ์ โดดเด่นขึ้นมาหลังจากรับตำแหน่งไม่นาน กับโครงการจัดซื้อนาฬิกาดิจิตอล วงเงิน 15 ล้านบาท ซึ่งมีความไม่ชอบมาพากลในกระบวนการจัดซื้อ รวมไปถึงราคาแพงหูฉี่ถึง 75,000 บาทต่อเรือน ทั้งที่คุณสมบัติไม่ได้วิเศษวิโสไปตามราคา แต่ประการใด

ไม่เท่านั้น สุวิจักขณ์ ยังพัวพันกับโครงการจัดซื้อจัดจ้างมากมายภายในสภา อาทิ การสร้างห้องผู้สื่อข่าวใหม่ทั้งหมด โดยที่ไม่มีความจำเป็น หนำซ้ำยังรู้เห็นเป็นใจให้ ส.ส.เพื่อไทยตั้ง“เครือญาติ-คนสนิท-ฐานเสียง”ให้มาดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการ-คณะอนุกรรมการหลายชุด และจัดการประชุมหลายครั้ง ต่อสัปดาห์

หนีไม่พ้นการสูญเสียภาษีของประชาชนไปในรูปแบบ “เบี้ยเลี้ยง-เบี้ยประชุม”แบบมากมายก่ายกอง ว่ากันว่า บางคนเดินเล่นไปมาในสภา แค่เซ็นชื่อประชุมรับเงินไปใช้เล่นๆ เหยียบหลักแสนเลยทีเดียว

นอกจากนี้ในการจัดวาระการประชุมสภา การออกระเบียบรัฐสภา สุวิจักขณ์ทำตามใบสั่งของ “ลูกน้องแม้ว” เกือบทั้งหมด ไม่มีขวางลำ-ไม่มีนอกคอก หากมีรายการ“นาย”ขอมาไฟเขียวให้ตลอด

มากันที่ “สุรชัย ศรีสารคาม” ยี่ห้อนี้ "สีแดงแจ๋" มาแต่ไกล คนเพื่อไทย เห็นหน้ากันแล้วรู้ใจทันที โดยเฉพาะคนในกระทรวงมหาดไทย ที่รู้กันดีว่า สุรชัย คือ “เจ๊ กทม.”ลูกพี่ของ “น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ”อดีต รมว.ไอซีที
 
ไม่แน่จริงไม่ย้ายข้ามห้วยจากตำแหน่ง “ผู้ว่าฯนครนายก”มานั่งกินตำแหน่ง ปลัดไอซีที ได้

ข้ออ้างที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ บอกว่า สุรชัย เชี่ยวชาญด้านไอที เพราะสามารถทำให้ จ.นครนายก เป็นจังหวัดนำร่องโครงการสมาร์ทไทยแลนด์ แล้วยกตำแหน่ง ปลัดไอซีที ให้ คงไม่สมเหตุสมผล เพราะใน “ไอซีที”เองยังมีคนเก่งอีกมากมาย

โฟกัสหลักของ “บิ๊กตู่”ที่ต้องเร่งเช็คบิล สุรชัย คงหนีไม่พ้นการที่คนใน“ไอซีที”เข้าไปพัวพันกับการเปิดร้านไวน์หรู ประชุมกันไม่ถึง 5 ครั้ง เสียเงินจัดการประชุมไปเหยียบล้านบาท ส่อให้เห็นว่า กระทรวงไอซีที มีพิรุธในการบริหารงาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธกิจหลักของ คสช. ที่ต้องการกำจัด “ขบวนการล้มเจ้า”ให้สิ้นซาก หากปล่อย สุรชัย อยู่ในตำแหน่งต่อไป คงไม่เกิดผลดี เพราะที่ผ่านมาการแพร่ระบาดของเว็บไซต์ หรือมือโพสต์หมิ่นสถาบันฯ ก็สืบเนื่องมาจากกระทรวงไอซีที “เกียร์ว่าง”มาอย่างยาวนาน ทั้งที่จัดซื้อเครื่องไม้ เครื่องมือราคาแพงระยับมาแล้ว แต่ไม่สามารถระงับยับยั้งอะไรได้เลย
 
แถมวันนี้ก็ยังมี ข่าวลือในแง่ลบของ คสช. ออกมาทาง โซเซียลเน็ตเวิร์ก อย่างต่อเนื่อง

ด้วยความไร้สมรรถภาพอย่างจงใจ ก็เป็นเหตุในการเขี่ย สุรชัย ให้พ้นทาง และให้คนที่มีความตั้งใจเข้าไปจัดระบบโลกไอที เสียใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิม

นอกจากนี้ ยังมีข่าวเม้าท์กันหนาหูว่า สุรชัย ท้าทายอำนาจของ คสช. ด้วยการสั่งให้เร่งดำเนินโครงการวางโครงข่ายโทรคมนาคมทั่วประเทศ และผลักดันให้เร่งเปิดการใช้ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สายทุกหมู่บ้าน โดยเริ่มจาก จ.นครนายก ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่หัวหน้า คสช. ย้ำนักย้ำหนาว่า ให้ ชะลอออกไปก่อน

ความรู้ถึงหู “บิ๊ก คสช.”จึงเรียก สุรชัย มาตำหนิอย่างรุนแรง ตามมาด้วยการเด้งพ้นจากตำแหน่ง และมีข่าวลืออีกว่า สุรชัย เตรียมลาออกจากข้าราชการเลยทีเดียว

ส่วนรายของ “อรรถพล ใหญ่สว่าง”ถือว่าค่อนข้างเซอร์ไพร์ส โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐธรรมนูญ 2550 ได้ยกให้ “สำนักงานอัยการสูงสุด” หรือ อสส. เป็นหน่วยงานอิสระที่ไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปรียบเสมือนเป็น องค์กรอิสระแห่งหนึ่ง ทำให้เชื่อว่าคสช.จะไม่แตะต้อง แต่ด้วยพื้นเพส่วนตัวของ อรรถพล ที่มีความแนบชิดกับ เครือข่ายระบอบแม้ว มาโดยตลอด นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งต่อจาก “จุลสิงห์ วสันตสิงห์” เมื่อช่วงกลางปี 2556

ลือกันให้แซ่ดว่า อรรถพล คือร่างทรงของ “ชัยเกษม นิติสิริ”อดีต รมว.ยุติธรรม จึงไม่แปลกที่ความเห็นทางคดีของ อรรถพล ในหลายเรื่อง จะไม่หนีจากความเห็นของ ชัยเกษม

ผลงานขิ้นโบว์ดำของ อรรถพล คือการไม่สั่งฟ้อง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”ในข้อหาก่อการร้าย แม้จะอ้างว่า จุลสิงห์ ทำความเห็นค้างเอาไว้ แต่คนที่ไฟเขียวไม่สั่งฟ้อง “นช.แม้ว”หนีไม่พ้น อรรถพล

ตรงกันข้าม คดีของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ - สุเทพ เทือกสุบรรณ”สั่งสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อปี 53 เพียงแค่ “ดีเอสไอ”ส่งเรื่องมาถึง อรรถพล รีบสั่งฟ้องทันที

นอกจากนี้ ยังมีวีรกรรมซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญอีก คือกรณีที่ อรรถพลกระสันอยากเข้าไปนั่งในตำแหน่งกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ จุลสิงห์ นั่งอยู่ จนเป็นเหตุให้ทั้งคู่ทะเลาะกัน สุดท้าย จุลสิงห์ ตัดสินใจลาออก เพื่อเปิดทางให้

ทว่าดวงของ อรรถพล คงไม่ถึงขั้นได้เสวยสุขมากมาย “บอร์ด ปตท.”กลับมีมติไม่รับรองใบลาออกของ จุลสิงห์ ทำให้ อรรถพล ซดแห้วเต็มๆ คำ

การเขี่ย อรรถพล พ้นตำแหน่งครั้งนี้ น่าจะเป็นเพราะ “บิ๊กตู่”คงต้องการให้คดีที่จะมีการฟ้องร้อง คนเครือข่ายแม้ว มากมายหลายคดี เดินเข้าสู่ชั้นศาลอย่างสะดวกโยธิน ไม่ต้องมาติดกั๊กในชั้นอัยการ ในฐานะ “ทนายแผ่นดิน”

เพราะเชื่อแน่ว่า หากมีคดีสำคัญๆ เข้าสู่ชั้นอัยการ ต้องถูกเตะถ่วงอย่างแน่นอน เพราะหากไม่เร่งคดีของ “เครือข่ายแม้ว”ให้หมด การล้ม “ระบอบทักษิณ”คงทำยากขึ้น
 
ทั้งหมดคือเบื้องหลังการเด้ง 3 บิ๊กข้าราชการ ที่ คสช. คิดเร็ว-ทำเร็ว เพื่อล้มระบอบทักษิณ ชั่วโมงนี้ “ข้าราการสายแม้ว”คงหนาวๆ ร้อนๆ กันทุกคน




กำลังโหลดความคิดเห็น