xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“แม้ว”.....ถอย วาทกรรมยื้อชีวิตก่อนสู้ศึกเลือกตั้ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ทักษิณ ชินวัตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ถึงนาทีนี้ เมื่อสำรวจตรวจตราสถานการณ์แล้วจะเห็นว่า ทุกอย่างมิได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนัก กล่าวคือขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณใช้ยุทธวิธีเดินสายไปตามหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ เพื่อแสวงหาแนวร่วมก่อนที่มะม่วงจะหล่นลงมาเองและประกาศสถาปนาอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ดังที่แสดงเจตจำนงเอาไว้ ฝ่ายระบอบทักษิณกลับดิ้นพลาดๆ เพราะชะตาใกล้ขาดและเวลาเหลือน้อยลงไปทุกที

เรียกว่าระดมสรรพกำลังขุนพลทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๋เรียงออกมาเป็นหน้ากระดานทีเดียว ไล่ตั้งแต่ตัวนายใหญ่เอง ขุนพลเอก ไปจนถึงข้าทาสบริวารระดับกระจิ๊บกระจ้อยร่อย

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2557 .... นักโทษชายหนีคดีทักษิณได้ประดิษฐ์ “วาทกรรม” แห่งความหลอกลวงออกมาชุดใหญ่ และเป็นชุดที่ต้องบอกว่าได้เปลือยตัวตนของคนผู้นี้ออกมาอย่างล่อนจ้อน เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาสำรากถ้อยคำในทำนองนี้ออกมา

เฟซบุ๊ก “สายตรงภาคสนาม” ได้รวมรวบคำพูดของ นช.หนีคดีทักษิณในลักษณะเดียวกันเอาไว้ ดังต่อไปนี้

1 มกราคม 2551... “ผมจะวางมือทางการเมือง 100 เปอร์เซ็นต์และจะคอยให้คำปรึกษาในฐานะผู้มีประสบการณ์เท่านั้น

28 กุมภาพันธ์ 2551... “การกลับมาของผมวันนี้ ผมไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการเมือง....ผมขอเป็นประชาชนคนไทย ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย ผมไปมาทั่วโลกไม่มีแผ่นดินไหนอบอุ่นเท่าเมืองไทย”

22 กันยายน 2552... “หากผมไม่ถูกปฏิวัติก็จะอยู่ครบเทอมราวปลายปี 2552 ซึ่งตั้งใจว่าจะวางมือ เลิกเล่นการเมืองในช่วงเวลานั้น”

12 พฤศจิกายน 2552... “ผมต้องการความยุติธรรม ผมไม่สนว่า จะต้องกลับไปสู่การเมืองหรือไม่ แต่หากคนส่วนใหญ่ต้องการให้ผมกลับไป อย่างนั้นผมก็ต้องกลับ”

15 เมษายน 2555... “ไม่คิดเข้าสู่การเมือง น้องผมเป็นนายกฯ แล้ว มันหมดเจนเนอเรชั่นผมแล้ว”

ด้วยเหตุดังกล่าว ถ้าอนุมานโดยเทียบกับคำพูดและเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตก็พอจะเห็นสิ่งที่จะปรากฏในอนาคตได้พอเลาๆ

นั่นคือนักโทษชายหนีคดีผู้นี้ไม่เคยยอมแพ้

นั่นคือนักโทษชายหนีคดีผู้นี้พร้อมจะสู้อย่างหัวชนฝาโดยไม่จำกัดรูปแบบ ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 2553 ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน

ถ้าถอดรหัสคำพูดล่าสุดก็จะพบว่า สิ่งที่นักโทษชายหนีคดีประกาศมี 2 ประเด็นที่สำคัญและเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกันคือ คนในตระกูลชินวัตรจะเลิกเล่นการเมืองก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายคืนความยุติธรรมให้ประเทศ

คำถามมีอยู่ว่า ความยุติธรรมของเขามีเกณฑ์อยู่ที่ตรงไหน ถ้าความยุติธรรมหมายถึงตัวเขาและวงศ์วานว่านเครือไม่ต้องรับโทษทัณฑ์จากความผิดที่ตัวเองได้กระทำต่อบ้านนี้เมืองนี้ ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ที่สำคัญคือ ความยุติธรรมที่ว่านั้นมีขอบเขตกว้างขวางเพียงใด เพราะต้องไม่ลืมว่าฝ่ายที่ดูแลความยุติธรรมในบ้านนี้เมืองนี้ก็คือฝ่ายตุลาการ หรือนี่คือการพูดกระทบกระเทียบให้กระเทือนไปถึงคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ยิ่งเมื่อตรวจแนวรบเรื่องนี้ก็จะยิ่งเห็นชัดว่า เชี่ยวกรากอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

กรณีชัยเกษม นิติสิริ กรณีศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงที่เสนอกราบบังทูลขอพระบรมราชวินิจฉัยถ้านางสาวยิ่งลักษณ์และคณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งคือหนังตัวอย่างที่ชัดเจนจนไม่ต้องสรรหาถ้อยคำใดๆ มาอธิบายเพิ่มเติม

โดยเฉพาะ ศอ.รส.ที่ออกโรงข่มขู่หน่วยงานรัฐด้วยกันเอง อย่าง ป.ป.ช.ซึ่งกำลังทำหน้าที่ตรวจสอบคดีทุจริตการรับจำนำข้าวของรัฐบาลและ ศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังทำหน้าที่พิจารณาคดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรในคดีนายถวิล เปลี่ยนศรีนั้น เป็นสิ่งที่กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ฝ่ายบริหารกำลังล้ำเส้นฝ่ายตุลาการเกินขอบเขต กระทั่ง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศต้องออกมายืนยันว่า แถลงการณ์ของ ศอ.รส.ไม่ใช่มติของเหล่าทัพแต่ประการใด

ขณะเดียวกันเขาก็ต้องการเร้าให้คนจำพวกที่ต้องการ “จบเร็วๆ” และ “จบแบบไหนก็ได้” ออกมาเป็นแนวร่วมเพื่อสร้างเกมในการเจรจาต่อรอง เพราะต้องยอมรับว่า กระแสความเบื่อหน่ายต่อการชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อยาวนานและยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์กำลังมาแรงทุกขณะ พร้อมทั้งปลุกกระแสว่า การเลือกตั้งเท่านั้นที่จะนำพาประเทศชาติไปสู่ความเป็นปกติอีกครั้ง โดยเขามั่นใจว่า ไม่ว่าจะเลือกตั้งอีกสักกี่ครั้ง พรรคเพื่อไทยก็สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลโดยไม่เ
ปลี่ยนแปลง
แน่นอน เรื่องนี้จะโทษใครไม่ได้นอกจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เลือกจะใช้ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี “มะม่วงหล่น” จนสร้างเงื่อนไขให้ระบอบทักษิณหยิบฉวยนำไปใช้ ขณะเดียวกันยังส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งอย่างไม่ควรจะเป็น

และถ้าไม่จบ สิ่งที่จะได้เห็นต่อไป ก็ได้มีการประกาศออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า “ถ้าปล่อยไปอย่างนี้เรื่อย ๆ ก็เสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง”

กระนั้นก็ดีเมื่อตรวจสอบชะตาชีวิตของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' ก็ต้องบอกว่ากงกรรมกงเกวียนกำลังจะนำไปสู่คำตัดสินขององค์กรอิสระ อันได้แก่ คำตัดสินของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่จะตัดสินกรณีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะวินิจฉัยกรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมิชอบ

สำหรับคดีทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวนั้น เป็นประเด็นที่รักษาการนายกฯยิ่งลักษณ์และคณะพยายามยื้อสุดชีวิต ทั้งใช้เทคนิคของเลื่อนเข้าชี้แจง ขอเพิ่มพยานที่จะเข้าให้ปากคำ เพราะว่ากันว่าหาก ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิด นอกจากนายกฯยิ่งลักษณ์จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีแล้ว ยังจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาในขั้นตอนต่อไปด้วย ซึ่งล่าสุดแม้ ป.ป.ช.จะอนุมัติให้มีการไต่สวนพยานในคดีนี้เพิ่มอีก 7 ปาก ตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ร้องขอ แต่เมื่อคำนวณระยะเวลาในพิจารณาคดีแล้วก็คาดว่า ป.ป.ช.น่าจะดำเนินการตัดสินได้ภายในเดือน พ.ค.นี้

ขณะที่กรณีการโยกย้านนายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น กลับน่าสนใจยิ่งกว่าเพราะถือว่าเป็นประเด็นที่เป็น 'จุดตาย' ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เนื่องจากคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญนั้นอาจส่งผลให้รักษาการนายกฯยิ่งลักษณ์สิ้นสุดสมาชิกสภาพ ซึ่งจะมีผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะสิ้นสภาพตามไปด้วย

ดังนั้นที่ผ่านมานายกฯยิ่งลักษณ์จึงพยายามดิ้นอย่างเต็มที่ โดยยื้อขอต่อลมหายใจด้วยการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาในการยื่นคำชี้แจงออกไป และล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติอนุมัติตามคำขอ โดยขยายการชี้แจงคดีให้แก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกไปอีก 15 วัน และให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยื่นคำชี้แจงในวันที่ 2 พ.ค.นี้ แต่ดูเหมือนนายกฯปูจะดีใจได้ไม่นานเพราะสิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ ศาลจะออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนในวันอังคารที่ 6 พ.ค. โดยกำหนดจะรับฟังพยานเพียง 4 ปาก คือ 1. นายกฯยิ่งลักษณ์ 2. พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตเลขาฯ สมช. 3. นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ผู้ร้อง ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นจากสถานภาพความเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เนื่องจากมีความผิดในกรณีโยกย้ายนายถวิล และ 4. คือนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาฯ สมช.ซึ่งได้รับผลกนะจากคำสั่งโยกย้ายดังกล่าว

ที่สำคัญยังมีแนวโน้มว่าตุลการศาลรัฐธรรมนูญจะแถลงความเห็นส่วนตัวและลงมติมีคำวินิจฉัยในวันพุธที่ 7 พ.ค.หรือภายในก่อนวันที่ 9 พ.ค.นี้ อีกด้วย

ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าการนัดชุมนุมใหญ่ของสองฝ่ายคือ มวลชนกลุ่ม กปปส.ที่ออกมาเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาล และมวลชนคนเสื้อแดงที่ออกมาปกป้องรัฐบาลแบบสุดลิ่มทิ่มประตู น่าจะเกิดขึ้นในห้วงเวลาดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะมีการชุมนุมของกลุ่มไหนย่อมไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำตัดสินของศาล ซึ่งตามรูปการแล้วศาลรัฐธรรมนูญน่าจะยืนกรานตามคำตัดสินของศาลปกครอง ซึ่งหมายความว่าคำสั่งโยกย้ายดังกล่าวเป็นคำสั่งที่มิชอบ ซึ่งจะส่งผลให้นายกฯยิ่งลักษณ์มีความผิดและต้องพ้นจากตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี อันจะส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะสิ้นสภาพตามไปด้วย ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดของรัฐบาลชุดนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

แน่นอน ฟางเส้นสุดท้ายที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะคว้าไว้ได้ก็คือการดิ้นรนผลักดันให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อหวังกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง ทว่า ความหวังที่รัฐบาลเพื่อไทยจะใช้การเลือกตั้งเพื่อหวนคืนสู่อำนาจก็ยังคงเป็นความหวังที่ลางเลือน ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อไหร่ และถึงแม้จะมีการเลือกตั้งก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถได้ ส.ส.เข้าสู่สภาและสามารถประกาศจัดตั้งรัฐบาลสมความปรารถนาได้หรือไม่


กำลังโหลดความคิดเห็น