xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

สู่จุดอวสาน“แก๊งอั้งยี่ชินวัตร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นการสิ้นสภาพความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา แม้จะไม่ใช่คำตัดสินที่ทำให้“ระบอบทักษิณ” ต้องล่มสลายลงในทันทีทันใด แต่ก็เป็นคำตัดสินที่จะนำไปสู่จุดอวสานของระบอบการเมืองทุนสามานย์ที่มี นช.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำสูงสุด ภายในเวลาไม่ช้านี้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชี้ชัดว่า การโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี แล้วย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ไปเป็นเลขาธิการ สมช. และให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ญาติของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปเป็น ผบ.ตร.นั้น ดำเนินการอย่างเร่งรีบ ไม่เป็นไปตามการปฏิบัติราชการตามปกติ จึงมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า ปัจจัยอันเป็นที่มาของการโอนนายถวิล เปลี่ยนศรี คือความประสงค์ให้ตำแหน่งเลขาธิการ สมช.ว่างลง เพื่อโอนย้ายพล.ต.อ.วิเชียร มาดำรงตำแหน่งแทน อันจะทำให้ตำแหน่ง ผบ.ตร.ว่างลง เปิดโอกาสให้สามารถแต่งตั้งเครือญาติของผู้ถูกร้องขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแทน

การกระทำดังกล่าวถือเป็นการใช้สถานะ หรือตำแหน่งการเป็นนายกรัฐมนตรี เข้าไปก้าวก่าย หรือแทรกแซง เพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ในเรื่องการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอน เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือน หรือการพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการ หรือมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ และมิใช่ข้าราชการการเมือง จึงต้องด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 266(2) และ (3) และถือเป็นการกระทำตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268

คำวินิจฉัยนี้ ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะตัวพร้อมกับรัฐมนตรีที่ร่วมลงมติอนุมัติการโยกย้ายนายถวิล เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 ในจำนวนนั้นมี 9 คนที่ยังร่วมในรัฐบาลรักษาการชุดนี้ ส่วนรัฐมนตรีรักษาการคนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่อไป

คำวินิจฉัยที่ออกมา แม้จะไม่ได้ทำให้รัฐมนตรีรักษาการสิ้นสภาพทั้งคณะ ตามความคาดหวังของฝ่ายมวลมหาประชาชน อันจะนำไปสู่การเกิดสุญญากาศ และต้องมีการแต่งตั้งรัฐบาลตามมาตรา 3 หรือมาตรา 7 ขึ้นมาทำหน้าที่แทน แต่ก็ทำให้ฝ่ายระบอบทักษิณ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นกัน นั่นเพราะคำวินิจฉัยไม่ได้เป็นไปตามที่เคยปลุกระดมคนเสื้อแดงเอาไว้

เมื่ออ่านรายละเอียดของคำวินิจฉัยแล้ว จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมของระบอบทักษิณในการใช้อำนาจก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องนั้น ถูกเปิดโปงออกมาอย่างล่อนจ้อน ทำให้วิญญูชนทั้งประเทศได้เห็นถึงความฉ้อฉลเจ้าเล่ห์สามานย์ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ได้อย่างชัดแจ้ง

นอกจากนั้น คำวินิจฉัยที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องพ้นสภาพเป็นการเฉพาะตัว ไม่ได้พ้นสภาพทั้งคณะตามที่ฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณคาดหวัง รวมทั้งการยกคำร้องในส่วนที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ดำเนินการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 และมาตรา 173 โดยระบุว่า ไม่อยู่ในขอบเขตเสนอคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น ทำให้เห็นว่าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินไปตามข้อเท็จจริงและตัวบทกฎหมาย ไม่ได้ตัดสินไปตามธงของใครทั้งสิ้น

คำวินิจฉัยออกมาเช่นนี้ ทำให้สิ่งที่ฝ่าย นช.ทักษิณและเครือข่ายบริวารปลุกระดมเป่าหูสาวกไว้ล่วงหน้าว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะพิพากษาให้นายกฯ และ ครม.ต้องพ้นไปทั้งคณะ จนทำให้เกิดการนองเลือดตามมาเพราะจะมีคนไม่พอใจจำนวนมากนั้น เป็นเพียงการสร้างเรื่องโกหกและข่มขู่คณะตุลาการเท่านั้น

กระนั้นก็ตาม เมื่อเนื้อหาคำวินิจฉัยได้เปิดโปงพฤติกรรมการก้าวก่ายแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการออกมาอย่างล่อนจ้อน จึงถือว่าคำวินิจฉัยนี้ได้สร้างความเสียหายให้ระบอบทักษิณอย่างมหาศาล และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เป็นว่าระบอบทักษิณยังไม่สามารถเข้าไปครอบงำฝ่ายตุลาการได้ แม้จะยึดกุมอำนาจฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว

พลันที่การอ่านคำวินิจฉัยจบลงในตอนบ่ายวันที่ 7 พฤษภาคม คณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการกิจการพรรคเพื่อไทย นำโดยนายโภคิน พลกุล เนติบริกรมือต้นๆ ของ นช.ทักษิณ ก็ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทยทันที โดยอ้างเป็นตุเป็นตะว่า มีขบวนการสมคบคิดกันเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯ ล้มล้างการเลือกตั้ง มุ่งทำลายล้างฝ่ายประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือของพรรคการเมืองบางพรรค กปปส.และองค์กรตามรัฐธรรมนูญบางองค์กร ถือเป็นการรัฐประหารในรูปแบบใหม่เพื่อสร้างระบอบการปกครองใหม่ที่ทำลายความหวังของพี่น้องประชาชนที่จะเห็นประเทศก้าวหน้าไปบนวิถีทางประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทยอ้างอีกว่าการใช้อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญก็ดี ป.ป.ช.ก็ดี ที่กระทำต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ล้วนเป็นไปด้วยความเร่งรัด เร่งรีบ ผิดปกติ ไม่ให้โอกาสอ้างอิงพยานและรับฟังคำพยานได้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น และบ่อยครั้งสอดคล้องกับการแถลงของ กปปส. และฝ่ายที่ต้องการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย

น่าสังเกตว่า พรรคเพื่อไทยกล่าวหาว่าศาลฯ กระทำต่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยความเร่งรัดเร่งรีบผิดปกติ แต่ข้อกล่าวหานั้น ย้อนเข้าตัวพรรคเพื่อไทยไปเต็มๆ ยกตัวอย่าง การโยกย้ายนายถวิลนั้น รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์เร่งรีบดำเนินการทันทีหลังจากถวายสัตย์ปฏิญาณเข้าบริหารประเทศได้ไม่กี่วัน และกระบวนการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงทั้ง “3 ขยัก” ครั้งนี้ เสร็จสิ้นภายในเวลาเพียง 4 วัน หลังจากนั้นนายถวิล ซึ่งเห็นว่าตนเองไม่ได้รับความเป็น จึงต่อสู้เรื่องนี้มา 2 ปีกว่า จนศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสิน และมีผู้นำไปยื่นร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์

คำแถลงของพรรคเพื่อไทยจึงเป็นเพียงการบิดเบือนกล่าวโทษศาลและองค์การอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ เมื่อตัวเองกระทำผิด นั่นเพราะตนเองไม่สามารถโต้แย้งในเนื้อหาข้อเท็จจริงและตัวบทกฏหมายได้ จึง“มโน”สร้างเรื่องว่ามีรอแผนสมคบคิดล้มล้างรัฐบาล ระหว่างพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ประชาชนที่ออกมาต่อต้าน และองค์กรอิสระ พร้อมกับทึกทักเอาเองว่าตนเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อกลบเกลื่อนความผิดมหันต์ของฝ่ายตนเอง และปลุกระดมมวลชนให้ออกมาต่อสู้เพื่อให้พวกตัวเองกลับเข้าสู่อำนาจแบบเต็มตัวอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์หลอกใช้มวลชนเป็นนั่งร้านของระบอบทักษิณ น่าจะสิ้นมนต์ขลังเสียแล้ว เชื่อขนมกินได้เลยว่า การนัดชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่ถนนอักษะ ในวันที่ 10 พฤษภาคมนี้ จะไม่สามารถระดมคนได้มากเท่าครั้งก่อนๆ เห็นได้จากการนัดชุมนุมเมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการท้าดวลกับ กปปส.ว่าใครจะระดมมวลชนมาได้มากกว่ากัน ฝ่ายเสื้อแดงก็จัดมาได้เพียง 3-4 หมื่นคนเท่านั้น ทั้งที่คุยโวว่าจะมาถึง 5 แสน

แม้ว่า ในวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา แกนนำ นปช.ได้ปลุกผี “อำมาตย์” ขึ้นมาหลอกมวลชนให้มาร่วมต่อสู้อีกครั้ง ก็ไม่น่าจะดึงคนเสื้อแดงออกมาได้มากเท่าปี 2552 หรือ 2553 นั่นเพราะคนเสื้อแดงจำนวนมากตาสว่างแล้ว จากการเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในช่วง 2 ปี 9 เดือนที่ผ่านมา

หาก “อำมาตย์”มีจริง รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้ใช้อำนาจที่มีอยู่เต็มไม้เต็มมือเพื่อล้มล้างอำมาตย์อย่างไรบ้าง มีแต่รัฐบาลทำตัวเป็นอำมาตย์เสียเอง และทำร้ายจิตใจมวลชนคนเสื้อแดงที่บาดเจ็บล้มตายด้วยการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง เพื่อให้ นช.ทักษิณได้รับประโยชน์ด้วย ขณะที่โครงการที่จะช่วยคนจนรากหญ้าได้ลืมตาอ้าปากได้อย่างการรับจำนำข้าว ก็ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ขณะที่หลายโครงการก็ได้เผยให้เห็นธาตุแท้ของ นช.ทักษิณ ชินวัตรว่า เป็นนักประชาธิปไตยแต่ปาก และแอบอ้างอำนาจประชาชนเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเอง เช่น โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน โครงการกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทเพื่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมก่อนทำโครงการ และส่อชัดว่าเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล

ระบอบทักษิณยิ่งซวนเซหนัก เมื่อกระบวนการยุติธรรมเดินหน้า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยกรณีย้ายนายถวิลแล้ว วันที่ 8 พฤษภาคม ป.ป.ช.ก็มีมติถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฐานปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ฟันซ้ำเป็นดาบสอง ขณะที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ก็ได้ส่งหนังสือทวงเงิน 3.8 พันล้านที่สูญเสียไปกับการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่กลายเป็นโมฆะ

นี่ยังไม่รวมกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. และมาตรา 190 ที่มีนักการเมืองในเครือข่ายระบอบทักษิณรอถูกเชือดอยู่นับร้อยคน

ถึงวันนี้ ไม่ว่าการต่อสู้ของ กปปส.จะลงเอยอย่างไร แต่ที่แน่ๆ วันอวสานของระบอบทักษิณกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อการทำงานของฝ่ายตุลาการและองค์อิสระมีความคืบหน้า ขณะเดียวกันมวลชนคนเสื้อแดงจำนวนมากก็เริ่มตาสว่าง จน นช.ทักษิณและแกนนำเสื้อแดงไม่อาจหลอกใช้ได้อีกต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น