xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เทือก”ดีเดย์สู้ครั้งสุดท้าย 14 พ.ค.กับแผนสอง“หลวงปู่”พึ่งพระบารมี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ เข้าหารือกับหลวงปู่พุทธะอิสระ ที่เวทีแจ้งวัฒนะ เมื่อ 1 พ.ค. รับปากว่าจะเป็นผู้ร่างหนังสือเพื่อยื่นถวายฎีกาฯ ขอพระบรมราชวินิจฉัยแนวทางการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ตามช่องทางมาตรา 3
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -การชุมนุมเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณ นำโดยคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการ ได้เดินทางมาใกล้ถึงจุดสิ้นสุด หลังจากนายสุเทพได้ประกาศแผนการต่อสู้ขั้นสุดท้าย เมื่อคืนวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา

นายสุเทพย้ำว่ามวลมหาประชาชนยังคงเป้าหมายเดิมที่จะขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยให้ได้ก่อนที่จะเดินหน้าการปฏิรูปประเทศ โดยไม่มีการประนีประนอมหรือเจรจาต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น และจะต้องไม่มีการเลือกตั้งหากยังทำการปฏิรูปไม่สำเร็จ

แผนการต่อสู้ขั้นสุดท้ายตามที่นายสุเทพประกาศ แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน เริ่มจากขั้นตอนแรก วันที่ 5 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล กปปส.จะนำมวลมหาประชาชนไปถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บริเวณหน้า วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว และทำพิธีตั้งสัตยาธิษฐานที่จะทุ่มเทชีวิตจิตใจต่อสู้เพื่อชาติเพื่อแผ่นดินให้เป็นผลสำเร็จให้ได้

หลังจากนั้น ขั้นตอนที่สอง วันที่ 13 พฤษภาคมซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา หรือชาวบ้านเรียกว่าวันพระใหญ่ กปปส.จะจัดทำบุญประเทศครั้งใหญ่ และขจัดเสนียดจัญไรของประเทศ และเข้าสู่ขั้นตอนที่ 3 ในวันรุ่งขึ้น คือ 14 พฤษภาคม จะเริ่มการปฏิบัติการเรียกคืนอำนาจอธิปไตยกลับมาเป็นของประชาชน โดยการระดมมวลมหาประชาชนให้ออกมาชุมนุมกันอีกครั้งนึ่ง และจะมีการประกาศสถานที่และมาตรการเคลื่อนไหวให้ทราบภายหลัง

นายสุเทพ ประกาศแผนล่วงหน้าว่า หลังจากเรียกคืนอำนาจอธิปไตยกลับมาเป็นของประชาชนสำเร็จแล้ว จะมีการใช้มาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ และประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในการตั้งรัฐบาลของประชาชน โดยมีนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการยอมรับนับถือ มีความซื่อสัตย์สุจริตตั้งใจจริงที่จะปฏิรูปประเทศ ไม่มีการแทรกแซงจากการนักการเมือง ไม่มีคนจาก กปปส.เข้าร่วม พร้อมกับมีการตั้งสภานิติบัญญัติของประชาชน มีอำนาจตรากฎหมาย แก้ไขปัญหา ร่วมมือกับรัฐบาลของประชาชน เร่งรัดให้มีการปฏิรูปประเทศซึ่งจะใช้เวลาดำเนินการทั้งหมดประมาณ 18 เดือน

นั่นคือตารางเวลา หรือ ไทม์ไลน์ ที่นายสุเทพและ กปปส.วางไว้ และน่าติดตามว่าจะเป็นไปตามนั้นหรือไม่ โดยเฉพาะการตั้งรัฐบาลและสภานิติบัญญัติของประชาชนนั้น แม้นายสุเทพจะไม่ได้เอ่ยออกมาในคำประกาศเมื่อวันที่ 30 เมษายน แต่โดยเนื้อแท้แล้ว มันคือการประกาศให้มวลมหาประชาชนเป็น“รัฏฐาธิปัตย์”นั่นเอง ซึ่งหากฝ่ายระบอบทักษิณไม่ยอมแพ้ ก็ยากที่จะทำให้เป็นจริงได้

นายสุเทพเคยนัดมวลมหาประชาชนชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรก วันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 ที่บริเวณถนนราชดำเนิน ตามด้วยวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล วันที่ 22 ธันวาคม 2556 ชุมนุมใหญ่ 7 จุดทั่วกรุงเทพมหานคร และปฏิบัติการ “ปิดกรุงเทพฯ” ด้วยการปักหลักชุมนุมยาวตามสี่แยกต่างๆ ในวันที่ 13 มกราคม 2557 ก่อนที่จะยุบรวมเวทีเหลือเพียงที่สวนลุมพินีและเวทีแจ้งวัฒนะในเวลาต่อมา

การนัดชุมนุมโดยนายสุเทพ และ กปปส.แต่ละครั้งก็มีประชาชนเข้าร่วมมากมายเป็นประวัติการณ์ทั้งสิ้น แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างแรงกดดันที่มากเพียงพอที่จะทำให้ระบอบทักษิณยอมแพ้ได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังคงท่องคาถาว่าตนเองมาจากการเลือกตั้ง และต้องอยู่ในตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรีเพื่อรักษาประชาธิปไตย เป็นข้ออ้างในการยึดกุมอำนาจรัฐต่อไป โดยไม่มีท่าทีว่าจะยอมถอยให้มวลมหาประชาชนแม้แต่น้อย

คำประกาศต่อสู้ครั้งสุดท้ายเพื่อยึดอำนาจอธิปไตยคืนให้ประชาชนที่จะดีเดย์ในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ จึงยังเป็นที่น่าสงสัยอยู่ว่า นายสุเทพหรือแกนนำ กปปส.มีมาตรการอะไรเป็นทีเด็ดทีขาดที่จะทำให้ระบอบทักษิณยอมรามือจากการยึดกุมอำนาจรัฐ หรือไม่

จากบทเรียนการชุมนุมใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ 4 ครั้งของ กปปส.ที่ผ่านมา เป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า เพียงแค่จำนวนคนที่ออกมาเดินตามท้องถนนแม้จะมากมายทำลายสถิติการชุมนุมทุกครั้งที่ผ่านมาสักเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งเครือข่ายบริวารของ นช.ทักษิณเกิดความละอายแก่ใจถึงขั้นยอมลาออกไปได้

ถึงแม้ว่า ฝ่ายระบอบทักษิณอาจจะลดความชอบธรรมลง หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยสถานภาพความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กรณีสั่งย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติโดยมิชอบ ออกมาก่อนวันที่ 14 พฤษภาคม แต่หากคำวินิจฉัยมีผลทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ฝ่าย นช.ทักษิณก็จะให้รองนายกรัฐมนตรีขยับขึ้นมารักษาการนายกรัฐมนตรีแทน เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันเนื่องมาจากคดียุบพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ในครั้งนั้น ก็มีการแต่งตั้งนายวิรัตน์ ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี เป็นรักษาการนายกฯ แทน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์สามารถออกพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งได้ก่อนที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา ก็ยิ่งจะมีข้ออ้างตามมาตรา 181 ของรัฐธรรมนูญ ที่จะอยู่รักษาการในตำแหน่งต่อไป เพื่อรอรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง

หากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้คณะรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์พ้นสภาพทั้งคณะ ก็ใช่ว่างานของมวลมหาประชาชนจะง่ายขึ้น นั่นเพราะ ฝ่ายระบอบทักษิณได้ปลุกระดมคนของตัวเองมาโดยตลอดว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้คณะรัฐมนตรีพ้นสภาพทั้งคณะถือเป็นการวินิจฉัยเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด เป็นการกลั่นแกล้งรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ และจะมีการนองเลือดอย่างแน่นอน

หนทางชนะของฝ่ายมวลมหาประชาชน จึงมองไม่เห็นเป็นทางอื่น นอกจากจะดึงเอากองทัพมาสนับสนุนการต่อสู้ให้ได้ แต่เมื่อดูจากท่าทีของผู้นำเหล่าทัพที่ผ่านมา ซึ่งยังแทงกั๊กมาโดยตลอด ไม่กล้าประกาศร่วมหัวจมท้ายกับมวลมหาประชาชนอย่างชัดเจนเลยสักครั้ง จึงยังไม่อาจคาดหวังได้ว่า การต่อสู้ครั้งสุดท้ายวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ กองทัพจะออกมาร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วย และจะทำให้การต่อสู้ต้องยืดเยื้อออกไป หรืออาจจบลงด้วยความสูญเสีย โดยที่ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย

ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่พุทธอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ผู้ดูแลการชุมนุม กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ ซึ่งมีแนวทางการเคลื่อนไหวเป็นของตัวเองต่างจากเวทีหลักที่สวนลุมพินี จึงมีแผนสองไว้รองรับ หากการต่อสู้ของนายสุเทพไม่สำเร็จ โดยเตรียมการนำมวลชนเดินทางไป อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ แล้วใช้แนวทางมาตรา 3 ของรัฐธรรมนูญ ถวายคืนพระราชอำนาจ เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยเรื่องทางออกของบ้านเมือง

ตามแผนที่วางไว้ คณะของหลวงปู่พุทธะอิสระ พร้อมรถบัส 100 คัน จะออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ในวันที่ 16 พฤษภาคม ปักหลักค้างคืนก่อนเดินทางกลับในวันที่ 18 พฤษภาคม

หลวงปู่พุทธะอิสระยืนยันว่า เวทีแจ้งวัฒนะไม่ได้ขัดแย้งกับเวทีหลักที่สวนลุมพินี และจะเข้าร่วมกิจกรรมของ กปปส.ทั้งวันที่ 5 และวันที่ 14-15 ตามที่นายสุเทพประกาศ แต่หากยังปิดเกมไม่ได้จะขอให้นายสุเทพและแกนนำคนอื่นๆ หันมาใช้แนวทางมาตรา 3 แทน โดยมีนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ รับหน้าที่เป็นผู้ทำหน้าที่ร่างหนังสือเพื่อยื่นถวายฎีกาฯ แล้ว

สำหรับแนวคิดเรื่องการใช้มาตรา 3 ถวายคืนพระราชอำนาจนั้น หลวงปู่พุทธอิสระได้ประกาศบนเวทีแจ้งวัฒนะ ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน โดยเห็นว่า หากใช้มาตรา 7 หรือเป็นรัฏฐาธิปัตย์ตามที่นายสุเทพเคยประกาศ จะเหมือนการบังคับให้พระเจ้าอยู่หัวทรงต้องเลือกข้าง ทำให้ทรงลำบากพระทัย และต่อมารัฐบาลก็จะใช้มาตรา 7 เช่นกัน เพราะฉะนั้น จึงควรใช้มาตรา 3 ที่ระบุว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนั้นผ่าน รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม เมื่อมีบุคคลต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญเข้ามาแย่งชิงอำนาจเพื่อกอบโกย เราจะไม่ปล่อยไว้ เราจะถวายคืนอำนาจอธิปไตยของเรา เพื่อพระองค์ได้ทรงมีพระราชวินิจฉัยแก้ไขปัญหาบ้านเมือง ด้วยการยุติการใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา และทรงใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ตามพระราชอำนาจที่ทรงมีตามหลักราชประชาสมาศัย คือ พระเจ้าอยู่หัวร่วมกับประชาชน ต่างอาศัยซึ่งกันและกัน โดยประชาชนทุกสีสามารถมาร่วมกันได้.


กำลังโหลดความคิดเห็น