ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -มาถึงวันนี้ คนไทยกำลังเฝ้าจับตามอง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) อย่างไม่วางตาว่า ในฐานะที่มีอำนาจสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดินขณะนี้จะนำพาประเทศไทยไปในทิศทางใด
แน่นอน ขณะนี้สังคมไทยกำลังให้โอกาส คสช.เข้ามาปัดกวาดเช็ดถูและทำความสะอาดประเทศไทย โดยยอมสูญเสียเสรีภาพบางประการ และตั้งความหวังเอาไว้สูงสุดว่า คสช.จะทำให้ความฝันของคนไทยกลายเป็นความจริง และ “คืนความสุขอย่างแท้จริง” ให้กับคนไทยเสียที
ขณะนี้จึงเป็นช่วงเวลา “ฮันนีมูน” สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์และ คสช.ได้แสดงฝีมือ ซึ่งคาดว่าช่วงเวลาดังกล่าวจะมีประมาณ 3 เดือนและจะสิ้นสุดลงเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน
ส่วนหลังจากนั้น ใครจะก้าวเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี หรือ พล.อ.ประยุทธ์จะรั้งตำแหน่งนี้เอง เป็นช่วงที่บอกได้คำเดียวว่า สาหัสสากรรจ์
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจเป็นนายกรัฐมนตรีเองตามแรงเชียร์ของสารพัดกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มการเมืองของไทย ที่ชูรักแร้หนุนอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู 3 เดือนนับจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องสร้างผลงานให้เป็นที่โดดเด่นให้ได้
ธงของ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องชัดเจนในการปฏิรูปประเทศ อย่างปฏิรูปพลังงาน การปฏิรูปการศึกษา และที่สำคัญคือการถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมานานนับสิบปี
ทั้งนี้ หากตรวจสอบผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์และคสช.ในช่วงที่ผ่านมาก็จะเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์กำลังทำล้วนแล้วแต่เป็นการ “คืนความสุขเฉพาะหน้า” เท่านั้น
ผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ที่คนไทยสัมผัสในทันทีก็คือ การจ่ายเงินแก่ชาวนาที่ค้างในโครงการรับจำนำข้าว การจับกุมอาวุธสงครามนานับชนิด การย้ายข้าราชการในกระทรวงทบวงกรมต่างๆ ซึ่งแม้จะไม่ได้มีการให้เหตุผลในการย้ายที่ชัดเจน แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่า ล้วนแล้วแต่เป็นคนของระบอบทักษิณทั้งสิ้น การรื้อบอร์ดหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่กำลังดำเนินการไปเป็นลำดับ
นอกจากนั้นก็มีการเรียกแกนนำทางการเมืองทุกฝ่าย เรียกแกนนำคนเสื้อแดงมารายงานตัว และพูดคุยเพื่อปรับทัศนคติ การสร้างความปรองดองด้วยการนำแกนนำ กปปส.และนปช.มาจับมือกันในจังหวัดต่างๆ และมีการไล่ล่าขบวนการล้มเจ้าอย่างเอาจริงเอาจังในทุกรูปแบบ การส่งทหารหน่วยปฏิบัติการทางจิตวิทยาออกไปสร้างความสุขให้กับประชาชนด้วยการร้องเพลงและทำกิจกรรมต่างๆ
และที่กำลังสร้างความฮือฮาล่าสุดในขณะนี้ก็เห็นจะหนีไม่พ้นการคืนความสุขในด้านการบันเทิง 2 เรื่อง
เรื่องแรกคือการสร้างจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์เพื่อให้เกิดความรักชาติรักแผ่นดินด้วยการเปิดให้คนไทยทั่วประเทศได้รับชมภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 ตอนยุทธหัตถี ในวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายนนี้ พร้อมกัน 160 โรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ แต่เฉพาะรอบ 11.00 น. เท่านั้น
เรื่องที่สองคือการคืนความสุขด้วยการทำให้เครืออาร์เอสของเฮียฮ้อยอมให้มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกผ่านทางฟรีทีวีครบทั้ง 64 นัด โดยแบ่งเป็น ททบ.5 จำนวน 38 แมตช์ ในระบบ HD ทั่วประเทศ, ช่อง 7 จำนวน 29 แมตช์ และ ช่อง 8 จำนวน 56 แมตช์ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหน้าซูเปอร์บันเทิง)
สำหรับเรื่องการฉายภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 ตอนยุทธหัตถี เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เป็นความร่วมมือจากบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์และโรงภาพยนตร์ที่เข้ามาให้การสนับสนุน โดยที่ คสช.ไม่ได้เสียเงินภาษีอากรของประชาชนไปเพื่อการนี้
ขณะที่การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครบทุกนัดก็เป็นที่ชัดเจนว่า การคืนความสุขภาคบันเทิงในครั้งนี้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ต้องใช้เงินจาก กองทุนวิจัยและพัฒนา - กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) จำนวน 427.015 ล้านบาทเพื่อชดเชยความเสียหายให้ค่ายอาร์เอส
งานนี้เรียกว่า คอบอลแฮปปี้และมีความสุขไปตามๆ กัน เพราะไม่ต้องควักเงินไปซื้อกล่องมาติดที่บ้าน
และล่าสุดกับการออกคำสั่งให้มีการลดราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 14 สตางค์
แต่สิ่งที่สังคมไทยตั้งคำถามและมีข้อสงสัยอยู่ไม่น้อยก็คือ ทำไม คสช.ถึงไม่เรียก นช.ทักษิณ ชินวัตรมารายงานตัว ทั้งๆ ที่คนทั้งบ้านทั้งเมืองและทั้งโลกรู้ว่า เขาคือผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรที่ คสช.ยึดอำนาจ
มิหนำซ้ำน้องสาวคนสวยของนายใหญ่คนเสื้อแดงชื่อ “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ยังใช้ชีวิตอย่างปกติสุขราวกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ดังจะเห็นได้จากการปรากฏตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ขณะไปเดินชอปปิ้งที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี ถนนเพลินจิตอย่างสบายอกสบายใจอีกต่างหาก
นี่คือสิ่งที่มวลมหาประชาชนสงสัยใคร่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ไหนจะบรรดาแกนนำคนเสื้อแดงที่พร้อมจะให้ความร่วมมืออย่างเรียบร้อย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของ กีร์ตะกายตึก-อริสมันต์ พงษ์เรืองรองที่เข้ามามอบตัวโดยทนายของเขาให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า “นายอริสมันต์พร้อมที่จะใช้ความเป็นศิลปินนักร้องช่วยในการสร้างความปรองดองและความสามัคคีให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองตามแนวทางของศูนย์ปรองดองสมานฉันท์ฯ โดยจะขอร่วมทำงานด้านเพลงให้”
ดังนั้น นับจากนี้ไปหลังคืนความสุขเฉพาะหน้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้า คสช.จะต้องเร่งคืนความสุขแบบยั่งยืนให้เห็นเป็นรูปธรรม ทั้งเรื่องการถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ การปฏิรูปพลังงาน หรือการแก้ไขปัญหาใหญ่ที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไรกับกรณีโครงการรับจำนำข้าว โครงการบริหารจัดการน้ำ และโครงการเงินกู้ 2.2 ล้านบาท
ที่สำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องหลุดพ้นจากการเป็น “แกนกลาง” ของ “ระบบอุปถัมภ์” ที่ทั้งกลุ่มทุนเก่าและกลุ่มใหม่ในภาคธุรกิจและการเมืองพยายามเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ พร้อมทั้งเดินหน้าทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
นอกจากนั้น ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งของคนไทยก็คือ หลัง คสช.นำพาประเทศไทยไปสู่การเลือกตั้งแล้ว คนไทยจะมี “พรรคการเมือง” พรรคไหนที่เป็นทางเลือกมากกว่าพรรคที่มีอยู่ในปัจจุบันบ้าง เพราะถ้ายังคงมีพรรคการเมืองเดิมๆ ที่กบดานอยู่เงียบๆ เพื่อรอวันกลับคืนสู่อำนาจ และไม่มี “พรรคทางเลือก” ที่เป็นความหวังใหม่ให้แก่คนไทยแล้ว ไม่ว่าจะปฏิรูปอย่างไร ผลลัพธ์สุดท้ายก็จะยังคงเหมือนเดิมดังคำกล่าวที่ว่า “สมบัติผลัดกันชม” เท่านั้น
พรรคเพื่อไทยไป พรรคประชาธิปัตย์มา
พรรคประชาธิปัตย์ไป พรรคเพื่อไทยมาวนเวียนซ้ำซากเป็นวัฏสงสารเช่นนี้โดยที่ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แต่อย่างใด
ก็ได้แต่หวังว่า พล.อ.ประยุทธ์จะรับฟังทุกความเห็นคิด ไม่โกรธ ไม่ท้อแท้และไม่เคียดแค้น เหมือนที่ได้กล่าวเอาไว้ในการร่วมพบปะหารือกับผู้บริหารกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2557 ที่ผ่านมาว่า “การทำงานในวันนี้มีความกดดัน เพราะมีคนรักมาก แต่ขณะเดียวกันก็มีคนต่อต้าน คนด่า ผมไม่ได้โกรธ ไม่ท้อแท้และยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไปเพื่อให้คนไทยมีจริยธรรมมากขึ้นควบคู่กับการแก้ไขปัญหาทุจริต สร้างชาติของเราขึ้นใหม่ด้วยสติปัญญา ให้โลกยอมรับ”