“ณรงค์ โชควัฒนา” จวกวงการพลังงานไทยสุดฉ้อฉล บิดเบือนข้อมูลปริมาณน้ำมัน ต้นทุนขุดเจาะ ช่วย บ.เอกชนจ่ายค่าสัมปทานน้อย ชี้ทุกพรรคมีเอี่ยวผลประโยชน์ ไม่ยอมเปลี่ยนระบบ ไม่เว้นรัฐบาล คมช.แนะวิธีทวงคืน ปตท.ต้องควบคุมราคาน้ำมัน ให้หุ้นราคาตก แล้วรัฐบาลซื้อคืน เตือนระวัง “ทักษิณ” ยึดอำนาจตัวเอง พร้อมชี้ทางออก ต้องรัฐประหารสร้างสรรค์ ใช้ความเข้มแข็งของกองทัพขจัดความชั่วร้ายให้ประเทศและยืนข้างประชาชน ไม่หน่อมแน้มเพื่อตัวเองแบบปี 49 “ไพศาล” เตือนกองทัพเผชิญ 4 กองกำลัง ประเทศจะเหมือนซีเรีย ต้องปฏิวัติเด็ดขาดแบบจอมพลสฤษดิ์ แนะรอง ปธ.วุฒิฯ ทูลเกล้าฯ นายกฯ มาตรา 7 สถานการณ์ถึงทางตันแล้ว
รายการสภาท่าพระอาทิตย์ วันที่ 23 มี.ค.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ผู้ดำเนินรายการ สนทนรากับ นายณรงค์ โชควัฒนา นักธุรกิจและนักวิชาการอิสระ และนายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประเด็นแรกเรื่องทิศทางการปฏิรูปพลังงานไทย โดยนายณรงค์กล่าวว่า ประเทศเรามีน้ำมันที่ อ.ฝาง มา 80 กว่าปีแล้ว และเราขุดมานานแล้ว และยังมีน้ำมันอยู่ กระแสของโลกบอกว่าน้ำมันจะหมด ต้องขึ้นราคากันเยอะ ทั้งหมดมีเรื่องซึ่งมันไม่น่าจะสมจริงสมจัง และสร้างความเสียหายให้กับประเทศมหาศาล เรื่องหนึ่งก็คือที่อ้างว่าประเทศไทยไม่มีน้ำมัน ถึงมีก็มีน้อยเป็นกระเปาะเล็กๆ เสียค่าขุดเจาะแพงมาก มีบางคนโกหกว่าค่าขุดเจาะน้ำมันในทะเลวันหนึ่ง 10 ล้านบาท และอ้างว่าเจาะ 10 หลุมจะเจอ 1 หลุม ทั้งที่ ปตท.สผ.ประกาศเองว่าในทะเลอ่าวไทยเจาะ 3 หลุม เจอ 2 หลุม ซึ่งตรงกับข้อมูลของบริษัทต่างๆ ทั่วโลกที่บอกว่าในอ่าวไทยเจาะ 10 หลุมจะเจอ 7 หลุม ขณะที่บนบกเจาะ 2 หลุมเจอ 1 หลุม
นอกจากนี้ ยังมีการโกหกอีกว่า ในอ่าวไทยไม่มีน้ำมัน มีแต่แก๊ส ซึ่งเราก็เดินท่อมาขึ้นโรงงานแยกก๊าซที่ระยอง น้ำมันมีน้อย ค่าขุดเจาะก็แพง เพราะฉะนั้นต้องให้สัมปทานในราคาที่ถูก ไม่เช่นนั้นจะไม่มีใครมาขุดเจาะ ซึ่งไม่เป็นความจริง เป็นการหลอกลวงทั้งหมด เพราะในโลกนี้ที่ไหนมีบ่อแก๊สก็ต้องมีน้ำมันเพราะมันอยู่รวมกันโดยธรรมชาติ ก็มาอ้างว่าเรามีแต่แก๊ส น้ำมันก็มีเป็นกระเปาะเล็กๆ เอาค่าสัมปทานมากไม่ได้ คิดค่าภาคหลวงแค้ 5 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเจอน้อยก็ลดให้อีก 90 เปอรฺเซ็นต์ของ 5 เปอร์เซ็นต์นั้น พ.ร.บ.ปิโตรเลียมเป็นแบบนี้ ซึ่งจะต้องแก้ไข เพราะคนสำรวจก็บอกมีน้อยไว้ก่อน จะได้จ่ายค่าสัมปทานถูกๆ
นายณรงค์ กล่าวต่อว่า ปรากฏว่า วันนี้เรามีหลุมน้ำมันในอ่าวไทย ซึ่งต้องบอกว่าเป็นบ่อน้ำมัน เพราะถ้าเป็นบ่อแก๊สต้องมีท่อต่อออกมา แต่นี่ไม่มีท่อ ที่เป็นแท่นขุดเจาะที่มีคนอยู่ 300 แท่น และแท่นขุดเจาะที่ไม่มีคนอีก 300 แท่น ทั้งหมด 600 แท่น มีเรือวิ่งเข้าแท่นขุดเจาะ 400 ลำ ขนาดบรรจุน้ำมันลำละ 2 หมื่นตันขึ้นไป คิดเป็นลำละ 1 แสนกว่าบาร์เรล ถ้าออกไปรับน้ำมัน 10 ลำ วันหนึ่งก็ได้ 1 ล้านบาร์เรลแล้ว เท่ากับกำลังการกลั่นของเราทั้งหมดแล้ว แต่นี่มี 400 ลำ วิ่งวนเวียนกันอยู่
นายณรงค์ กล่าวต่อว่า ท่อแก๊สเราคิดว่าเรามีท่อเดียว แต่ที่จริงมันยั้วเยี้ยไปหมด วันนี้เรามีโรงแยกแก๊ส 6 โรง เพราะโรงเดียวไม่พอ ขณะที่เราบอกว่ามีน้อย มีเป็นกระเปาะ แต่ทุกหลุมขุดเจาะมีการเผาแก๊สทิ้ง เพราะถ่าไม่มีโรงแยกมันเก็บไว้ไม่ได้ ต้องส่งทางท่อไปขาย ซึ่งในอเมริกามีการส่งทางท่อไปขายประชาชน แต่ของเราไม่ยอมทำโรงแยกแก๊สที่ 7 8 9 เราเผาทิ้งที่หลุมเลย ในซาอุดีอาระเบีย ไม่มีแท่นขุดเจาะที่เผาแก๊สทิ้ง แต่ของเรา 600 แท่นขุดเจาในทะเล กับแท่นบนบกมีการเผาทิ้ง เราต่อท่อส่งมาที่โรงแยกแก๊ส แต่ส่งไปไม่หมดก็เผาทิ้งแล้วไปซื้อจากพม่า มาใช้ ขณะที่แก๊สจากพื้นที่ร่วมไทย-มาเลเซีย เราขายกิโลกรัมละ 66 สตางค์ แต่เราซื้อจากพม่ามากิโลกรัมละ 12 บาท มันเป็นการฉ้อฉล ผลประโยชน์มหาศาลทางทะเลของประเทศเรามันหายไปไหน
นายณรงค์ กล่าวต่อว่า มันฉ้อฉลอย่างไร ประเทศไทยเรามี 500,000 ตารางกิโลเมตร(ตร.กม.) แต่เราให้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันแก่เอกชนรายหนึ่ง 50,000 ตร.กม.แปลว่า 10 บริษัทก็หมดประเทศแล้ว นอกจากนั้นยังแก้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ไม่จำกัดพื้นที่สัมปทานอีก ในปี 50 สมัยรัฐบาล คมช.และให้พื้นที่สัมปทานเอกชนรายเดียวถึง 1 แสน ตร.กม.ขณะที่พื้นที่ที่มีศักยภาพในการขุดเจาะน้ำมันทั้งประเทศมี 270,000 ตร.กม.แต่เราให้เอกชนรายเดียวเป็นแสน
ขณะที่การให้สัมปทานนั้น แทนที่จะดูที่ผลประโยชน์ที่เอกชนให้กับรัฐ ใครให้มากที่สุดก็ได้ไป แต่ใน พ.ร.บ.ปิโตรเลียม แหล่งไหนเจอน้ำมันมากเก็บ 5% แหล่งไหนเจอมาก็เก็บมากขึ้นหน่อยแต่ไม่เกิน 15% แหล่งไหนถ้าเจอน้อยมากๆ ก็ลดให้ 90% จากอัตรา 5%
นายณรงค์ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำมัน เราส่งออกข้าวและยางพารามากที่สุดในโลก คิดมูลค่ารวมกันก็ตกปีละ 3 แสนล้านบาท แต่วันนี้เราส่งออกปิโตรเลียม ปีละ 4 แสนล้านบาทแล้วตามข้อมูลของศุลกากร แซงข้าวกับยางพารารวมกัน แต่ 4 แสนล้านบาทนี้ไม่ได้เข้าประเทศ เพราะเป็นระบบสัมปทาน ทันทีที่เราให้สัมปทานเอกชนยังไม่ต้องจ่ายเงินจนกว่าจะสูบน้ำมันออกมาแล้วเราก็เก็บ 5-15% ของกำไร ซึ่งเราไม่ค่อยได้ เพราะเขาจะหักค่าใช้จ่ายมากมาย และขายราคาถูกให้บริษัทลูก เอากำไรไปซ่อนไว้ที่บริษัทลูก ซึ่งที่ผ่านมา ไม่มีพรรคการเมืองไหนในอดีตที่มีอำนาจรัฐแล้วมาแก้ไขตรงนี้ เราจึงเสียเปรียบตลอด ประเทศอื่นเขาใช้ระบบแบ่งปันผลประโยชน์จากการผลิตน้ำมัน น้ำมันที่ขึ้นมาจากหลุมเจาะ รัฐได้ไป 80-90% บริษัทขุดเจาได้ 10-20% ซึ่งประเทศต่างๆ ทั่วโลก 90% ใช้ระบบแบ่งปันผลผลิตทั้งสิ้น แต่ของวเรายังเป็นระบบสัมปทาน บ่อน้ำมันก็เป็นของเอกชน เราเข้าไปตรวจสอบก็ไม่ได้ เขาห้ามเข้า เพราะถือเป็นพื้นที่ของเขา เราก็รอเก็บค่าสัมปทานถูกๆ 5-15% เรื่องแบบนี้ทำไมเราไม่แก้ไข
นายณรงค์ กล่าวต่อว่า ถ้าไปถามกระทรวงพลังงาน หรือกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ เขาก็บอกว่าเราเคยแก้มาแล้ว ตอนที่ทำ Thailand II ซึ่งเก็บมากกว่านี้ แต่ไม่มีใครมาขุดเจาะ เราเลยต้องกลับมาเอาน้อยๆ ต้องถามว่า ช่วงที่ทำ Thailand II นั้นน้ำมันล้นตลาดหรือเปล่า น้ำมันราคาตกจาก 30 กว่าเหรียญต่อบาร์เรล ลงเหลือ 11 เหรียญ มันล้นตลาด ใครจะมาเจาะเพิ่ม ก็ยังเอามาเป็นข้ออ้างว่าเราไม่สามารถเก็บมากกว่านี้ ยังใช้ข้อมูลนี้มาหลอกคนไทยทุกวัน มันน่าเกลียดจริงๆ เจ้าหน้าที่ของรัฐแทนที่จะดูแลผลประโยชน์ให้รัฐ แต่กลับไปดูแลผลประโยชน์บริษัทขุดเจาะน้ำมัน นอกจากนี้ การให้สัมปทาน แทนที่จะดูผลประโยชน์ที่รัฐจะได้ กลับไปดูที่ความน่าเชื่อถือด้วยการให้คะแนนด้านต่างๆ เหมือนกับจะล็อกไว้ว่าจะให้บริษัทนี้
นายณรงค์ กล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่ของกระทรวงพลังงาน อ้างว่าการใช้เครื่องขุดเจาะสำรวจน้ำมันวันหนึ่งใช้เงิน 10 ล้านบาท ทั้งที่จริงๆ แล้ว เจาะหลุมหนึ่งทั้งหลุมไม่เกิน 30 ล้านบาท ส่วนบนบกไม่เกิน 10 ล้านบาท ที่ อ.ฝาง แล้วบอกว่าใช้เป็นพันล้าน มีความเสี่ยงมาก ต้องเก็บค้าสัมปทานน้อย
นายณรงค์ กล่าวถึง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ว่า เราให้สหรัฐอเมริกามาทำ และจ้างผู้เชี่ยวชาญสวิสมาดู แล้วไปเลียนแบบประเทศลิเบียที่เป็นอาณานิคม เอามาเป็นต้นแบบ และมาถึงวันนี้ก็มีแต่แก้ให้เป็นประโยชน์แก่ต่างชาติตลอดเวลา ให้พื้นที่สัมปทานถึง 5 หมื่น ตร.กม.ในโลกนี้ไม่มีใครโง่ขนาดนั้น ประเทศเรามีแค่ 5 แสน ตร.กม.ให้บริษัทอะไรบ้าบอตั้ง 5 หมื่น ส่วนพื้นที่ที่มีศักยภาพในการสำรวจบนบกมี 270,000 ตร.กม.เท่านั้น ให้ไม่กี่รายก็หมด แล้วยังไปแก้ว่าไม่มีข้อจำกัด ในรัฐบาลยุค คมช.แล้วให้บริษัท เพิร์ลออย (ที่มีสำนักวงานบนตึกชินวัตร 3) เอาไป 1 แสน ตร.กม.น่าเกลียดที่สุดในโลก อนุญาตบ้าบออะไรให้บริษัทเดียว แล้วเอาไปขายต่อได้ นอกจากนี้เมื่อดูสัญญาสัมปทานก็ไม่ได้จ่ายเงินมาก 3 ล้านบ้าง 5 ล้านบ้าง และบริษัทที่ได้ไปก็มีนักการเมืองโยงใยกันหมด
นายณรงค์ กล่าวอีกว่า เมื่อดู พ.ร.บ.ปิโตรเลียมถือว่าทุเรศมาก นักวิชาการด้านน้ำมันทั้งหลายควรดูเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราไม่ว่าจะเป็นพม่า กัมพูชา เวียดนาม เขาเปลี่ยนกันหมดแล้ว อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไม่มีเลยที่จะใช้ระบบบ้าบอแบบนี้ น่าอายเพื่อนบ้านเขา เราปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจึงน่าเอาปี๊บคลุมหัว
ด้าน นายไพศาล กล่าวว่า เรามีเวรกรรม ถูกนักการเมืองหลอกต้มจนเปี่อย เรามีพลังงานมากที่สุดในย่านนี้ แต่ยุคอะแซหวุ่นกี้ที่เอาดินน้ำมันมาให้เจ้าเมืองพิษณุโลก เรามีทรัพยกรพลังงานมากมาย แต่ทรัพยากรเหล่านี้ถูกปล้นไปให้ต่างชาติมาทุกยุคทุกสมัย ตนเกิดมาในภาคใต้รู้เรื่องการขนน้ำมันในอ่าวไทยบริเวณจังหวัดสงขลามาโดยตลอดจนอายุ 60 กว่าแล้ว ยังขนไม่ยอมเลิก เรายังถูกนักการเมือง สื่อมวลชน บริษัทพลังงานหลอกว่าเราไม่มี ทั้งที่เราถูกเจาะน้ำมันและก๊าซปีหนึ่งมูลค่า 3 ล้านล้านบาท โดยที่เอามาเป็นประโยชน์ของรัฐน้อยมาก เราคิดค่าสัมปทานร้อยละ 5-15 ขณะที่ประเทศอื่นเขาเลิกหมดแล้ว บางประเทศ เช่น อิหร่าน ก็เคยเป็นแบบเรา ให้สัมปทานน้ำมันกับต่างชาติ ขณะที่ประเทศเป็นหนี้ ประชาชนยากจน จนกระทั่งโคไมนีทำการปฏิวัติอิสลาม เข้ามายึดสัมปทานน้ำมันคืนหมดทั้งระบบ หลังปฏิวัติอิสลาม 3 ปี อิหร่านก็ชำระหนี้สาธารณะได้หมด ประชาชขนอยู่ดีกินดี จนตอนนี้อิหร่านมั่งคั่งที่สุดในย่านนั้น วิธีการแบบนี้ก็ลามไปถึงลาตินอเมริกา ตอนนี้มี 8 ประเทศที่ทำสำเร็จ โดยการยึดน้ำมันมาเป็นของรัฐ เมื่อก่อนก็ใช้ระบบบ้าๆ บอๆ แบบไทย ขุดน้ำมันได้ล้านบาร์เรลเสียค่าสัมปทานแค่ 1 แสน บางทีก็บอกหยุดพัก ทั้งที่ขุดเจาะทั้งปี
นายไพศาล กล่าวต่อว่า 8 ประเทศนั้น เขาเห็นว่าวิธีสัมปทานเป็นการขายแผ่นดิน ใช้ไม่ได้ ต้องยึดคืน โดยการยึดมี 2 แบบ คือยึดเป็นของรัฐแบบอิหร่าน หรือ แบบที่ 2 ให้มีสัมปทานเหมือนเดิม แต่ปรับสัดส่วนใหม่ ให้รายได้เป็นของรัฐมากขึ้นถึง 80-95% ส่วนบริษัทได้ไป 5-15%
นายไพศาล กล่าวต่อว่า ในยุค คมช.มีคนแอบเข้ามาขายประโยชน์ชาติขายแผ่นดิน ด้วยการแก้ไข พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ให้สัมปทานเอกชนเป็นแสน ตร.กม.ซึ่งเชื่อว่าทหารไม่รู้เรื่อง ซึ่งทำความเสียหายมากมายมหาศาลกว่าระบบทักษิณเสียอีก เขาเอาออกไปปีละ 3 ล้านล้านบาท แต่สำแดงเสียค่าภาคหลวงไม่ถึง 1 ใน 5 เพราะฉะนั้น ถ้าจะปฏิรูปบ้านเมืองกันสักทีกิจกรรมแรกคือการปฏิรูปพลังงาน ยึดเป็นของรัฐแบบอิหร่าน หรือแบบลาตินคือปรับสัดส่วนผลประโยชน์ให้เป็นของแผ่นดินสัก 85% ที่เหลือให้บริษัทที่รับสัมปทาน ไม่เกิน 1 ปี เราจะพ้นจากการมีหนี้สาธาณณะ ปลดหนี้ชาวนา หนี้ครู หนี้เกษตรทั้งประเทศหมดเลย
“ถ้าปฏิรูปแล้วต้องยึดพลังงานเป็นของรัฐ อย่าลืม แค่ท่ออย่างเดียวเหลวไหล มันเป็นของชาติอยู่แล้ว ยังจะยกให้เขาอีก แต่ดีว่าศาลปกครองให้ยึดเป็นของแผ่นดิน น้ำมันและแก๊สเป็นของประเทศชาติ ของคนไทยทุกคน จะปล่อยให้เขาปล้นได้ไง ต้องระวังพวกที่แทรกซึมเข้ามาตีกิน ตอนทหารปฏิวัติเขายังเข้ามาได้เลย” นายไพศาลกล่าว
นายณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปตท.วันนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ให้เกิดการแข่งขัน แต่อาศัยอำนาจรัฐในการเป็นเจ้าของท่อ ทั้งที่ศาลตัดสินแล้วแต่ยังไม่ส่งคืน อาศัยการผูกขาดนี้เป็นตัวกลางในการฮั้วขึ้นราคา ไปซื้อหุ้นในโรงกลั่นทั้งหมด ยกเว้นทีพีไอที่เจ้าของไม่ยอม แล้วเข้าไปบริหารจัดการฮั้วให้เสร็จ เมื่อ ปตท.ขึ้นราคา บริษัทอื่นก็ขึ้นด้วยกัน ทุกยริษัทจึงร่ำรวยกันหมด จากที่เคยจะเจ๊ง เช่น บางจาก แต่เราก็จะเห็นว่า ปั๊มยี่ห้ออื่นค่อยๆ หายไป แล้วมี ปตท.ขึ้นมาแทน
นอกจากนี้ ปตท.มีกำไรหลายแสนล้านบาทแล้วยังไปจดทะเบียนบริษัทในหมู่เกาะไม่เสียนภาษี เช่น บริติช เวอร์จิน เกาะเคย์แมน บริษัทลูกของรัฐไปจดทะเบียนอย่างนั้นไม่ได้ มันฉ้อฉล แต่นักการเมืองที่เข้าไปมีอำนาจรัฐได้ประโยชน์ก็ปล่อยปละละเลย ทุกพรรคที่เคยเป็นรัฐบาลได้ประโยชน์ทั้งนั้น
นายณรงค์ กล่าวต่อว่า การเอา ปตท.คืนมานั้นง่ายมาก และไม่ควรเอางบประมาณ เอาภาษีของประชาชนไปซื้อ วิธีการคือ ควบคุมราคา ไม่ให้เขาหากำไรโดยมิชอบ ทำให้เขาขาดทุน ไม่ให้กำไรบ้าๆ บอๆ แบบนี้ ถ้าจะจัดการควบคุมราคา หุ้นก็จะตกหมด คนที่ถือไว้ก็จะทิ้งหมด ที่คนเข้าไปซื้อตอนนรี้ก็เพราะมันไม่มีการควบคุมราคา ก็หากำไรได้มาก เพราะฉะนั้นต้องเข้าไปควบคุมราคา หรือเรียกค่าเสียหายจากการที่ให้ประชาชนเสียประโยชน์ ราคาหุ้นจะตกทันทีเลย รัฐบาลก็ซื้อหุ้นกลับมาได้ง่ายๆ เหมือนบริษัทผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ของญี่ปุ่นที่ถูกฟ้องมหาศาล หุ้นก็ดิ่งเหวรัฐบาลจะยึดก็แทบไม่ต้องซื้อ นอกจากนี้ ถ้าจะยึดสัมปทานน้ำมันมาเลยก็ยังทำได้ เพราะบริษัททำผิดกฎหมายที่ไม่แจ้งจำนวนที่แท้จริง ทุกบริษัททำผิดหมด รัฐบาลยึดมาได้โดยไม่ต้องทำแบบปฏิวัติอิสลาม
นายไพศาล กล่าวเสริมว่า ถ้าจะทำต้องทำอย่างเด็ดขาด ถือเอาการแก้ปัญหาของประชาชนเป็นสำคัญ อย่าขี้ขลาด อย่าเอาหน้า เพื่อที่จะอ้างว่าตนเองเป็นประชาธิปไตย
ขณะที่ นายณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถ้ามีการปฏิวัติไม่ว่าโดยทหาร หรือปฏิวัติประชาชน ถ้าไม่ทำเพื่อประโยชน์ของชาติก็เสียของเปล่า และไม่ควรที่ประชาชนจะเข้าร่วมด้วย ถ้ายังวนอยู่ในเรื่องประโยชน์ส่วนตัวหรือของพรรคอยู่ ก็ถอยดีกว่า มันปฏิวัติกี่ครั้งแล้ว และเงินมันก็ซื้อกองทัพได้ด้วย ต้องระวังว่ารัฐบาลนี้ อาจปฏิวัติตัวเอง เพราะการนิรโทษกรรม มันทำไม่ได้ด้วยกระบวนการทางกฎหมาย มันมีวิธีเดียวคือปฏิวัติตัวเอง ซึ่งอาจจะมีการสร้างความรุนแรงขึ้นมาแล้วใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิวัติตัวเอง ล้มล้างรัฐธรรมนูญ สร้างรัฐธรรมนูญของตัวเองขึ้นมาใหม่ ให้ตัวเองอยู่ในอำนาจต่อไป
ประเด็นต่อมา ได้มีการสนทนาถึงทิศทางการเมือง หลังจากที่การเลือกตั้ง 2 ก.พ.ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโมฆะ โดยนายไพศาล กล่าวว่า การรอให้มะม่วงหล่นใช้ไม่ได้แล้ว เพราะมันไม่ใช่มะม่วงจริง เป็นแค่มะม่วงสตัฟฟ์ หรือมะม่วงพลาสติก มันกินไม่ได้ และมันก็อยู่อย่างนี้มานานแล้ว รัฐบาลมีกระบวนการที่จะฟอกตัวเองหลังการยุบสภา โดยการเลือกตั้ง 2 ก.พ.ซึ่งปิดประตูตายแล้ว เพราะมันโมฆะ และไม่รู้จะเลือกตั้งได้อีกเมื่อไหร่ ประธาน กกต.บอกว่าอย่างน้อยอีก 3 เดือน แต่ก็เอาแน่ไม่ได้ ซึ่งในปี 49 ใช้เวลา 5 เดือน แต่ถูกปฏิวัติก่อน หลังจากยุบสภา รักษาการมาแบบนี้ เคยมีในประเทศไหนบ้าง ก็มีประเทศหนึ่งรักษาการ 35 เดือน แต่รัฐธรรมนูญของเรา ให้รัฐบาลรักษาการไม่สามารถมีอำนาจได้ตามปกติ ซึ่งมันจะสร้างความเสีหาย จะแต่งตั้ง อนุมัติงบก็ไม่ได้ แต่ไหนแต่ไรมาเรายอมรับให้ฉิบหายได้ไม่เกิน 2 เดือน เราบัญญัติไว้ให้พ้นจากการเป็นรัฐบาลรักษาการเป็นแนวเดียวกันเสมอมา โดยเรากำหนดให้รักษาการจนมี ครม.ใหม่มาแทน ซึ่งการได้มาซึ่ง ครม.ใหม่มาจากทางที่หนึ่ง เลือกตั้ง ซึ่งมันไม่ได้แล้ว ถึงทางตันแล้ว ทางที่สอง มาตรา 7 ซึ่งต้องมีผู้กราบบังคมทูลฯ เพราะ มันมี ครม.ปกติไม่ได้แล้ว ครม.รักษาการก็หมดหน้าที่ แต่พวกนี้ยังพยายามอยู่ ยังประกาศว่าประเทศนี้เป็นของชินวัตร
นายไพศาล กล่าวต่อว่า ทางที่สามคือการปฏิวัติแต่ปฏิวัติแบบปี 49 ก็แก้ปัญหาไม่ได้ มีการแอบให้สัมปทานน้ำมัน ปล่อยให้อริราชศัตรูเฟื่องฟูขึ้นมา ซึ่งตอนนั้น ตนเป็น สนช.ก็ทำอะไรไม่ได้ จนต้องไล่นายกฯ ในสภา ปฏิวัติแบบนั้นอย่าทำ แต่ถ้าปฏิวัติแบบจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำเลย และจะไม่เข้าทาง พ.ต.ท.ทักษิณ มีแต่ปฏิวัติขี้หมาแบบ คมช.ที่เข้าทาง แต่ถ้าปฏิวัติแบบจอมพลสฤษดิ์ทำเลย เพราะมีการนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 29 นี้แล้ว ขณะที่อีกฝ่ายนัดวันที่ 5 มันใกล้เคียงกับปี 49 แล้ว ต้องคิดว่าสถานการณ์แบบนี้เราจะเตรียมตัวอย่างไร
ประธานวุฒิสภา (นายนิคม ไวรัชพานิช) ก็ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลแล้ว โอกาสที่จะทำอะไรได้ก็ผ่านไปแล้ว ขณะที่รองประธานวุฒิฯ ที่ทำหน้าที่รักษาการประธานวุฒิฯ ทันทีที่ประธานวัฒิฯ ถูกชี้มูล ก็แถลงว่าไม่ได้เป็นประธานรัฐสภา ไม่รู้จะทำอะไรได้บ้าง แต่กฎหมายบัญญัติให้ท่านทำหน้าที่ประธานวุฒิฯ และยามที่ไม่มีประธานสภาผู้แทนราษฎร ท่านนั่นแหละทำหน้าที่ประธานรัฐสภา ถ้าต้องเสนอนายกฯ มาตรา 7 ท่านนั่นแหละมีหน้าที่ต้องทำ ถ้าท่านบอกว่าท่านเป็นคนซื่อตรง แล้วอยู่เฉยๆ ท่านก็ไม่ต่างจากสากกะเบือ แต่นี่คือความรับผิดชอบของรองประธานวุฒิฯ ที่ต้องทำหน้าที่ประธานวุฒิฯ และประธานรัฐสภาด้วย
นายไพศาลกล่าวอีกว่า วันนี้เลยเลือกตั้งมาจะ 3 เดือนแล้ว การเลือกตั้งเป็นโมฆะไปแล้ว ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ ครม.ใหม่ เพราะฉะนั้นต้องนำความขึ้นกราบบังคับทูลฯ แต่การงานแผ่นดินเป็นงานใหญ่ ต้องเจรจากันทุกฝ่าย ต้องไปปรึกษาผู้มีขีดความสามารถในการยึดอำนาจ คือ ผบ.เหล่าทัพ ไปขอความเห็น แล้วไปถามพรรคเพื่อไทย แกนหลักของรัฐบาล หรือไปถาม พ.ต.ท.ทักษิณ เลยว่าจะเอาอย่างไร แล้วไปพบประธานองคมนตรี ไปถามท่าน รวมทั้งไปพบ กปปส.พบหลายๆ กลุ่มยิ่งดี หลังจากนั้นก็นำความกราบบังคมทูลฯ ซึ่งท่านจะตั้งใครก็แล้วแต่ท่านตัดสินใจ ถ้าตัดสินใจได้ดี มันก็หยุดการนองเลือดก่อนเดือน เม.ย.ได้ และต้อทำให้ดี ไม่เช่นนั้นจะวุ่นวายไปกันใหญ่
นายไพศาล กล่าวต่อว่า ส่วนทางที่สามนั้น เชื่อว่า ผบ.เหล่าทัพคงไม่ทำแน่นอน เห็นการให้สัมภาษณ์แล้วมันผิดฟอร์ม แต่ความรับผิดชอบมันอยู่ที่กองทัพ วันที่ 29 มีการชุมนุมของ กปปส.วันที่ 5 ก็มีการชุมนุมคนเสื้อแดง ผบ.ทบ.ก็พูดชัดเจนแล้วว่ามีพวกที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน มีผู้ก่อการกลุ่มเดียวกับปี 53 แล้วท่านทำอะไรหรือยัง วันนี้เหตุการณ์มันไม่หยุดนิ่ง มันเคลื่อนไปข้างหน้า ทหารจะเผชิญหน้ากับกลุ่มกองกำลังซ้ำรอยปี 53 และมีกลุ่มใหม่อีก
นายไพศาล กล่าวว่า กองทัพกำลังเผชิญกับกองกำลังติดอาวุธและกองกำลังรับจ้างจากต่างด้าวแบบปี 53 ส่วนจะมากหรือน้อยกว่าเดิมไม่รู้ และต้องเผชิญเพิ่มอีก 2 คือกองกำลังอาสาแบบคอมมิวนิสต์ที่คนเสื้อแดงประกาศรับสมัคร เป็นการตั้งกองกำลังท้องถิ่นขึ้นมาต่อสู้กับทหารและกองทัพไทย
และขบวนที่ 4 คือการเอากองกำลังก่อความไม่สงบในภาคใต้ ซึ่งไม่ทราบว่าเอาพวกที่เลิกไปแล้วหรือยังก่อการอยู่ แล้วจ้างมา เขารู้กันแพร่หลายแล้ว ได้มีการนำมาปฏิบัติการตั้งแต่ปลายปี 56 ครั้งแรกเตรียมคาร์บอมบ์ใหญ่ ที่เวที คปท.ข้างทำเนียบรัฐบาล มีการไปแจ้งความรถหาย แต่ประกอบระเบิดในรถไม่สำเร็จ ถูกจับเสียก่อน คนที่เกี่ยวข้องปลอมตัวมาเป็นผู้ชุมนุม มีอุปกรณ์ในรถแล้ว ครั้งที่ 2 วางระเบิดแสวงเครื่องที่ ป.ป.ช.หนัก 5 กิโลกรัม แต่ไม่ระเบิด มีคนพบเห็นก่อน ครั้งที่ 3 ที่สำนักงานอัยการ วางระเบิดหนัก 15 กก.ครั้งที่ 4 ที่ซอยแจ้งวัฒนะ 13 มีการระเบิดแต่ปริมาณยังไม่มาก
นายไพศาล กล่าวย้ำว่า นี่คือการปรากฏตัวว่ามีการนำกำลังก่อการ้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้มาปฏิบัติการ พี่น้องทหาร ประชาชน ข้าราชการ ต้องสังวร ฝ่ายความมั่นคงจะปล่อยให้ 4 ขบวนการนี้ทำบ้านเมืองเป็นซีเรียเป็นอิรักก่อน แล้วบอกว่าท่านเกษียณแล้วอย่างนั้นหรือ
“ถ้าผมเป็น ผบ.กรม ผมประกาศกฎอัยการศึกแล้ว เวลาจะทำเพื่อบ้านเมือง จะต้องตัดสินใจ เราเสียกรุงฯ สองครั้ง ผู้ที่ทำให้เสียหายก็คือผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมือง มีเครื่องราชฯ เต็มตัว แต่ไม่ทำหน้าที่ แต่ผู้กอบกู้ ล้วนเป็นผู้ที่ไม่อยู่ในอำนาจ และเป็นชาวบ้าน”
นายไพศาล กล่าวต้อว่า การใช้ตุลาการภิวัฒน์นั้นก็ถือว่าเยี่ยวไม่สุด ระบอบทักษิณจะยึดอำนาจตัวเองก่อน เพราะเห็นว่าอยู่อย่างนี้แพ้แน่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็มีคดีติดตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีคดกีติดตัวโทษจำคุกรวมกันเป็นร้อยๆ ปี และขณะนี้เขาเริ่มไม่ยอมรับอำนาจศาล เรียกว่าเป็นการปฏิวัติแบบงูกินเขียด คือกินไปทีละนิด บางจังหวัดขึ้นป้ายประณามศาล ตำรวจก็จับแต่ฝ่ายต้านทักษิณ ฝ่ายทักษิณไม่จับ หน่วยราชการบางหน่วยก็เป็นอย่างนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นถือว่าการปฏิวัติของทักษิณเกิดขึ้นแล้วทีละก้าวๆ บ้านเมืองเราจะเกิดวิกฤติใหญ่ พระอาทิตย์เข้าราศีเมษจะได้เห็นแน่นอน ที่เขาขู่ว่าถ้ายิ่งลักษ์ถูกชี้มูลจะเห็นการลุกฮือ ซึ่งยิ่งลักษณ์ ใครก็รู้ว่าทำผิด ไม่มีทางที่ ป.ป.ช.จะไม่ชี้มูล อย่างไรก็ตาม คนเสื้อแดงอ่อนกำลังลงไม่เท่าปี 53 มีคนที่รู้ว่าจุดตายของคนเสื้อแดงนั้นคืออะไร และจะทำอย่างไร เว้นแต่ว่า เขาไม่ทำ การปฏิวัติของทักษิณโดยใช้คนเสื้อแดงจะสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ว่า คนที่รู้จุดตายของคนเสื้อแดงจะปล่อยให้ทำหรือไม่ปล่อย
ด้าน นายณรงค์ กล่าวว่า ขบวนการตุลาการภิวัฒน์ หรือการรอมะม่วงหล่น มันเป็นไปไม่ได้ และการปฏิวัติประชาชนด้วยมือเปล่า ก็ไม่คิดว่าจะสำเร็จ แต่ถ้าติดอาวุธก็จะเกิดสงครามกลางเมืองเหมือนฝรั่งเศสที่ฆ่ากันต่อไปอีก 8 ปี หลังปี 1789 หลังจากนั้นก็ได้ผด็จการนโปเลียนมาแทน ไม่ได้ประชาธิปไตย ตนคิดว่าอำนาจต้องเป็นของประชาชน แต่การแกปัญหาวันนี้ต้องเข้มแข็ง เอานายกมาตรา 7 หน่อมแน้มมาก็ไม่ได้ เอาสภาประชาชนที่มีความคิดแตกต่างหลากหลายมาทำเรื่องใหญ่ๆ ก็ไม่ได้
นายณรงค์ กล่าวว่า ทางออกต้องรัฐประหาร ตนไม่เรียกปฏิวัติ คนทำคือกองทัพ ถ้าไม่ทำอะไร กองทัพจะแตกได้ ถ้าทักษิณรัฐประหารตัวเองและซื้อกองทัพได้ ซึ่งจะซื้อได้บางส่วน ไม่ทั้งหมด นั่นจะทำให้เกิดสงครามกลางเมือง ตนจึงไม่คิดว่า ทักษิณจะรัฐประหารตัวเองสำเร็จ จะเกิดสงครามกลางมือง และทักษิณแพ้ แต่ประเทศจะเสียหายมหาศาล
ทั้งนี้ คนทำไม่ต้องเป็นเผด็จการแบบจอมพลสฤษดิ์แต่ต้องเข้มแข็ง แล้วจะคืนอำนาจให้ประชาชนคนไทย แบบรัชกาล 7 มีรัฐบาลที่เข้มแข็ง ไม่หน้อมแน้มประนีประนอม นั่นเพราะการขจัดเผด็จการทุนนิยมหรือเผด็จการจากการเลือกตั้ง จะใช้วิธีการที่นิ่มนวลไม่ได้ ถ้าใช้กฎหมายก็สู้กันถึง 3 ศาล มันยาวมาก ต้องรัฐประหาร แต่อาจไม่ต้องเป็นเผด็จการแบบจอมพลสกฤษดิ์ แต่ต้องเข้มแข็ง เหมือนที่สหรัฐอเมริกาทำกีบญี่ปุ่น ทำกับเยอรมัน หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง จัดการความชั่วร้ายทั้งหมดให้เด็ดขาด ถึงจะสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นมาได้ ซึ่งมันไม่ใช่แค่ตั้งสภาประชาชน แค่จะตั้งใคร ใครจะตั้งก็ทะเลาะกันแล้ว กองทัพต้องทำหน้ที่ แต่ไม่หน่อมแน้มเหมือนเมื่อก่อน
ด้าน นายไพศาล กล่าวเสริมว่า ทหารจะเผชิญกับ 4 กองทัพ อย่างที่กล่าวแล้ว ถ้าปล่อยไว้ประเทศไทยจะเหมือนซีเรีย ทหารจะทำหรือไม่ทำ หรือจะรอให้เกิดแบบซีเรีย
ขณะที่ นายณรงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า คนที่ทำรัฐประหารไม่ใช่มาเพื่อเอาเผด็จการขึ้นมา แต่ต้องมอบอำนาจให้ประชาชน แต่ที่ผ่านมา มีการส่งทหารมาหาประโยชน์ แบบปี 49 เอาคนของตัวเองเขาไปรับประโยชน์ ไม่จัดการกับความชั่วร้ายของประเทศ คนไทยไม่เคยเห็นความชั่วร้ายแบบนี้มาก่อน เพราะฉะนั้นต้องใช้กำลังที่เป็นเอกภาพและเข้มแข็งมากๆ ซึ่งก็คือกองทัพ แต่ถ้าทำแบบเดิมๆ ก็ไม่สำเร็จ หรือเป็นเผด็จการแบบจอมพลสฤษดิ์ก็ไม่สำเร็จ การรัฐประหารเที่ยวนี้ต้องทำแบบสร้างสรรค์ อยู่ข้างประชาชน ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง และทำการปฏิรูปโดยเฉพาะเรื่องพลังงาน