การประกาศระดมมวลมหาประชาชนของ กปปส.ในวันที่ 29 มีนาคมนี้ มีเป้าหมายเพื่อให้คนต่างชาติได้รับรู้ มวลชนสู้ไม่ถอย และต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แนะจับตา “คปท.-หลวงปู่พุทธะอิสระ” กดดันทหารยกสุดท้าย กันเสื้อแดงเคลื่อนพลป่วน กทม.5 เมษายน พร้อมปกป้อง ป.ป.ช.หากโดนข่มขู่ ขณะเดียวกันกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ชี้คนเสื้อกาวน์พร้อมรับศึกใหญ่ครั้งนี้ และจะประกาศศักดา ร่วมกับกลุ่มพลังต่างๆ หลัง ป.ป.ช.ตัดสิน “ยิ่งลักษณ์” ต้องไป มั่นใจเมื่อวันนั้นมาถึง “มวลชน” ต้องได้รับชัยชนะแน่!
เริ่มแล้วสำหรับการเดินเชิญชวนประชาชนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.จันทร์-ศุกร์ 24-28 มีนาคม เพื่อรวมพลครั้งใหญ่ในวันที่ 29 มีนาคม 2556
การรวมพลครั้งนี้จะเป็นการรวมพลครั้งใหญ่ครั้งที่ 5
การรวมพลครั้งใหญ่ครั้งที่ 1 เริ่มต้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 ตั้งเป้าคนเข้าร่วม 1 ล้านคน แต่คนมาเข้าร่วมเกินล้าน ครั้งที่ 2 วันที่ 9 ธันวาคม 2556 ครั้งนี้คนมามากกว่า 5 ล้านคน และเป็นวันที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตัดสินใจยุบสภา ครั้งที่ 3 วันที่ 22 ธันวาคม 2556 ทดลองชัตดาวน์ กทม.ก่อนชัตดาวน์ กทม.ครั้งใหญ่ในการชุมนุมครั้งที่ 4 วันที่ 13 มกราคม 2557 ที่มีมวลมหาประชาชนเข้าร่วมจำนวนมากเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
แน่นอนว่า การทิ้งระยะการชุมนุมใหญ่ไปกว่า 2 เดือนเต็มๆ และนัดชุมนุมใหญ่ครั้งที่ 5 วันที่ 29 มีนาคมนี้ ย่อมเป็นการชุมนุมใหญ่ที่มีความหมายยิ่ง!
หนึ่งเพราะเป็นช่วงเวลาที่ใกล้การชี้มูลความผิดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีจำนำข้าว ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.รวมถึงใกล้เวลาตัดสินกรณี ส.ส.-ส.ว.308 คน ทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว.โดยมิชอบ
สอง เป็นช่วงเวลาที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ประกาศฮึ่มๆ และจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ 5 เมษายน 2557 เพื่อคัดค้านการตัดสินของศาล และองค์กรอิสระที่มีต่อรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์
ดังนั้นนับจากปลายเดือนมีนาคมเป็นต้นไป จะเป็นช่วงเวลาที่กรุงเทพฯ ร้อนเป็นไฟอีกครั้งหนึ่ง!
ยัน กปปส.มวลชนยังแน่น-ชูปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
ศ.ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ หนึ่งในที่ปรึกษาด้านวิชาการให้กับกลุ่ม กปปส.อดีตอธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การระดมพลครั้งใหญ่วันที่ 29 มีนาคมนี้ จะเป็นการระดมพลที่แตกต่างกว่าครั้งอื่นๆ ตรงที่ว่าการระดมพลครั้งนี้จะเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นในความต้องการให้ประเทศไทยมีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
เป็นความมุ่งมั่นเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“มีคนวิพากษ์วิจารณ์มากว่าการขับเคลื่อนของ กปปส.ที่ระยะเวลายาวนานจะ 5 เดือนนั้น มีพลังอ่อนแอ ประชาชนเหนื่อยล้า ยิ่งยืดเยื้อ คนยิ่งสนับสนุนน้อยลง”
การรวมพลครั้งนี้เพื่อเป็นการบอกว่าไม่ใช่ และจะเป็นการสำแดงพลังครั้งใหญ่ให้ตระกูลชินวัตรและพรรคเพื่อไทยได้ประจักษ์อีกครั้งหนึ่ง
เพราะแม้ระยะเวลาการชุมนุมที่ยาวนาน แม้ประชาชนจะเหนื่อยล้า แต่มวลมหาประชาชนจะสู้ไม่ถอย และยังยืนยันที่จะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง เพื่อให้ทั้งคนไทยในประเทศ และต่างประเทศเห็นในความตั้งใจของมวลมหาประชาชนไทยว่าต้องการอะไร
“29 มีนาคม แสดงพลังให้ทั่วโลกได้รู้ มวลมหาประชาชนมุ่งมั่น เหนียวแน่น จะมีการเคลื่อนไหวทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด โดยจะมีการเคลื่อนไหวในเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการไปสักการะอนุสาวรีย์ ร.5 และ ร.7 เพื่อให้เห็นว่าเราต้องการประชาธิปไตย แต่ต้องการการปฏิรูปก่อน”
นี่คือสิ่งที่ กปปส.ต้องการสื่อ
“ผมได้คุยกับประชาชนที่มาร่วมกับ กปปส.ถามเขาว่าเป็นอย่างไร ชุมนุมมาจะ 5 เดือนแล้ว เขาบอกว่า เหนื่อยจริงๆ มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว สตางค์ก็หมดไปเยอะ แต่ยอมแพ้ได้ยังไง มาไกลขนาดนี้แล้ว ยอมไม่ได้ด้วย เพราะเป็นอนาคตของประเทศไทย”
แตกต่างจากการชุมนุมใหญ่ในทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะที่ผ่านมา กปปส.ยังมีความหวังที่จะเผด็จศึกรัฐบาลได้จากพลังประชาชน แต่สุดท้ายคำตอบมันไม่ใช่
“การกดดันของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลที่บริหารบกพร่อง โดยเฉพาะจำนำข้าว ก็เห็นได้ชัดว่าการบริหารทำให้ประเทศชาติประสบความเสียหายอย่างมาก ทั้งขาดทุน และไม่มีเงินมาชำระให้ชาวนา จนชาวนาฆ่าตัวตายไปกว่า 10 คน แต่รัฐบาลก็ไม่อนาทรร้อนใจอะไร”
การกดดันรัฐบาลโดยภาคประชาชนจึงใช้ได้กับรัฐบาลที่เป็นวิญญูชนที่มีสปิริตทางการเมืองเท่านั้นที่จะเคารพเสียงประชาชน แต่รัฐบาลทรราชไม่ใช่
“รัฐบาลนี้พยายามบอกว่าจะตายในสนามประชาธิปไตย แต่ตนเองก็ไม่เคารพศาลรัฐธรรมนูญ พยายามต่อต้านองค์กรอิสระ ซึ่งการเคารพศาล เคารพระบบยุติธรรมของประเทศ ก็เป็นหลักการหนึ่งที่สำคัญของประชาธิปไตย แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้สนใจแต่ประชาธิปไตยในแบบที่ตัวเองได้ประโยชน์เท่านั้น”
ไม่ใช่พฤติกรรมของประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นพฤติกรรมของรัฐบาลเผด็จการ!
อย่างไรก็ตาม ดร.สมบัติ มองว่าท้ายที่สุดแล้ว ชัยชนะของภาคประชาชนก็ยังอยู่ที่กระบวนการทางกฎหมาย ที่สำคัญคือการชี้มูลคดีทุจริตจำนำข้าว ซึ่งจะตามมาด้วยคดีอื่นๆ ต่อเนื่องจนคาดว่ารัฐบาลจะหมดข้ออ้างในการยื้ออำนาจอีกต่อไป
จับตา “คปท.-หลวงปู่” กดดันทหาร
ด้าน ดร.อวยชัย วะทา อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม กล่าวว่า การระดมพลครั้งใหญ่วันที่ 29 มี.ค.นี้ จุดที่น่าสนใจไม่ได้อยู่ที่เพียงการเคลื่อนไหวของ กปปส.หากแต่ต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของแนวร่วมสำคัญอย่าง คปท. และหลวงปู่พุทธะอิสระ
คาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวสำคัญเพื่อกดดันทหาร
“มองว่าทหารเป็นกลไกสุดท้ายจริงๆ ที่จะเป็นทางออกให้ประเทศไทยได้ในเวลานี้ และเป็นยกสุดท้าย เป็นช่วงเวลาที่ทหารน่าจะมีท่าทีทางการเมืองได้แล้ว แม้ไม่ปฏิวัติ”
โดยเฉพาะเมื่อ นปช.จะเคลื่อนไหวใหญ่ในวันที่ 5 เมษายน 2557 นี้
“ถ้า นปช.เคลื่อนมากรุงเทพฯ ก็จะมีความตึงเครียด แต่อยู่ที่ว่าจะมาจริงหรือเปล่า”
ถ้ามาจริง คาดว่าทหารคงประกาศกฎอัยการศึก แต่จะไม่ยึดอำนาจเพราะเมื่อไรที่ยึดอำนาจก็จะไปเข้าความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการไปฟ้องต่างประเทศอยู่แล้ว รวมทั้งมีแผนที่จะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นต่อไป
นอกจากนี้ การที่ กปปส.จะเคลื่อนไหวใหญ่ ยังมีความสำคัญตรงที่ว่า เป็นการให้กำลังใจ ป.ป.ช.ในการทำคดีต่อไป โดยไม่ห่วงกังวลการข่มขู่ของฝั่งคนเสื้อแดงที่มีการเคลื่อนไหวกดดันอย่างหนักเพียงฝ่ายเดียว
ส่วนการเคลื่อนไหวของคนต่างจังหวัด มวลชนภาคอีสานน่าจะไปเคลื่อนไหวร่วมกับคนที่ กทม.ส่วนการเคลื่อนไหวต่างจังหวัดอย่างเข้มข้นยังอยู่ในเขตของภาคใต้
เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอาชีพต่างๆ ที่จะร่วมกับกำนันสุเทพ ระดมพล 29 มีนาคมนี้
กลุ่มแพทย์เตรียมพร้อมระดมพลครั้งสำคัญที่สุด
แหล่งข่าวกลุ่มแพทย์ชนบทกล่าวว่า กลุ่มแพทย์เข้าร่วมกับการเคลื่อนไหวของ กปปส.อยู่แล้ว โดยเฉพาะการจัดรถพยาบาลคอยดูแลประชาชน พร้อมทั้งมีการเชิญชวนให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เข้าร่วมการชุมนุมครั้งนี้ และเตรียมตัวที่จะมีการชุมนุมใหญ่ที่จะเกิดขึ้นอีกในไม่ช้า
“การชุมนุมครั้งนี้ 29 มีนาคม เป็นการระดมพลครั้งใหญ่ก็จริง แต่จะมีการระดมพลครั้งใหญ่ เป็นครั้งที่สำคัญที่สุดหลังจากนี้อีกครั้งหนึ่ง”
การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่สุดที่กำลังจะเกิดขึ้น คาดว่าจะเกิดหลังจากที่ ป.ป.ช.ชี้มูลนางสาวยิ่งลักษณ์ในคดีจำนำข้าวเมื่อไร ก็มีแนวโน้มว่านางสาวยิ่งลักษณ์จะรอดจากการชี้มูลความผิดครั้งนี้ยาก เพราะหลักฐานมัดแน่น โดยเฉพาะกรณี จี-ทู-จี ที่ไม่ใช่เรื่องจริง
“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” เปิดช่องให้เกิดทุจริต ตามกฎหมายอาญามาตรา 157 มีโทษจำคุก 1-10 ปี หรือ ปรับ 2 พัน-2 หมื่นบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ
ยิ่งลักษณ์มีสิทธิโดนเต็มๆ และทันทีที่โดน ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกฯ รักษาการ
“ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ถูกชี้มูล แล้วพรรคเพื่อไทยให้คุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล มาแทน ยิ่งแสดงให้เห็นความไม่ชอบธรรม ไม่เหลือความชอบธรรมของรัฐบาลนี้”
ดังนั้น ทั้งวันที่ 29 มีนาคมที่นายสุเทพเรียกรวมพลใหญ่ และหลังจากนั้น แรงหนุนของกลุ่มต่างๆ จะเริ่มรุกไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์มากขึ้น มากขึ้น เพราะรับไม่ได้ และอดทนรอการตัดสินของกระบวนการยุติธรรมซึ่งเป็นความผิดที่ชัดเจนที่สุด และไม่น่ามีใครที่จะยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่อีก เพราะการทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการทำผิดคดีทุจริตเป็นเรื่องที่ใครก็รับไม่ได้
แถมการทุจริตจำนำข้าวก็เกิดขึ้นจริง จนไม่มีใครเชื่อว่า รัฐบาลไม่ได้ทำ แน่ๆ
หลังจากที่ ป.ป.ช.ชี้มูลจำนำข้าว จึงต้องจับตาว่าแต่ละกลุ่มอาชีพสำคัญๆ ของบ้านเมือง จะมีการขยับครั้งใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มการศึกษา กลุ่มนักธุรกิจ และกลุ่มแพทย์
ตอนนี้ก็รอเพียงการเคลื่อนทัพครั้งใหญ่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร
เมื่อถึงวันนั้น ไม่แน่อาจจะเห็นคนกลุ่มต่างๆ หลั่งไหลออกมาขับไล่รัฐบาลอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อนอีกครั้ง
ที่แน่ๆ ศึกใหญ่ครั้งนี้ กลุ่มแพทย์พร้อมแล้วสำหรับใส่เสื้อกาวน์รวมพลังเข้าสู้กับรัฐบาลเผด็จการ รัฐบาลทรราช
และจะสู้ สู้จนกว่าจะชนะ!