“สาทิตย์” ย้อนแปรรูป ปตท.สมัยทักษิณ ใช้เวลานาทีกว่าขายหุ้นให้คนในเครือตัวเองหมดเกลี้ยง พร้อมตั้งคนจากชินคอร์ป, เอไอเอส นั่งเป็นกรรมการ แถมตั้ง “ยิ่งลักษณ์” คุมงบ 2.5 ล้านล้านต่อปี รวมยอดขาย ตปท.อีกปีละ 3 ล้านล้าน คุมเงินเกินครึ่งจีดีพีประเทศ แฉ “แม้ว” สมคบทุนสามานย์โลกผ่าน “อัมสเตอร์ดัม” สูบเลือดคนไทย
หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์มาระยะหนึ่งว่า เวทีการชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ไม่มีการพูดถึงประเด็นการปฏิรูปพลังงานทั้งที่เป็นประเด็นสำคัญในการปฏิรูปประเทศ และทำให้ กปปส. ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีกลุ่มทุนพลังงานคอยกำกับอยู่เบื้องหลังหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เวที กปปส. ได้หันมาพูดเรื่องพลังงานมากขึ้น โดยเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในแกนนำ กปปส. ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีสวนลุมพินี เรื่องการปฏิรูปพลังงานตอนหนึ่งว่า สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้มีการแปรรูป บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เนื่องจากบริษัท ปตท. ได้มีการผูกขาดด้านพลังงานทั้งเรื่องก๊าซที่ขุดได้ในอ่าวไทยกับกิจการด้านน้ำมันซึ่งการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยซื้อน้ำมันมาและขายให้กับโรงกลั่น โดยตัวเองเป็นผู้กำหนดราคา เมื่อ ปตท. ได้มีการแปรรูปแล้วรัฐยังถือหุ้น 51 เปอร์เซ็นต์ กองทุนวายุภักษ์ในกำกับของกระทรวงการคลังถือหุ้น 15 เปอร์เซ็นต์ อีก 39 เปอร์เซ็นต์ เหลือเป็นของเอกชน โดยในยุคทักษิณเป็นรัฐบาลใช้เวลาเพียง 77 วินาที ขายหุ้น ปตท. หมดภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งคนใกล้ชิด พรรคพวกที่ได้หุ้น ปตท. ส่วนใหญ่เป็นคนใกล้ตัวของทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น หุ้นของ ปตท.39 เปอร์เซ็นต์ ตามได้ยากเพราะส่วนใหญ่เป็นกองทุนที่ถือหุ้นในนามนอมินีของคนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเอาเงินมาลงแล้วก็เอากำไรจาก ปตท. ส่งกลับไปในกองทุนและส่งกลับไปยังผู้ถือหุ้น ระบอบทักษิณจึงใช้อำนาจที่มีแต่งตั้งคนของตัวเองจากบริษัทชินคอร์ป หรือคนที่มีสายสัมพันธ์กับตระกูลชินวัตรไปเป็นกรรมการในบริษัท ปตท. และในเครือ 126 บริษัท โดยใช้กำไรจาก ปตท. ปีละแสนล้านเลี้ยงคนในระบอบทักษิณ
นายสาทิตย์กล่าวอีกว่า บริษัท ปตท. มีมูลค่าในการทำธุรกิจปีละประมาณ 3 ล้านล้านบาท ไม่นับเงินที่หักเอาไว้ก่อนเป็นกำไร เพื่อเอาไปลงทุนต่อไปที่ขาดธรรมาภิบาล โดยเอาไปตั้งบริษัทลูก เอาเงินกำไรที่ได้จากประชาชน ไปลงทุนในต่างประเทศ ซื้อบริษัทในราคาแพงกว่าความเป็นจริง ซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงใช้ส่วนนี้ฟันกำไรเข้ากระเป๋าไปจำนวนมาก
ทั้งนี้ บริษัท ปตท. มีกรรมการบริษัทจำนวน 15 คน โดยในปี 2556 ได้ใช้จ่ายเงินไป 61 ล้านบาท ส่วนของผู้บริหาร ปตท. ได้ค่าตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10 ล้านบาทเศษ ไม่นับจากการเป็นกรรมการบริษัทอื่น ดังนั้นเมื่อระบอบทักษิณเข้ามากุมอำนาจแล้วจึงต้องเข้าไปคุมกระทรวงการคลัง เพราะถือหุ้นใหญ่ในรัฐวิสาหกิจอย่าง ปตท. ซึ่งสามารถเสนอชื่อใครมาเป็นกรรมบริษัท ปตท. ก็ย่อมได้ ระบอบทักษิณจึงส่งคนเข้าไปนั่งเป็นกรรมการบริษัทอื่นและนั่งทับกันในหลายบริษัทในคราวเดียว
นอกจากนั้น นายสาทิตย์ ยังได้เปิดเผยรายชื่อบุคคลที่เคยนั่งเป็นกรรมการบริษัท ปตท. โดยเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตระกูลชินวัตร อาทิ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด, นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการส่วนการบริหารลูกค้าองค์กรบริษัท เอไอเอส จำกัด, นายอินสอน บัวเขียว อดีต ส.ส.จังหวัดเชียงใหม่, พล.อ.วรวัฒน์ อินทรทัต อดีตเลขานุการ รมว.กลาโหม ยุคนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ, นางเบญจา หลุยเจริญ รักษาการ รมช.คลัง, นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รักษาการ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายชัยเกษม นิติศิริ รักษาการ รมว.กระทรวงยุติธรรม, นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อดีตอัยการสูงสุด, นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, นายพิชัย ชุณหวชิร หนึ่งในสิบพยานคดีจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, นายวิเศษ จูภิบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.)
นายสาทิตย์กล่าวอีกว่า ระบอบทักษิณได้ส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาคุมงบประมาณประเทศปีละ 2.5 ล้านล้านบาท อีกทั้งเอาคนระบอบทักษิณไปคุมกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง เพื่อไปกำกับดูแลบริษัท ปตท.ซึ่งมีมูลค่ากว่า 3 ล้านล้านบาท โดยรวมกันแล้วเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจีดีพีประเทศไทยคือ 11 ล้านล้านบาท โดยในยุครัฐบาลทักษิณได้จัดการแปรรูปทั้ง ปตท. การท่าอากาศยานไทย อสมท องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) ในขณะเดียวกัน จะแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้สำเร็จอีกด้วย ซึ่งจะทำให้ค่าไฟจะขึ้นมากกว่าเดิม แต่เป็นโชคดีของประชาชนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคชนะคดีที่ยื่นให้ศาลปกครองไป
นายสาทิตย์กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ยังพบว่าการแปรรูปในยุครัฐบาลทักษิณไม่ได้ทำคนเดียว แต่มีความสัมพันธ์กันยาวนาน นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ในฐานะล็อบบียิสต์ ที่เคลื่อนไหวให้ทุนสามานย์นายทุนตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ซึ่งครั้งหนึ่งทักษิณเคยเป็นที่ปรึกษาให้กับกลุ่มทุนเหล่านี้ทักษิณจึงเป็นผู้สมคบคิดกับทุนสามานย์โลกเข้ามาหากินกับผืนแผ่นดินไทย