ผ่าประเด็นร้อน
แน่นอนว่าหากหวังพึ่งพาเฉพาะการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงทางเดียวคงจะไม่มีแรงกดดันเพียงพอ เพราะผ่านมาสองสามครั้งล่าสุดทั้งในยุคของ ธิดา ถาวรเศรษฐ ที่ประกาศ“ลั่นกลองรบ”ก็แล้ว จนกระทั่งเปลี่ยนตัวมาเป็น “ทั่นประธาน” จตุพร พรหมพันธุ์ ชุมนุมใหญ่ที่ถนน“อักษะ”เมื่อวันเสาร์ 5 ก็แล้ว มีการโหมโรงนำร่องคุยใหญ่คุยโตกันน่ากลัวว่าคราวนี้คนเสื้อแดงจะมากันแบบมืดฟ้ามัวดิน เบาะๆ ไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน ไหลกันมาแบบสายน้ำว่ากันแบบนั้น แต่เอาเข้าจริงก็แค่หลักหมื่น ต้องเรียกว่า“โคตรกระจอก” โม้ซ้ำซาก
แต่คนอย่าง จตุพร ก็ยังแถไปอีกทางว่านี่แค่ “ซ้อมใหญ่”เท่านั้น ของจริงต้องหลังสงกรานต์ในช่วงที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีกำหนดนัดชี้มูลความผิด ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีโครงการรับจำนำข้าว และต่อเนื่องกันก็คือคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดสถานภาพของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จากกรณีเด้ง ถวิล เปลี่ยนศรี พ้นจากเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงโดยมิชอบ ซึ่งตามกำหนดคร่าวๆจะเกิดขึ้นหลังสงกรานต์เป็นต้นไป
ที่น่าจับตาก็คือ ในช่วงเวลานั้นทั้งกลุ่ม กปปส.ที่นำโดยกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ประกาศนัดชุมนุมใหญ่พร้อมๆ กับคนเสื้อแดง ที่นำโดย จตุพร พรหมพันธุ์ โดยคราวนี้มีการท้าทายเรื่องการวัดพลังด้วยปริมาณมวลชนว่าใครมากกว่ากัน
แต่จากการพิสูจน์ตามความเป็นจริงที่ผ่านมาสองสามครั้งต่อเนื่องกันได้เห็นกันแล้วว่าปริมาณคนเสื้อแดงที่ออกมาล้วนลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็จะไม่ให้ลดได้อย่างไรในเมื่อผลงานของรัฐบาลที่ตัวเองเอาชีวิตเข้าแลก หลายคนยังต้องอยู่ในคุกอย่างเดียวดาย ผลงานตลอดกว่าสองปีในยุค ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่คุยโม้ว่า“นารีขี่ม้าขาว”กลายเป็น “นารีพาลงเหว”มีแต่จนลง แม้แต่ “ค่าข้าว”เงินของตัวเองแท้ๆ เอาข้าวไปแล้ว ผ่านมาเกือบปีแล้วเงินก็จ่ายไม่ครบ แบบนี้ใครยังหน้ามืดเชียร์มันก็โง่เกินคำบรรยายจริงแล้วละ
นี่คือคำตอบว่าทำไมการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงระยะหลังคนถึงน้อยลงเรื่อยๆ ก็มันแห้งกรอบอย่างนี้จะเอาแรงที่ไหนมาช่วยทั่นเศรษฐีล่ะ
เมื่อเน้นปริมาณมวลชนไม่ได้แบบเดิมอีกแล้ว แต่ในระดับแค่หลักหมื่นมันถึงอย่างไรมันก็สร้างแรงกดดันได้เหมือนกัน และเช่นเดียวกันเมื่อเคลื่อนไหวแบบ “บนดิน”กดดันไม่ได้ผล มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องใช้วิธีแบบคู่ขนานกับแบบ “ใต้ดิน” เพราะที่ผ่านมาก็มีปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องให้เห็นเป็นรายวันอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ก็มีการยิงระเบิดใส่สำนักงานศาลอาญา ศาลแพ่ง มาอย่างต่อเนื่อง และแน่นอนว่าในจำนวนนั้นก็ต้องมีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และกรรมการ ป.ป.ช.ที่ตกเป็นเป้าหมายข่มขู่เอาชีวิตอยู่แล้ว ซึ่งตอนนี้ก็มีการประกาศชุมนุมขัดขวางการทำงานของ ป.ป.ช.โดยกลุ่มสาขาเสื้อแดงในชื่อ กวป.อยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน แม้ว่าการเคลื่อนไหวแบบนี้ถือว่าเป็น “นาทีทอง”ของบรรดาหัวโจกแต่ละคนที่สามารถ“รับทรัพย์”กันอย่างเป็นกอบเป็นกำ เพราะแค่รวบรวมคนได้แค่ 50-100 คนแล้วออกมาป่วน ยิ่งแรง ยิ่งเถื่อนเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าตา ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ได้มีหัวโจกหน้าใหม่ในชื่อกลุ่มแปลกๆ โผล่ออกมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ซึ่งคนพวกนี้ก็ไม่ได้ขึ้นตรงกับกลุ่มของ จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เนื่องจากคนพวกนี้มีสถานะเดียวกันคือ “ขี้ข้า”ต้องทำงานรับใช้ ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าช่วงเวลาไหนที่มีความจำเป็นต้องเลือกใช้มากกว่ากัน
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ ทักษิณ และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังถูกไล่บี้จากสังคมหลังจาก “ตาสว่าง”มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และที่สำคัญเป็นอาการตาสว่างด้วยตัวของชาวบ้านเองอันเกิดจากความล้มเหลวห่วยแตกของ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ และระบอบทักษิณ ในช่วงเวลาอันสั้นแค่สองปีกว่าเท่านั้น กำลังเข้าตาจน แต่ยังมีเงินทองพร้อมจ่ายให้กับใครก็ตามที่พร้อมรับใช้ได้ไม่อั้น
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงยังมีมวลชนเสื้อแดงหลากหลายกลุ่มอาสาออกมาเคลื่อนไหวกันอย่างต่อเนื่องและแรงขึ้น และในสถานการณ์แบบนี้เมื่อพลังมวลชนในการชุมนุมมีปริมาณไม่มากพอจะกดดันได้ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องใช้วิธีใต้ดินปฏิบัติการคู่ขนานอย่างที่เห็น และเชื่อว่ายิ่งใกล้ถึงวันสำคัญก็จะได้เห็นความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นความรุนแรงที่ถึงขั้นฉิบหายวายป่วงกันเลยทีเดียว เพราะเขา (ทักษิณ ชินวัตร) เชื่อว่าหากใช้วิธีการแบบนี้แล้วจะได้ผล สามารถใช้วิธีแบบ “ถ่อยเถื่อน”ข่มขู่คนอื่นได้ผล
อย่างไรก็ดี เมื่อสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สังคมได้ตาสว่างได้รู้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งรับรู้ว่าฝ่ายที่กำลังก่อเหตุป่วนรายวันมันเป็นฝีมือของฝ่ายใด แล้วยังสงสัยว่าใครเป็นคนบงการกองกำลังติดอาวุธจาก“ต่างด้าว”มาทำร้ายคนไทยอีกด้วย ดังนั้นยิ่งลงมือก่อกวนมากเท่าใดก็ยิ่งเป็นผลลบเพิ่มความเกลียดมากขึ้น มีแต่ต้องจ่ายแบบ“สูญเปล่า”เท่านั้น เวลานี้ไม่ต่างจากถูกหลอกรุมทึ้งหลอกรับประทานเท่านั้น!!
