xs
xsm
sm
md
lg

เปิดงานวิจัย รับประทานไข่ไก่ ดีจริงหรือเปล่า (ตอนที่ 1)?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

"ไข่ไก่" ทั้งฟองมีปริมาณโปรตีนและโคลีนอยู่มาก เนื่องจากโปรตีนที่มีอยู่ กระทรวงการเกษตรสหรัฐอเมริกาจึงจัดประเภทไข่ไก่ว่าเป็น เนื้อสัตว์ ในพีระมิดอาหาร อย่างไรก็ดี แม้ไข่ไก่จะมีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ก็มีแนวโน้มก่อปัญหาสุขภาพได้โดยเฉพาะคนที่มีอาการแพ้ไข่ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วไข่เป็นอาหารที่พบการแพ้บ่อยที่สุดอย่างหนึ่งในทารก และทารกมักหายจากอาการแพ้ไข่ได้เมื่อโตขึ้น ส่วนใหญ่พบเป็นการแพ้ไข่ขาวมากกว่าไข่แดง

แต่ถ้าตัดในเรื่องการแพ้ไข่แล้วก็จะยังคงเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่มากว่าไข่ไก่ควรรับประทานจำนวนเท่าไหร่ถึงจะพอดี รับประทานมากเกินไปแล้วผลจะเป็นอย่างไร และสำคัญที่สุดมีอันตรายหรือไม่อย่างไร?

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่หลายคนอยากจะรู้ เพราะยุคหนึ่งคนกลัวการรับประทานเพราะกลัวคอเลสเตอรอล แต่ในยุคหนึ่งต่อมาก็กลับมีโฆษณาบอกว่าการรับประทานไข่ไก่ทำให้สุขภาพดี ทำให้ผู้บริโภคหลายคนไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไรจึงจะดีกันแน่?

เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจถึงองค์ประกองทางโภชนการของไข่ไก่เสียก่อนว่า ไข่ไก่นั้นให้กรดอะมิโนจำเป็นทุกชนิด ตลอดจนวิตามินและเกลือแร่อีกหลายชนิด รวมทั้งเรตินอล (วิตามินเอ), ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี2), กรดโฟลิก (วิตามินบี9), วิตามินบี 6, วิตามินบี12, โคลิน, เหล็ก, แคลเซียม, ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม

ส่วนวิตามินเอ ดีและอีทั้งหมดในไข่อยู่ในไข่แดง ไข่เป็นหนึ่งในอาหารไม่กี่ชนิดในธรรมชาติที่มีวิตามินดี
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าไข่มีคุณค่าทางโภชนาการอยู่มากเลยทีเดียว

ทั้งนี้ไข่แดงขนาดใหญ่ให้พลังงานประมาณ 60 แคลอรี (250 กิโลจูล) ไข่ขาวให้พลังงานประมาณ 15 แคลอรี (60 กิโลจูล)

ไข่แดงมีน้ำหนักคิดเป็น 33% ของน้ำหนักของเหลวของไข่ ไขมันทั้งหมดอยู่ในไข่แดงน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของโปรตีนเล็กน้อย และสารอาหารอื่นส่วนใหญ่ โดยไข่แดงหนึ่งใบมีปริมาณโคลีนเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ทั้งนี้โคลีนเป็นสารอาหารสำคัญต่อพัฒนาการของสมองและมีความสำคัญต่อสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรเพื่อประกันพัฒนาการสมองในทารก

สำหรับเรื่องหนึ่งที่คนกลัวมากที่สุดในการรับประทานไข่ไก่ก็คือ "คอเลสเตอรอล" เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคอเลสเตอรอลทำให้เกิดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจ แต่ในงานวิจัยเชิงสถิติที่ออกมาจำนวนมากกลับพบว่าความเสี่ยงของคนที่เป็นโรคหลอดเลือดตีบและโรคหัวใจนั้นคือ "คนที่มีคอเลสเตอรอลลดลงเมื่อมีอายุ 50 ปีขึ้นไป"

ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2530 วารสารแห่งสมาคมแพทย์อเมริกัน ได้ตีพิมพ์บทความ เรื่อง คอเลสเตอรอลและอัตราการเสียชีวิต โดยติดตามผล 30 ปีติดต่อกันจากการศึกษาของฟรามิงแฮม “Cholesterol and mortality 30 years of follow-up from the Frmingham Study” จัดทำโดย แอนเดอร์สัน (Keaven M. Anderson) และคณะ เอาไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างอายุของคนกับการมีคอเลสเตอรอลซึ่งสรุปเอาไว้ว่า:

“หากอายุน้อยกว่า 50 ปี ระดับปริมาณของคอเลสเตอรอลในหลอดเลือดมีผลโดยไปในทางเดียวกันกับอัตราการเสียชีวิตโดยรวมและโรคหลอดเลือดโดยรวมในช่วงเวลา 30 ปี โดยทุกๆ 10 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรของคอเลสเตอรอลที่เพิ่มขึ้น จะมีอัตราความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้นด้วยประมาณ 5% ในขณะเดียวกันก็จะเพิ่มอัตราความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเพิ่มขึ้น 9 %

ในขณะที่ประชากรเมื่ออายุมากกว่า 50 ปีไปแล้ว กลับพบว่าไม่มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทั้งคนที่คอเลสเตอรอลต่ำหรือสูง อย่างไรก็ตามพบความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในการลดลงของคอเลสเตอรอลในช่วง 14 ปีแรกของกลุ่มสำรวจ และติดตามผลอัตราการเสียชีวิตในรอบ 18 ปีในกลุ่มคนที่อายุ 50 ปี ขึ้นไปพบว่า


"เมื่อระดับคอเลสเตอรอลลดลง 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร กลับทำให้อัตราการเสียชีวิตโดยรวมเพิ่มขึ้น 11% และอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดและหัวใจเพิ่มขึ้น 14% หรืออีกนัยหนึ่งหากคอเลสเตอรอลลดลงไป 1 มิลลิโมลต่อลิตร (ลดไป 38 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร) ความเสี่ยงในการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นถึง 429 %”

ดังนั้นหากใครที่คิดว่าตัวเองมีอายุ 50 ปีขึ้นไป แล้วมีคอเลสเตอรอลตกลงและต้องการเพิ่มแหล่งอาหารคอเลสเตอรอลเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการสังเคราะห์ให้ได้ฮอร์โมน เยื่อหุ้มเซลล์ วิตามินดี และฉนวนหุ้มปลายประสาท ให้มากขึ้น นอกจากการจะออกกำลังกายและเพิ่มอัตราการเผาผลาญให้ตับด้วยการดื่มน้ำมันมะพร้าวแล้ว ไข่แดงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสงสัยว่าอาจจะตอบโจทย์นี้ได้

เพราะไข่แดงเป็นแหล่งอาหารของคอเลสเตอรอล แต่ไข่ขาวแทบไม่มีคอเลสเตอรอล ทั้งนี้แคลอรีเกินครึ่งหนึ่งของไข่มาจากไขมันที่อยู่ในไข่แดง โดยไข่ไก่ขนาดใหญ่ (50 กรัม) มีไขมันอยู่ประมาณ 5 กรัม โดยมีไขมันในไข่เพียง 27% เท่านั้นที่เป็นไขมันอิ่มตัว ได้แก่ กรดปาล์มิติก สเตียริกและไมริสติก ไข่ขาวส่วนใหญ่เป็นน้ำ (87%) และโปรตีน (13%) ไม่มีคอเลสเตอรอล และมีไขมันน้อยมากถึงไม่มีเลย อย่างไรก็ตามกรดไขมันในไข่ไก่จะออกมาเป็นอย่างไรและเป็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับอาหารที่เลี้ยงไก่นั้นด้วย

แม้ว่าไข่ไก่จะมีคอเลสเตอรอล แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าลำไส้เราจะสามารถดูดซึมคอเลสเลสเตอรอลจากไข่ไก่ได้ นักวิจัยโดย ศาสตราจารย์คูและคณะ (ประกอบด้วย Sung I. Koo, Yonghzhi Jiang and Sang K. Noh)จากมหาวิทยาลัยรัฐแคนซัส มลรัฐแคนซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำงานวิจัยกับหนูทดลองพบว่า :

"ไขมันในรูปฟอสโฟลิพิด (Phospholipid) ที่มีอยู่ในไข่ไก่นั้นจะเข้าไปแทรกแทรงและขัดขวางกระบวนการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้ให้น้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อลำไส้ดูดซึมคอเลสเตอรอลได้ลดน้อยลง เป็นผลทำให้การเพิ่มคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดนั้นไม่ได้มากอย่างที่หลายคนจะคาดคิด"

จากเหตุผลนี้ศาสตราจารย์คูหัวหน้าคณะวิจัยชุดนี้จึงให้ความเห็นเอาไว้ว่า:

"สำหรับคนที่มีระดับคอเลสเตอรอลปกติและครอบครัวไม่มีประวัติโรคเกี่ยวกับการหมุนเวียนของหลอดเลือดก็ไม่ควรวิตกกังวลเกี่ยวกับการรับประทานไข่ไก่ 1-2 ฟองต่อวัน โดยภาพรวมน่าจะมีประโยชน์มากกว่าโทษ"

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อข้อมูลเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าไข่ไก่เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของวิตามินเอ วิตามินอี วิตามินบี วิตาบินบี-6 วิตามินบี 12 และโฟเลท ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าจะทำให้ลดปริมาณระดับ โฮโมซินสเทอีน (Homocysteine) ในกระแสเลือดซึ่งเป็นตัวการที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและอัมพาตด้วย

เมื่ออ่านข้อมูลตอนแรกเช่นนี้แล้ว ก็อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไปเร่งรับประทานไข่ไก่มากๆแบบไม่บันยะบันยังเพราะการรับประทานอย่างนั้นก็เกิดโทษได้เช่นกัน หรือไปเร่งรับประทานไม่ถูกวิธีด้วยการไปผัดหรือทอดกับน้ำมันที่ไม่อิ่มตัวมากๆ (น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันรำข้าว, น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ) ก็จะทำให้การรับประทานไข่ไก่เกิดโทษได้ด้วย และปัจจัยนี้เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้งานวิจัยและการสำรวจทางสถิติแต่ละชิ้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งจะกล่าวในตอนต่อๆ ไป

สำหรับคนใจบุญที่รับประทานอาหารมังสวิรัติแบบ Vegan คือไม่รับประทานแม้แต่ไข่ไก่หรือผลิตภัณฑ์จากนมของสัตว์ ก็อย่าเพิ่งด่วนลังเลใจว่าตัวเองเมื่อมีอายุ 50 ปีขึ้นไปแล้วจะรักษาระดับคอเลสเตอรอลให้ตกลงช้าลงได้อย่างไรโดยไม่รับประทานไข่ไก่ เพราะสิ่งเหล่านี้ก็จะกล่าวถึงในตอนต่อๆ ไปเช่นกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น