**เป็นงานยักษ์ภารกิจใหญ่ของรัฐนาวาไทยภายใต้พะพี่ห้อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่นำโดย “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) อย่างแท้จริง ที่จะต้องเข้ามาเก็บกวาดชำระล้างในสิ่งที่ระบอบทักษิณทำปู้ยี้ปู้ยำกับประเทศไทยมาตลอดกว่า10 ปีนี้
ปัญหาที่ น.ช.ทักษิณ สร้างเรื่องเอาไว้หนักหนาสาหัส ซ่อนปมผูกเงื่อนไว้ยิ่งกว่าลิงแก้แหเป็นหลายร้อยเท่า เพราะหยั่งรากลึกลงดินฝังทุกซอกอณูบริเวณของขวานทอง เสมือนลมพายุบ้าคลั่ง ที่ซัดกิเลสตัวเองเข้าใส่ประเทศไทยอย่างไม่หยุดยั้งตลอดช่วงที่ผ่านมา
ไม่ต่างจาก“คนบ้า”จนบ้านเมืองโคลงเคลง จวนเจียนจะล่มจมกลางมหาสมุทรมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ตั้งแต่เรื่องการบ้าอำนาจ มุทะลุ อยากจะเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ทำอะไรต้องได้ดังใจไปเสียหมดทุกเรื่อง โดยไม่สนว่าคนอื่นและประเทศชาติจะได้รับผลกระทบอย่างไร เพียงขอให้สำเร็จความใคร่ในสิ่งที่ตนเองคิด เพราะหลงตนว่า ความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้ตอนเลือกตั้งคือสิ่งที่การันตีความชอบธรรมในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองทำ
แม้กระทั่งเรื่องผิดก็ต้องเป็นถูก หากจะทำ
**วงจรอุบาทว์อุบัติขึ้นมาตลอด จนกลายเป็นระบอบที่ทำลายล้างประเทศไทยอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายประชานิยมที่หว่านลงให้คนหลงเชื่อว่า จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ทั้งที่เบื้องลึกเบื้องหลังต่างจะกอบโกยเป็นผลประโยชน์ตัวเอง
และเพียงเพื่อทำให้ตนอยู่ในอำนาจต่อไปด้วยความสวยงามที่อยู่เบื้องหน้า มอมเมาให้ประชาชนรากหญ้าหัวปักหัวปำว่า เป็นคนดีคนเก่ง
เห็นได้ชัดจากหลายเหตุการณ์ หลายพฤติกรรมที่เคยกระทำเอาไว้ ทั้งการแก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดช่องเปิดรูให้ตัวเองกระทำชั่วได้โดยไม่ผิดกฎกติกา อย่างเรื่องการเลี่ยงภาษี การซุกหุ้น หรือแม้กระทั่งเรื่องการซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ภรรยาสุดที่รัก
การใช้เงินทองที่มีอยู่มากมายเข้าไปทำลายระบบ ระเบียบ ต่างๆ ตลอดจนการแทรกแซงทุกกลไกเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยเหมือนเมื่อครั้งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีซุกหุ้นภาคแรก ที่ก็มีหลักฐานมาชำแหละกันภายหลังว่า น.ช.ทักษิณ พยายามเข้าไปกว้านซื้อตัวตุลาการในวงเงินจำนวนมหาศาล เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นโทษทัณฑ์
เหมือนที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ระบุ เอาไว้ว่า นี่คือต้นตอแห่งความขัดแย้งในประเทศไทยทุกวันนี้
ขณะเดียวกัน ยังเข้าไปบ่อนเซาะกระบวนการบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยการคืบคลานเข้าไปบั่นทอนให้อ่อนแอโดยการโยกย้ายพวกพ้องตัวเองเข้าไปนั่งอยู่ในตำแหน่งใหญ่ๆ ในระบบราชการเพื่อให้การกระทำชั่วทำได้โดยง่าย ไม่มีก้างขวางคอ โดยไม่ได้ดูว่าคนที่แต่งตั้งเข้าไปมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน
**ตรรกะง่ายๆ ของน.ช.ทักษิณ ไม่ได้มองว่าคนไหนมีฝีมือ ตรงกับสายงานที่จะนำไปจับวางหรือไม่ แต่ขอให้แค่มีบุญคุณ หรือเคยทำอะไรให้ตัวเองเท่านั้นต้องตอบแทนกันด้วยเก้าอี้ และลาภยศ เพื่อให้บุคคลนั้นๆ จงรักภักดี เป็นขี้ข้าที่ซื่อสัตย์
รากฐานอย่างนี้ถูกวางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังมีอำนาจ กระทั่งกลับมามีอำนาจในรูปแบบนอมินีก็ยังทำอยู่ อาทิ การตั้ง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพราะเป็นหลานของ นายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นครูทางการเมืองของตัวเอง เพียงเท่านั้น
หรือในกรณีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่อวยยศให้ ก็เพราะเป็นน้องรัก เป็นบ่าวไพร่ที่จงรักภักดี พอๆ กับ พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร อดีตนายตำรวจติดตามตัวเองสมัยเป็นนายกฯ ที่ก็ได้ดิบได้ดี ไปนั่งอยู่ในเก้าอี้ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชนิดตำแหน่งเก่าตำแหน่งใหม่ ห่างกันลิบลับ
ตรงกันข้ามกับคนเก่ง คนดี หากไม่สนองงานทำตามใจ ก็ไปตบยุงเตะฝุ่นกันอยู่ในกรุ ในห้องเย็น
ไม่ใช่แค่ในระบบราชการที่ น.ช.ทักษิณ ชอนไช แต่ลุกลามไปถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเสมือนแหล่งขุมทรัพย์ที่บรรดานักการเมือง หรือผู้แสวงหาผลประโยชน์อยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง เพราะปีๆ หนึ่ง มีงบประมาณในโครงการของรัฐเข้าไปจำนวนมหาศาล เหมาะแก่การสูบเลือด สูบเนื้อ
โดยน.ช.ทักษิณ พยายามดันคนของตัวเองเข้าไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ เพื่อให้หากินได้หลายช่องหลายทาง บางคนได้นั่งก็เพราะเป็นการตกรางวัล ความดีความชอบ ที่เคยทำให้ เรียกว่าไล่รายชี่อบอร์ดรัฐวิสาหกิจตอนนี้ดูกันได้
**“เฟรนด์ ออฟ แม้ว”เกี่ยวข้องกับตระกูลชินวัตรกันพรึ่บพรับ เต็มไปหมดแทบจะล้นบอร์ด
ไล่เอาตั้งแต่บอร์ดการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ปูนบำเหน็จให้“บิ๊กแจ๊ส”น้องรักเข้าไปนั่งเป็นประธานคุมเชิง แล้วให้พี่ชายต่างมารดาของ “คุณหญิงกระบังลม” อย่าง พล.ร.อ.เกียรติศักดิ์ ดามาพงศ์ เป็นกรรมการ พอๆ กับบอร์ดการบินไทย ที่ก็ตั้งเด็กในก๊วนเพื่อไทย อย่าง น.ต.ศิธา ทิวารี อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ก๊วนกทม. เป็นประธาน
ไม่ต่างเลยกับอภิมหาบอร์ดอย่าง บอร์ดปตท. ที่ก็ส่งเด็กในคอนโทรลไปนั่งกระดิกเท้า กินค่าเบี้ยเลี้ยง เบี้ยประชุม และกุมผลประโยชน์มหาศาล ทั้ง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรมช.คลัง ที่เข้าวินไปนั่งเก้าอี้นี้ได้ก็ด้วยผลงานเชิงประจักษ์ที่ทำให้คดีขายหุ้นชินคอร์ป ไม่ต้องเสียภาษี เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร
เช่นเดียวกับ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ ที่ได้เก้าอี้ก็เพราะเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นผู้สั่งไม่ฟ้องครอบครัวชินวัตร
ล้วงลูกขนาดไหน แม้แต่บริษัทลูกของปตท. น.ช.ทักษิณ ก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือแม้แต่นิดเดียว ด้วยการส่งเด็กในสังกัดอย่าง นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ทนายความพรรคไทยรักไทย เข้าไปนั่งแช่ งาบกันสบายเกือก สบายท้อง
ยังไม่นับรวมบอร์ดรัฐวิสาหกิจที่ยังเหลือในประเทศไทย ซึ่งมีคนในเครือข่ายตระกูลชินวัตร นั่งเป็นกรรมการแทบจะเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ประเภทไล่ชื่อกันไม่หวาดไหว สาวไส้ออกมาก็เจอเชื่อมโยงกันแทบทุกคน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทบ.) ในฐานะรองหัวหน้า คสช. จึงเตรียมจะสังคายนากันใหม่ แบบยกแผง
ระบอบทักษิณ แพร่กระจายอยู่ทั่ว ดังนั้นการรื้อวงจรอุบาทว์เหล่านี้จึงไม่ง่าย คสช.จำเป็นจะต้องใช้ความตั้งใจจริงๆ และต้องทำแบบสุดซอยด้วย การปฏิวัติรัฐประหารครั้งนี้ ถือเป็นต้นทุนประเทศต้องเริ่มใหม่ ให้หมดจด
สำคัญคือ คสช. ต้องไม่บ้าอำนาจเหมือนยุค คมช. ที่เป็นต้นเหตุให้งานล่มกลางอ่าว ไม่เช่นนั้นจะเข้าทางคนบ้าอย่าง น.ช.ทักษิณเหมือนกัน
**ติดตามกันต่อไปว่า คสช. จะล้างบ้าง สังคายนากันได้แค่ไหน !!!
ปัญหาที่ น.ช.ทักษิณ สร้างเรื่องเอาไว้หนักหนาสาหัส ซ่อนปมผูกเงื่อนไว้ยิ่งกว่าลิงแก้แหเป็นหลายร้อยเท่า เพราะหยั่งรากลึกลงดินฝังทุกซอกอณูบริเวณของขวานทอง เสมือนลมพายุบ้าคลั่ง ที่ซัดกิเลสตัวเองเข้าใส่ประเทศไทยอย่างไม่หยุดยั้งตลอดช่วงที่ผ่านมา
ไม่ต่างจาก“คนบ้า”จนบ้านเมืองโคลงเคลง จวนเจียนจะล่มจมกลางมหาสมุทรมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ตั้งแต่เรื่องการบ้าอำนาจ มุทะลุ อยากจะเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ทำอะไรต้องได้ดังใจไปเสียหมดทุกเรื่อง โดยไม่สนว่าคนอื่นและประเทศชาติจะได้รับผลกระทบอย่างไร เพียงขอให้สำเร็จความใคร่ในสิ่งที่ตนเองคิด เพราะหลงตนว่า ความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้ตอนเลือกตั้งคือสิ่งที่การันตีความชอบธรรมในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองทำ
แม้กระทั่งเรื่องผิดก็ต้องเป็นถูก หากจะทำ
**วงจรอุบาทว์อุบัติขึ้นมาตลอด จนกลายเป็นระบอบที่ทำลายล้างประเทศไทยอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายประชานิยมที่หว่านลงให้คนหลงเชื่อว่า จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น ทั้งที่เบื้องลึกเบื้องหลังต่างจะกอบโกยเป็นผลประโยชน์ตัวเอง
และเพียงเพื่อทำให้ตนอยู่ในอำนาจต่อไปด้วยความสวยงามที่อยู่เบื้องหน้า มอมเมาให้ประชาชนรากหญ้าหัวปักหัวปำว่า เป็นคนดีคนเก่ง
เห็นได้ชัดจากหลายเหตุการณ์ หลายพฤติกรรมที่เคยกระทำเอาไว้ ทั้งการแก้ไขกฎหมายเพื่อเปิดช่องเปิดรูให้ตัวเองกระทำชั่วได้โดยไม่ผิดกฎกติกา อย่างเรื่องการเลี่ยงภาษี การซุกหุ้น หรือแม้กระทั่งเรื่องการซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก ของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ภรรยาสุดที่รัก
การใช้เงินทองที่มีอยู่มากมายเข้าไปทำลายระบบ ระเบียบ ต่างๆ ตลอดจนการแทรกแซงทุกกลไกเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัยเหมือนเมื่อครั้งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีซุกหุ้นภาคแรก ที่ก็มีหลักฐานมาชำแหละกันภายหลังว่า น.ช.ทักษิณ พยายามเข้าไปกว้านซื้อตัวตุลาการในวงเงินจำนวนมหาศาล เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นโทษทัณฑ์
เหมือนที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ระบุ เอาไว้ว่า นี่คือต้นตอแห่งความขัดแย้งในประเทศไทยทุกวันนี้
ขณะเดียวกัน ยังเข้าไปบ่อนเซาะกระบวนการบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยการคืบคลานเข้าไปบั่นทอนให้อ่อนแอโดยการโยกย้ายพวกพ้องตัวเองเข้าไปนั่งอยู่ในตำแหน่งใหญ่ๆ ในระบบราชการเพื่อให้การกระทำชั่วทำได้โดยง่าย ไม่มีก้างขวางคอ โดยไม่ได้ดูว่าคนที่แต่งตั้งเข้าไปมีความสามารถมากน้อยแค่ไหน
**ตรรกะง่ายๆ ของน.ช.ทักษิณ ไม่ได้มองว่าคนไหนมีฝีมือ ตรงกับสายงานที่จะนำไปจับวางหรือไม่ แต่ขอให้แค่มีบุญคุณ หรือเคยทำอะไรให้ตัวเองเท่านั้นต้องตอบแทนกันด้วยเก้าอี้ และลาภยศ เพื่อให้บุคคลนั้นๆ จงรักภักดี เป็นขี้ข้าที่ซื่อสัตย์
รากฐานอย่างนี้ถูกวางเอาไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังมีอำนาจ กระทั่งกลับมามีอำนาจในรูปแบบนอมินีก็ยังทำอยู่ อาทิ การตั้ง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพราะเป็นหลานของ นายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นครูทางการเมืองของตัวเอง เพียงเท่านั้น
หรือในกรณีของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่อวยยศให้ ก็เพราะเป็นน้องรัก เป็นบ่าวไพร่ที่จงรักภักดี พอๆ กับ พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร อดีตนายตำรวจติดตามตัวเองสมัยเป็นนายกฯ ที่ก็ได้ดิบได้ดี ไปนั่งอยู่ในเก้าอี้ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ชนิดตำแหน่งเก่าตำแหน่งใหม่ ห่างกันลิบลับ
ตรงกันข้ามกับคนเก่ง คนดี หากไม่สนองงานทำตามใจ ก็ไปตบยุงเตะฝุ่นกันอยู่ในกรุ ในห้องเย็น
ไม่ใช่แค่ในระบบราชการที่ น.ช.ทักษิณ ชอนไช แต่ลุกลามไปถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเสมือนแหล่งขุมทรัพย์ที่บรรดานักการเมือง หรือผู้แสวงหาผลประโยชน์อยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง เพราะปีๆ หนึ่ง มีงบประมาณในโครงการของรัฐเข้าไปจำนวนมหาศาล เหมาะแก่การสูบเลือด สูบเนื้อ
โดยน.ช.ทักษิณ พยายามดันคนของตัวเองเข้าไปเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ เพื่อให้หากินได้หลายช่องหลายทาง บางคนได้นั่งก็เพราะเป็นการตกรางวัล ความดีความชอบ ที่เคยทำให้ เรียกว่าไล่รายชี่อบอร์ดรัฐวิสาหกิจตอนนี้ดูกันได้
**“เฟรนด์ ออฟ แม้ว”เกี่ยวข้องกับตระกูลชินวัตรกันพรึ่บพรับ เต็มไปหมดแทบจะล้นบอร์ด
ไล่เอาตั้งแต่บอร์ดการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ปูนบำเหน็จให้“บิ๊กแจ๊ส”น้องรักเข้าไปนั่งเป็นประธานคุมเชิง แล้วให้พี่ชายต่างมารดาของ “คุณหญิงกระบังลม” อย่าง พล.ร.อ.เกียรติศักดิ์ ดามาพงศ์ เป็นกรรมการ พอๆ กับบอร์ดการบินไทย ที่ก็ตั้งเด็กในก๊วนเพื่อไทย อย่าง น.ต.ศิธา ทิวารี อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย ก๊วนกทม. เป็นประธาน
ไม่ต่างเลยกับอภิมหาบอร์ดอย่าง บอร์ดปตท. ที่ก็ส่งเด็กในคอนโทรลไปนั่งกระดิกเท้า กินค่าเบี้ยเลี้ยง เบี้ยประชุม และกุมผลประโยชน์มหาศาล ทั้ง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรมช.คลัง ที่เข้าวินไปนั่งเก้าอี้นี้ได้ก็ด้วยผลงานเชิงประจักษ์ที่ทำให้คดีขายหุ้นชินคอร์ป ไม่ต้องเสียภาษี เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร
เช่นเดียวกับ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ ที่ได้เก้าอี้ก็เพราะเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด (อสส.) เป็นผู้สั่งไม่ฟ้องครอบครัวชินวัตร
ล้วงลูกขนาดไหน แม้แต่บริษัทลูกของปตท. น.ช.ทักษิณ ก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือแม้แต่นิดเดียว ด้วยการส่งเด็กในสังกัดอย่าง นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล ทนายความพรรคไทยรักไทย เข้าไปนั่งแช่ งาบกันสบายเกือก สบายท้อง
ยังไม่นับรวมบอร์ดรัฐวิสาหกิจที่ยังเหลือในประเทศไทย ซึ่งมีคนในเครือข่ายตระกูลชินวัตร นั่งเป็นกรรมการแทบจะเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ประเภทไล่ชื่อกันไม่หวาดไหว สาวไส้ออกมาก็เจอเชื่อมโยงกันแทบทุกคน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทบ.) ในฐานะรองหัวหน้า คสช. จึงเตรียมจะสังคายนากันใหม่ แบบยกแผง
ระบอบทักษิณ แพร่กระจายอยู่ทั่ว ดังนั้นการรื้อวงจรอุบาทว์เหล่านี้จึงไม่ง่าย คสช.จำเป็นจะต้องใช้ความตั้งใจจริงๆ และต้องทำแบบสุดซอยด้วย การปฏิวัติรัฐประหารครั้งนี้ ถือเป็นต้นทุนประเทศต้องเริ่มใหม่ ให้หมดจด
สำคัญคือ คสช. ต้องไม่บ้าอำนาจเหมือนยุค คมช. ที่เป็นต้นเหตุให้งานล่มกลางอ่าว ไม่เช่นนั้นจะเข้าทางคนบ้าอย่าง น.ช.ทักษิณเหมือนกัน
**ติดตามกันต่อไปว่า คสช. จะล้างบ้าง สังคายนากันได้แค่ไหน !!!