เมื่อใดที่ นช.ทักษิณ ชินวัตรตกเป็นฝ่ายตั้งรับเข้าตาจน ความรุนแรงคือไม้ตายของเขาที่ถูกงัดขึ้นมาใช้โดยไม่สนใจว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างไร
ภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้ยึดทรัพย์ นช.ทักษิณ 4.6 หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 เพียงสองสัปดาห์ การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ก็เริ่มขึ้น ในวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2553 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือ การโค่นล้ม ทำลายล้าง ช่วงชิงอำนาจการเมือง เพราะผิดเหวัง คับแค้นใจที่ถูกยึดทรัพย์ ไม่นับรวมคดีที่ดินรัชดาก่อนหน้า ที่ถูกพิพากษาให้ถูกจำคุก 2 ปี และกำลังหลบหนีโทษอยู่รวมทั้งคดือื่นๆ อีกหลายคดีที่อยู่ในศาล
การใช้ความรุนแรงของทักษิณในปี 2553 ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งคนเสื้อแดง ทหารตำรวจ และประชาชนผู้บริสุทธิ์ 90 กว่าชีวิต บาดเจ็บ 2 พันกว่าคน มีการเผาห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ร้านค้าของเอกชน รวมทั้งศาลากลางจังหวัดในบางจังหวัดทางภาคอีสาน แต่ก็ไม่สามารถช่วงชิงอำนาจมาเป็นของตนได้ ต้องรออีกหนึ่งปีต่อมา จึงได้ชัยชนะด้วยการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้จะยึดกุมอำนาจได้แทบจะเบ็ดเสร็จ แต่เป้าหมายในการลบล้างความผิดคดีทุจริตโกงกินของตัวเอง และการได้เงิน 46,000 ล้านบาทคืนมา ก็ยังไม่บรรลุ จนต้องใช้วิธีออกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมให้ตัวเอง ซึ่งเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่พาตัวเองเข้าไปสู่ตาจนอีกครั้งหนึ่ง เพราะประเมินอารมณ์ ความรู้สึก และพลังของประชาชนต่ำเกินกว่าความเป็นจริงหลายร้อยเท่า
กลยุทธ์เดิมๆ คือการใช้ความรุนแรงถูกงัดขึ้นมาใช้อีกครั้งหนึ่ง ในสถานการณ์ที่นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังเข้าสู่ตาจน อันเนื่องมาจากการกระทำที่ถูกบงการโดย นช.ทักษิณ คือการทุจริตในโครงการจำนำข้าว และการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเคลียร์ทางให้พี่เมียคือพลตำรวจเอกเพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ได้ครองตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในปีสุดท้ายของอายุราชการ กำลังจะถูกชี้มูลความผิดโดย ป.ป.ช. และถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งทั้งสองกรณีมีผลถึงขั้นทำให้หุ่นที่ตัวเองเชิดต้องหลุดจากตำแหน่งทันที
แต่การใช้ความรุนแรงในครั้งนี้ไม่อาจทำได้เต็มที่ ทุกรูปแบบ ทั้งฆ่าและเผา เหมือนเมื่อเดือนเมษายน–พฤษภาคม 2553 เพราะตัวเองเป็นรัฐบาล ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะทำตัวเหมือนตาบอดหูหนวก ไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง ไม่รู้จักคำว่าภาวะผู้นำก็ตาม
ที่สำคัญคือ คนเสื้อแดงที่ถูกเกณฑ์มาให้เป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงในปี 2553 ถึงวันนี้ปลุกไม่ขึ้นเสียแล้ว การชุมนุมตั้งแต่ปลายปีที่แล้วจนถึงครั้งล่าสุดที่ผ่านมาที่ถนนอักษะ พิสูจน์แล้วว่าคนเสื้อแดงที่ถูกอุปโลกน์ว่า เป็นพลังประชาธิปไตยนั้นเป็นแค่มวลชนรับจ้าง เท่านั้น
ความรุนแรงที่ถูกงัดมาใช้ในครั้งนี้จึงทำได้เพียงแค่ข่มขู่คุกคาม ป.ป.ช. และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และการข่มขู่ คุกคามว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง จะเกิดการนองเลือด หากศาลรับธรรมนูญตัดสินว่านางสาวยิ่งลักษณ์ผิด ทั้ง นช.ทักษิณ รัฐบาล โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะผู้อำนวยการ ศอ.รส.และนักวิชาการในคราบราชบัณฑิตที่รับใช้ระบบทักษิณอย่าง นายลิขิต ธีรเวคิน ต่างให้ข่าวสอดรับกันเป็นกระบวนการ ส่งสัญญาณข่มขู่ศาลรัฐธรรมนุญและ ป.ป.ช.ไม่ให้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา มิฉะนั้นแล้ว มวลชนทั้งสองฝ่ายจะปะทะกัน จะเกิดการนองเลือดครั้งใหญ่
สงครามกลางเมือง การนองเลือด จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อมวลชนที่ต่อต้านระบอบทักษิณ คือ กปปส.ยึดมั่นในหลักสันติ อหิงสา อย่างเคร่งครัด ตลอดระยะเวลาเกือบ 6 เดือนของการชุมนุม มีแต่จะตกเป็นฝ่ายถูกใช้ความรุนแรงจากกองกำลังติดอาวุธของระบอบทักษิณจนล้มตายบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก
ความรุนแรงที่ถึงขั้นสงครามกลางเมือง เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ หากจะเกิดก็เกิดจากระบอบทักษิณนั่นเอง แต่หลังจากแกนนำ นปช.พยายามปลุกผี ระดมคนเสื้อแดงมาชุมนุมสนับสนุนรัฐบาล ประชันกับการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของ กปปส. เห็นได้เลยว่าไม่มีใครอยากมาเป็นเหยื่อ เป็นเชื้อจุดชนวนสร้างความรุนแรงอย่างปี 2553 อีกแล้ว
สงครามกลางเมือง การนองเลือด มิคสัญญี จึงเป็นเพียงการเขียนเสือให้วัวกลัว ที่ระบอบทักษิณใช้ข่มขู่ ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนุญไม่ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบพฤติกรรมของนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างตรงไปตรงมาเท่านั้นเอง