ผ่าประเด็นร้อน
แม้ว่าบรรดาลิ่วล้อของ ทักษิณ ชินวัตร ต่างออกมาประกาศเสียงดังว่าหากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และหากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าการโยกย้าย ถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มิชอบ ต้องพ้นจากเก้าอี้ ซึ่งตามกำหนดจะรู้ผลภายในเดือนนี้หรืออย่างช้าต้นเดือนหน้า ถ้าออกมาอย่างที่บอกคนพวกนี้จะออกมาป่วนแน่
อย่างไรก็ดีแม้จะรู้ว่าเป็นแค่คำขู่เพื่อกดดันองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญให้ตัดสินเป็นคุณกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะในช่วงเวลาเดียวกันทาง กปปส.ที่นำโดยกำนัน สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ประกาศนัดชุมนุมใหญ่เพื่อให้กำลังใจองค์กรยุติธรรมดังกล่าว รวมทั้งประกาศเผด็ดศึกระบอบทักษิณอีกด้วย มีโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายจะเกิดการปะทะกันจนถึงขั้นจลาจลนองเลือด เพราะอุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ รวมไปถึงเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมก็เป็นไปได้เหมือนกัน
แม้ว่ามีการพิสูจน์ให้เห็นจากการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในยุคของ จตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ที่บอกว่าคนเสื้อแดงจะไหลกันมาแบบ “ลาวาแดง” ไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน แต่เอาเข้าจริงมันเป็นราคาคุย เป็นแค่การสร้างราคาของ จตุพร พรหมพันธุ์ เพียงคนเดียวเท่านั้น เพราะในความเป็นจริง แล้วแค่ 5 หมื่นคนก็ยังเกินไป
แต่ก็นั่นแหละนาทีนี้ปริมาณมามากมาน้อยไม่ใช่ประเด็นแล้ว เพราะแค่หลักพันหลักหมื่นถ้าจะป่วนมันก็ทำได้ไม่ยากอยู่แล้ว อีกทั้งลักษณะการป่วนย่อมย่อมเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะการใช้วิธีแบบ “ใต้ดิน” ใช้กองกำลังติดอาวุธก่อเหตุร้าย ซึ่งที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาแล้ว ดังนั้นหากใช้วิธีการแบบคู่ขนานนั่นคือทั้งใต้ดินและป่วนบนดินมันก็ฉิบหายวายป่วงได้ไม่ยาก และอย่าคิดว่าคนเห็นแก่ตัวแบบ ทักษิณ ชินวัตร จะสั่งให่ทำแบบนี้ไม่ได้ เพราะถึงเวลานั้นมีแต่คนอื่นเท่านั้นเท่านั้นที่เสียหาย ขณะที่คนในครอบครัวตัวเองถึงเวลาคับขันก็เผ่นออกนอกประเทศทุกที
ดังนั้นเมื่อมีความเป็นไปได้ทั้งสองทางนั่นคือ ป่วนจริง หรือแค่คำขู่เพื่อกดดันองค์กรอิสระ และศาล แต่ถึงอย่างไรหากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อันน่าสยดสยอง ที่คนไทยต้องเข่นฆ่ากัน มันก็ย่อมมีทางแก้ไขสกัดกั้นได้อยู่แล้ว และหนทางนั้นก็คือกองทัพที่นำโดย ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องออกมายืนขวางเอาไว้แบบคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ไม่ใช่ลอยตัว สร้างอำนาจต่อรองให้กับตัวเอง อย่างที่เป็นอยู่
แน่นอนว่าหากมีการปะทะกันระหว่างมวลชนสองฝ่าย หรืออาจไม่ใช่การปะทะ แต่เป็นการ จงใจ สร้างสถานการณ์ให้เกิดของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ที่มีเจตนาให้ป่วนเพื่อสร้างเงื่อนไขปลุกระดมให้เห็นว่าพวกเขาถูกรังแกจากฝ่ายอำมาตย์ จากพวกเผด็จที่ต้องการทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นต้องออกมาเพื่อปกป้องความเป็นธรรม ปกป้องประชาธิบไตยเหมือนที่เคยใช้ได้ผลมาตั้งแต่การรัฐประหารหน่อมแหน้มเมื่อปี 49 เป็นต้นมาต่อเนื่องมาถึงเหตุการณ์พฤษภาคมปี 53 และเหตุการณ์ดังกล่าวกำลังจะซ้ำรอยอีกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
อย่างไรก็ดี คราวนี้บรรยากาศอาจผิดแผกแตกต่างไปไกลลิบ เพราะชาวบ้านตาสว่างมากขึ้น แม้แต่คนเสื้อแดงไม่น้อยที่รู้ความจริง ซึ่งสะท้อนออกมาจากการชุมนุมใหญ่หลายครั้งที่มวลชนลดน้อยลงเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างไรหากคิดจะป่วนมันก็ยังมีศักยภาพทำได้ไม่ยาก เพราะคราวนี้เป็นการเดิมพันด้านผลประโยชน์และอำนาจครั้งสุดท้ายของพวกเขาเลยก็ว่าได้ จึงต้องดิ้นรนสุดตัว
ดังนั้นงานนี้เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจเกิดขึ้นทั้งที่จงใจและเป็นอุบัติเหตุเหนือการควบคุมก็ตาม ในฐานะผู้นำกองทัพ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องทำหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมเสียที และหากย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดที่เคยบอกว่า “ยืนข้างประเทศไทย” คราวนี้แหละถึงเวลาแล้วที่ต้องจัดการกับระบอบทักษิณ ในความหมายที่ถูกต้อง หากขัดขวางและทำลายกระบวนการยุติธรรมในบ้านเมือง สร้างอนาธิปไตยให้เกิดขึ้น
ถึงเวลาต้องออกมาทำหน้าที่ให้ถูกต้องเหมาะสมเสียที ไม่ใช่ลอยตัวเพื่อรอเกษียณอายุแบบไร้ประโยชน์!!