สอดแนมการเมือง
โดย...ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
“โสเครตีส”เกิดปี พ.ศ 73 ณ ประเทศกรีก หลัง”พุทธ”เกิดที่ประเทศอินเดีย 73 ปีแล้ว!
ปราชญ์“โสเครตีส”ถือหลัก มนุษย์ต้องยึด”พอเพียง”เหนือ”พอใจ” ดังวาทะที่ว่า
“ความรู้จักประมาณตน และควบคุมจิตใจตนเอง ต้องเป็นนายเหนือความพอใจ และความปรารถนาของตนเอง”
“โสเครตีส”ชี้ให้ระมัดระวัง ภัย”ความพอใจ”ของมนุษย์ ที่บางคราอาจมาพร้อมการหลอกลวง ด้วยการโยน”ชั่ว-ดี”ทิ้งไว้บนหนทางชีวิต จน”ความพอใจ”กับ”ความชั่ว” ได้กลายเป็นมิตรในกายและใจมนุษย์อยู่ในทุกวันนี้ โดย”โสเครคีส”ได้ระบุไว้ในวาทะครั้งหนึ่งว่า
“มีบางอย่างที่ข้าพเจ้าเห็นว่า มันเป็นการหลอกลวง จะเป็นทางร่างกายหรือจิตใจ หรืออะไรก็ตาม ถ้าสิ่งนั้นเป็นการกระทำ เพียงเพื่อความพอใจอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความดี ความชั่วในการกระทำนั้นเลย”
“เหตุ-การกระทำ-ผล”คือสามหลัก ที่”โสเครตีส”ใช้เป็นตรรกตัดสินว่า คนไหนทำดีและคนไหนทำชั่ว โดยเฉพาะคนที่ถือ”เงินเป็นพระเจ้า” และถือ”อำนาจเป็นอาวุธ”โกยเงิน ดังนั้น เงินกับอำนาจจึงเป็นสิ่งที่คนชั่ว ยุค”โสเครตีส”เมื่อ 2 พันกว่าปี กับคนชั่วยุคปี 2557 อย่าง “เหลี่ยม-ปู”มัวเมาลุ่มหลงอยู่ในเวลานี้ โดย“โสเครตีส”เคยเปล่งวาทะในเรื่องนี้ว่า
“การกระทำของแต่ละคน จะเป็นเครื่องตัดสินได้ว่า คนๆ นั้นเป็นคนอย่างไร คนที่เลี่ยงกฏหมายเขาก็จะคำนึง ถึงแต่ความเจ็บปวดที่ถูกลงโทษ แต่มองไม่เห็นประโยชน์อะไรทั้งสิ้น แล้วก็ยังโง่เสียจนไม่รู้ว่า จิตใจที่ชั่วร้ายหยาบช้าสามานย์นั้น เป็นสิ่งที่ทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่า ร่างกายที่อ่อนแอเจ็บไข้ได้ป่วย คนโง่เขลาพวกนี้ ยังหมกมุ่นอยู่แต่กับแก้วแหวนเงินทอง มัวเมาอยู่กับเพื่อนฝูง แล้วยังชักชวนให้คนอื่นหลงผิดไปตามตน พยายามทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงกฏหมาย ความชั่วร้ายในจิตใจก็ไม่เคยขจัดให้หมดสิ้นไป”
ยุคนักการเมืองชั่วเช่น “เหลี่ยม-ปู” ใช้อำนาจรัฐปล้นชาติบ้านเมือง มุ่งกอบโกยเงินทองผล
ประโยชน์อันมหาศาล เข้ากระเป๋าตนและพวกพ้อง โดยไม่ใยดีกับการทำเพื่อส่วนรวม ดังที่เป็นอยู่ในชาติไทยมากว่า 10 ปี
นั่นล้วนเป็นสิ่งที่”โสเครตีส”ได้เผชิญและต่อสู้ กับพฤติกรรมอันชั่วร้ายของนักการเมือง ที่ใช้อำนาจรัฐเผด็จการอยู่ในกรุงเอเธนส์ เมื่อ 2 พันกว่าปีมาแล้วทั้งสิ้น “โสเครตีส”จึงเปิดโปงสันดานชั่ว ของนักการเมืองยุคนั้นที่เหมือนยุคนี้ไว้ว่า..
“ท่านก็สรรเสริญนักการเมือง ที่ปรนเปรอให้ประชาชนลุ่มหลง อยู่กับความเพลิดเพลิน สนุกสนานตามที่คนต้องการ โดยมิได้คำนึงถึงคุณโทษอะไรเลย ประชาชนก็ยกย่องคนพวกนั้นว่าทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง โดยไม่เห็นว่า แท้ที่จริงนั้นบ้านเมืองของเรา กำลังจะเสื่อมทรามลงและ”เน่า”จนถึงแก่นข้างใน นักการเมืองเหล่านั้นต่างหาก ที่ยัดเยียดระดมสร้างท่าเรือ อู่เรือ กำแพงเมือง สิ่งไร้สาระทั้งหลาย ด้วยภาษีที่ขูดเลือดขูดเนื้อไปจากประชาชน โดยไม่คำนึงถึงความพอดี ความควรไม่ควรเลย”
2 พันกว่าปีในกรีก ”โสเครตีส”พยายาม”เข็นครกขึ้นภูเขา” ด้วยการผลักดันให้รัฐทำให้ประชาชนฉลาดและดี รู้ทันในเล่ห์ร้ายของนักการเมืองชั่ว เพื่อขจัดการโกงชาติให้หมดไป โดย”โสเครตีส”ได้พูดวาทะในเรื่องนี้ไว้ว่า
“เราควรจะทำอย่างไร ถ้าเราจะอุทิศชีวิตเพื่อการเมืองในกรุงเอเธนส์นี้ ถ้าท่านจะทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์แล้ว ท่านคำนึงบ้างหรือไม่ว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้ ประชาชนอย่างเราๆ เป็นคนดีขึ้นก่อน เพราะเราเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของนักการเมืองคือสิ่งนี้”
แต่นักการเมืองชั่วยุค”โสเครตีส”และยุค”เหลี่ยม-ปู” นักการเมืองชั่วจะกลัวคนดีและฉลาด เพราะทำให้นักการเมืองชั่วปล้นชาติไม่ได้นั่นเอง “โสเครตีส”จึงเน้นในเรื่องนี้ว่า
“ถ้าตราบใดที่นักการเมือง ยังไม่ได้ทำให้ประชาชนเป็นคนดี รู้จักควบคุมกิเลสความปรารถนาของตนเอง อย่างที่พลเมืองดีควรจะทำ ตราบนั้นนักการเมืองก็เลวเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบัน”
“โสเครตีส”เสนอให้ดูแล”สิ่งเกิดใหม่ที่ดี”เป็น”พิเศษ” นั่นคือ
“วิถีทางที่ถูกต้องที่(รัฐ)ควรเริ่มทำ คือการเอาใจใส่ต่อเยาวชน และทำให้เยาวชนเหล่านั้นเป็นคนดีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หนทางที่ถูกต้องเริ่มจากเยาวชนก่อน ต้องปั้นเด็กให้ดี ดุจเดียวกับกสิกรที่ดี ต้องเอาใจใส่กับพืชอ่อนๆก่อนอื่นฉะนั้น”
มนุษย์ต้องมีความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง เพราะความยุติธรรมคือสายธาร ที่มนุษยชาติทุกคนพึงปฏิบัติเป็นสรณะ โดย“โสเครตีส”ได้เผยความคิดนี้ไว้ว่า
“เราควรจะใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดของเราอย่างไร คือมีชีวิตอยู่เพื่อแสวงหาความยุติธรรม และตายเพื่อดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมและคุณธรรม”
ความยุติธรรมเกิดขึ้นได้เมื่อแยกชัด ในเรื่อง”ส่วนตัว”กับ”ส่วนรวม” ซึ่ง”โสเครตีส”ยืนหยัดยึดมั่นในเรื่องนี้ทั้งชีวิต ดังวาทะที่ว่า..
“ตลอดชีวิตข้าพเจ้านี้ บุคคลิกลักษณะของข้าพเจ้านั้นคงเส้นคงวา ทั้งที่การทำเพื่อส่วนบุคคล และส่วนสาธารณะ คือไม่ยอมทำการใดที่ผิดหลักความยุติธรรม ไม่ว่าการกระทำนั้นจะเพื่อผู้ที่ถูกหาว่า เป็นลูกศิษย์ข้าพเจ้าก็ตาม”
“ข้าพเจ้าไม่ยอมแพ้แก่อยุติธรรมเลย แม้จะมีผู้สั่งประหารชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ยอมตายตรงนั้น ยิ่งกว่ายอมแพ้”
บทสรุปสุดท้ายของคำนิยามความยุติธรรม สำหรับ”โสเครตีส”อยู่ตรงวาทะที่ว่า..
“ความยุติธรรมเป็นความชั่วช้าและความเสื่อมเสีย สำหรับคนที่กระทำการใดๆ อย่างอยุติธรรม”
มนุษย์จะมีและรักษาความยุติธรรมโดยไม่กลัวตายได้ ต่อเมื่อมนุษย์รู้ซึ้งถึงแก่นแท้ของทุกข์และสุข ดังปราชญ์หลายคนได้บันทึกไว้ ในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้แล้ว ซึ่ง“โสเครตีส”ก็เป็นหนึ่งในปราชญ์ ที่เข้าใจปรัชญาแห่งทุกข์และสุขถ่องแท้ ด้วยวาทะนี้..
“มนุษย์ชายหญิงทั้งหลาย จะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อ เขาเป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ และมีศักดิ์ศรี แต่จะมีความทุกข์ ถ้าเขาเป็นคนเลวและชั่วร้าย”
“คนชั่วหรือคนที่ทำแต่ความผิด ย่อมมีความทุกข์ทรมานเสมอ และจะยิ่งทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น ถ้าไม่ได้ชดใช้โทษกรรม โดยไม่ได้ถูกลงโทษทั้งๆที่ทำผิด ความทุกข์ทรมานนั้นอาจจะลดน้อยลงไป ถ้าเขายอมใช้โทษกรรม ยอมรับโทษทั้งในโลกนี้และโลกหน้า”
สำหรับ”โสเครตีส”แล้ว นักการเมืองชั่วทั้งหลาย คือ ตัวต้นเหตุแห่งปัญหาอันเลวร้ายทั้งปวง ”โสเครตีส”จึงได้พูดไว้ว่า
“ไม่มีใครมีความสุขไปกว่าใครเลย ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต้องการ จะรวบอำนาจเผด็จการ หรือคนที่ถูกลงโทษอย่างทารุณ ทั้งสองคนมีความทุกข์ด้วยกันทั้งคู่ จะเรียกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มีความสุขก็ไม่ได้ แต่คนที่มีความทุกข์กว่าก็คือ คนที่หลบหนีไปสร้างอำนาจ จนกลายเป็นทรราชในที่สุด”
สุดท้าย”โสเครตีส”ได้สรุปไว้ว่า ถ้าจะตัดปัญหาอันเลวร้ายมิให้เกิดขึ้น หรือจะยุติปัญหาอันเลวร้ายทั้งมวลได้ ต่อเมื่อ”มนุษย์”ต้องเป็น”นาย”เหนือ”ความอยาก” หรือต้องรู้จัก”พอเพียง”นั่นเอง โดย”โสเครตีส”ระบุว่า…
“คนที่อยากจะมีความสุข ก็ต้องหมั่นฝึกหัดควบคุมจิตใจตนเอง และควรจะวิ่งหนีความชั่วร้ายทั้งหลาย ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้”
ปราชญ์ที่เก่งและดีอย่าง”โสเครตีส” มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แค่ 76 ปีเท่านั้น “โสเครตีส”ตายในปี พ.ศ. 149 แต่คนดีและฉลาดในโลกนี้ ยังคงมีให้เห็นอย่างมากมายทุกหนแห่ง
สำหรับชาติไทยแล้ว..นักการเมืองชั่วทั้งหลาย โดยเฉพาะ”เหลี่ยม-ปู”ยังทำกรรมชั่วมิหยุดหย่อน โดยไม่คิดจะกลับตัวกลับใจ หันมาทำเพื่อชาติและประชาชนคนส่วนใหญ่แม้แต่น้อย ฯลฯ
พี่น้อง”ตระกูลชิน”หลายคน จึงเป็นภัยร้ายแรงอย่างยิ่ง ต่อความมั่นคงของชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ อยู่ในขณะนี้ไงล่ะครับ!!!