ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ยามที่นักการเมืองใกล้สิ้นอำนาจ พฤติกรรมที่แสดงออกมามีความหลากหลาย บ้างก็ยอมรับสภาพเดินจากไปอย่างสงบ บ้างไม่ยอมรับแต่ก็ไม่แข็งขืนหรือยืนกรานใดๆจากไปแต่โดยดี บ้างก็เตรียมหาลู่ทางมองหาแหล่งอำนาจอื่นรองรับไว้ล่วงหน้า หากประเทศใดมีนักการเมืองแบบนี้ความวุ่นวายสับสนของสังคมก็มีไม่มากนัก
แต่ก็มีนักการเมืองไม่น้อยที่ดื้อรันไม่ยอมออกจากตำแหน่งแห่งอำนาจ ใช้ข้ออ้างและเล่ห์เพทุบายสารพัดงัดกฎหมายมาใช้อย่างบิดเบือน รวมทั้งความป่าเถื่อนรุนแรงเพื่อครองอำนาจต่อไปอย่างยาวนาน หากประเทศใดมีนักการเมืองระเภทนี้มาก บ้านเมืองนั้นก็มีแนวโน้มเดินเข้าสู่สภาวะมิคสัญญี เกิดความวุ่นวาย และผู้คนจะบาดเจ็บล้มตาย ทับถมเป็นฐานรองรับแก่นักการเมืองเหล่านั้น ที่น่าเศร้าคือประเทศไทยมีนักการเมืองประเภทนี้เกือบทั้งหมด
นักการเมืองที่มีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อบ้านเมือง มีความเชื่อในระบอบประชาธิปไตย และไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีแนวโน้มจะวางมือจากอำนาจ หากพวกเขาบริหารประเทศผิดพลาด หรือ ประชาชนไม่ยอมรับ
แต่นักการเมืองของระบอบทักษิณซึ่งจิตสำนึกเต็มเปี่ยมไปด้วยสัญชาตญาณดิบแห่งการแสวงหาเพื่อครอบครองและจัดการอำนาจแบบรวมศูนย์ อีกทั้งสมองยังอัดแน่นไปด้วยความโลภอยากมีอยากได้ผลประโยชน์และความมั่งคั่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกนี้ย่อมยึดติดกับตำแหน่งและใช้วิธีการที่มนุษย์ทั่วไปไม่ทำกันเพื่อรักษาอำนาจของตนเองเอาไว้อย่างถึงที่สุด
นักการเมืองผู้มีวิถีคิดและแนวทางการปฏิบัติตามครรลองประชาธิปไตยจะเคารพกฎหมาย และยอมรับการวินิจฉัยและตัดสินคดีของศาล แต่นักการเมืองที่มีความคิดเผด็จการมักจะใช้วิธีการของมาเฟียและอันธพาลข้างถนนเพื่อข่มขู่คุกคามหรือทำร้ายศาล หากคำพิพากษาไม่เป็นไปตามที่ตนเองคาดหวัง
หากประเทศใดที่มีรัฐบาล ไม่ยอมรับ ด่าทอตำหนิ ข่มขู่คุกคาม บีบบังคับ และส่งสมุนบริวารทำร้ายศาล ย่อมเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าประเทศนั้นกำลังเข้าสู่สภาวะของความป่าเถื่อน ไร้ขื่อไร้แปอย่างเต็มรูปแบบ
ประมาณกันว่าช่วงวันที่ 7 พ.ค. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีการละเมิดรัฐธรรมนูญของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและคณะรัฐมนตรี กรณีโยกย้ายคุณถวิล เปลี่ยนศรีอย่างไม่เป็นธรรม ขณะนี้ทุกฝ่ายรวมทั้งนักกฎหมายในระบอบทักษิณเองก็ประเมินว่ายิ่งลักษณ์ ชินวัตรคงไม่อาจพ้นความผิดในคดีนี้ได้ และคงต้องถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรีอย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยเพราะว่าเป็นการร่วมกันกระทำผิด
นักการเมือง นักกฎหมายบริวารข้าทาสของระบอบทักษิณพยายามอย่างสิ้นหวังในการตีความกฎหมายข้างๆคูๆว่า การพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีน่าจะพ้นเฉพาะยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส่วนรัฐมนตรีทั้งหลายไม่น่าจะพ้นไปด้วย เรียกว่าคนเหล่านี้เริ่มปฏิบัติการเขี่ยยิ่งลักษณ์ ชินวัตรทิ้ง เพื่อให้ตนเองได้ครองอำนาจต่อไป และบางคนถึงขนาดฝันเอาว่า ตนเองจะได้มีโอกาสนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน
บางคนถึงกับไปหยิบยกเรื่องสมัคร สุนทรเวช ขึ้นมาเปรียบเทียบ แต่อนิจจาช่างไม่รู้ความเสียเลย เพราะว่าเรื่องราวเหตุการณ์การทำความผิดของสมัคร แตกต่างจากยิ่งลักษณ์อย่างสิ้นเชิง กรณีสมัคร เป็นความผิดเฉพาะตัวของสมัคร ที่ไปเป็นลุกจ้างรับเงินของบริษัทเอกชน ซึ่งทำให้ขาดคุณสมบัติของการเป็นนายกรัฐมนตรี เฉพาะตัวของสมัครเอง
ส่วนกรณียิ่งลักษณ์ นั้น จะเหมือนกับกรณีสมัครต่อเมื่อยิ่งลักษณ์ ไปเป็นลุกจ้างรับเงินบริษัทเอกชน ซึ่งจะเป็นความผิดเฉพาะตัว แต่กรณีการโยกย้ายคุณถวิล เปลี่ยนศรีอย่างไม่เป็นธรรม เป็นความผิดของการใช้อำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการทำความผิดร่วมกันของรัฐมนตรีทั้งคณะ ดังนั้นบรรดารัฐมนตรีทั้งหลายก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบตามกฎหมายร่วมกับยิ่งลักษณ์ได้
ดังนั้นถึงอย่างไรก็ บรรดารัฐมนตรีทั้งหลายคงหนีความผิดไม่พ้น และคงต้องพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีทั้งคณะค่อนข้างแน่นอน เมื่อแนวโน้มสถานการณ์เป็นอย่างนี้ นักการเมืองบริวารของทักษิณจะทำอย่างไรต่อดี
สิ่งที่พวกเขาคิดและดำเนินการก่อนวันที่ศาลจะพิพากษาก็คือ การขัดขวางไม่ให้เกิดการพิพากษาขึ้นได้ โดยใช้มวลชนเสื้อแดงเข้าไปปิดล้อมและกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันก็วางแผนปฏิบัติการณ์ใต้ดินใช้ความรุนแรงในการข่มขู่คุกคามศาลรัฐธรรมนูญในทุกรูปแบบ
แต่สิ่งที่คนในระบอบทักษิณคิดจะทำคงประสบความสำเร็จยากเพราะว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้รับการปกป้องคุมกันจากมวลมหาประชาชน และฝ่ายความมั่นคงที่รักชาติบ้านเมืองอย่างแน่นหนา จนยากที่อันธพาลและขบวนการก่อการร้ายทางการเมืองจะสามารถดำเนินการตามแผนได้
สำหรับหลังการพิพากษาให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งแล้ว ภาพที่เกิดขึ้นคือการช่วงชิงกันของฝ่ายต่างๆในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมา
ฝ่ายระบอบทักษิณคงใช้ความพยายามอย่างสูงในการผลักดันให้มีการออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ขึ้นมา เพื่อชี้นำสังคมว่าไม่จำเป็นต้องมีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่ เพราะรัฐบาลกำลังจะได้มาจากการเลือกตั้งอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้หากจะใช้ได้ก็ต้องทำก่อนที่ศาลจะพิพากษาให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์พ้นจากตำแหน่ง
แต่หากทำไม่สำเร็จ บรรดาสมุนบริวารของระบอบทักษิณก็วางแผนที่บังอาจยิ่งนัก โดยจะทำหนังสือทูลเกล้าฯ ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชวินิจฉัยเกี่ยวกับสถานะของรัฐบาล ซึ่งเท่ากับเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าสู่ความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเป็นอย่างยิ่ง การทำยิ่งนี้ของนักการเมืองบริวารระบอบทักษิณย่อมมีเจตนาร้ายต่อบ้านเมืองอย่างแน่นอน
อีกทางหนึ่งที่ระบอบทักษิณจะทำคือ การยึดกุมและควบคุมวุฒิสภาให้สำเร็จ โดยให้คนของตนเองดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา เพราะจะทำให้พวกเขาสามารถช่วงชิงโอกาสในการนำเสนอชื่อบุคคลที่อยู่ในเครือข่ายของระบอบทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีได้
หรือหากจนแต้มจริงๆ ฝ่ายระบอบทักษิณอาจใช้มวลชนร่วมกันเสนอชื่อบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรี และให้สมุนบางคนที่มีตำแหน่งสำคัญในองค์กรของรัฐ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
ในอีกด้านหนึ่งฝ่ายมวลมหาประชาชนในนาม กปปส. ก็จะกำหนดแผนการในการปฏิวัติประชาชน โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 และ มาตรา 7 ร่วมกันเสนอชื่อบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จัดตั้งรัฐบาลประชาชน และจัดตั้งสภานิติบัญญัติของประชาชน ขึ้นมา โดยคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จะเป็นผู้ลงนามรับสนองราชโองการ
นอกจากฝ่ายระบอบทักษิณและฝ่ายมวลมหาประชาชนแล้ว องค์กรของรัฐที่ยังคงดำรงอำนาจอธิปไตยไว้อย่างเต็มรูปแบบคืออำนาจตุลาการ โดยประเพณีในระบอบประชาธิปไตยเมื่ออำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติไม่ดำรงอยู่หรือดำรงอยู่อย่างไม่สมบูรณ์ องค์กรที่มีความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฎฐาธิปัตย์แทนเพื่อสถาปนาอำนาจบริหารขึ้นมาชั่วคราวคือ ศาล
ในกรณีนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่ศาล โดยประธานศาลฏีกาจะเป็นผู้เสนอชื่อบุคคลที่เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
การเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2557 นี้ จะเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย และจะเป็นการกำหนดเส้นทางการพัฒนาสังคมไทยที่สำคัญอย่างยิ่งว่าจะออกมาอย่างไรในสามทางเลือก
ทางเลือกแรก ฝ่ายระบอบทักษิณชนะ ซึ่งจะนำพาประเทศไปสู่สงครามกลางเมือง และวัฏจักรของความวิบัติในอนาคตอย่างไม่หยุดหย่อน
ทางเลือกที่สอง มวลมหาประชาชนประสบชัยชนะ ประเทศก็จะเปิดประตูสู่เส้นทางแห่งการปฏิรูป ซึ่งจะเป็นการร่วมกันของประชาชนเพื่อสร้างวิทัศน์และความหวังแห่งความเจริญรุ่งเรื่องให้คนทั้งประเทศ
ทางเลือกที่สาม การประนีประนอม ซึ่งอาจทำให้ความขัดแย้งดูเหมือนสงบอยู่ชั่วคราว เลื่อนเวลาแห่งการระเบิดออกไปอีกระยะหนึ่ง แต่แนวทางนี้เป็นการสะสมพลังแห่งความขัดแย้งให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วที่สังคมไทยเลือกการประนีประนอมในช่วงปี 2550 ซึ่งทำให้ความรุนแรงประทุขึ้นมาตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน