"ยิ่งลักษณ์" เครียดเรื่องชี้แจงจำนำข้าว ยังอุบไปด้วยตัวเองหรือไม่ อ้างรอทนาย โอดมีเวลาเตรียมข้อมูลน้อย เตรียมขอยืดเวลาอีกรอบ "องอาจ "แนะ "ปู "ปชี้แจงด้วยตัวเอง เหมือนที่ "สมัคร – สมชาย" เคยทำ ชี้สัญญาณอันตรายทำ "เมษาฯเดือด" ด้าน "จาตุรนต์" ซัด ป.ป.ช.ใช้อำนาจหน้าที่หาทางลงให้ม็อบกำนัน จวกรวบรัดเอาผิดยิ่งลักษณ์ ยก 5 กรณี ตีองค์กรอิสระไม่เป็นธรรม ขวางเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล แม้จะชนะเลือกตั้ง "สุริยะใส" เตือน "ปู" ไม่รับอำนาจ ป.ป.ช.เท่ากับสร้างเงื่อนไขรัฐประหาร จะมีจุดจบเหมือนพี่ชาย
เมื่อเวลา 12.45 น. วานนี้ (30 มี.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในวันที่ 31 มี.ค.ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า คงต้องหารือกับทีมทนายความก่อน แล้วจะแจ้งให้ทราบในวันที่ 31 มี.ค. ซึ่งในรายละเอียดเราสามารถทำได้ทั้งสองอย่าง โดยการไปชี้แจงเอง หรือมอบหมายให้ทนาย นำส่งเอกสารคำชี้แจง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการชี้แจงได้ทำเอกสารชี้แจงครบแล้วหรือยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า อย่างที่เรียนว่า เวลาค่อนข้างสั้น ก็ต้องทำเท่าที่เวลามี ซึ่งขณะนี้ทนายความก็เตรียมข้อมูลอยู่ ขอไปฟังว่าเราติดขัดอย่างไรบ้าง
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ที่ทำหนังสือไปขอข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ หลายหน่วยงาน ยังส่งข้อมูลไปไม่ครบ ใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ใช่ ตั้งแต่ตั้งคณะกรรมการมา ก็ให้เวลา 15 วัน ซึ่งเวลา 15 วัน เราคงทำไม่ทัน เนื่องจากเอกสารเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ เราจึงขอความร่วมมือขยายเวลาไปอีก 15 วัน และขณะที่ขอขยายเวลาในวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา เราได้รับเอกสารเพิ่ม 280 แผ่น ซึ่งต้องใช้เวลาศึกษาอีก และจาก 49 แผ่นแรก เราก็ขอความร่วมมือไปแล้วและทางหลายหน่วยงาน ก็ยังให้ข้อมูลมาไม่ครบ ขณะเดียวกันเอกสาร 280 แผ่น ที่ได้มามีเวลา 3 วัน ก็ต้องไปเช็คก่อนว่าเสร็จเรียบร้อยอย่างไร ก็หวังว่าเราคงต้องยื่นขอหารือตรงนี้ต่อว่าทางคณะกรรมการป.ป.ช. จะมีความเห็นอย่างไร ในการที่จะให้รายละเอียดต่อไป
เมื่อถามว่า หมายความว่า ในการชี้แจงในวันที่ 31 มี.ค. จะให้ทนายความไปขอเลื่อน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คงไม่แน่ใจ เพราะขั้นตอนเลื่อนทาง ป.ป.ช.ปิดแล้ว คงต้องดูตามที่ ป.ป.ช. แถลง และถามทนายความอีกครั้ง ถ้าถามว่าข้อมูลเสร็จหมดหรือไม่ คงยัง เพราะระยะเวลาแค่ 15 วันเอง ถึงแม้เนื้อหาต่างๆ จะได้ยินตามข่าว แต่ในแง่ข้อเท็จจริง เรื่องของการกล่าวหาและผู้ที่ถูกกล่าวหาคงต้องศึกษาว่า ข้อกล่าวหาในแต่ละประเด็นเป็นอย่างไร ถ้าถามในขั้นตอนปกติทั่วไปสามารถที่จะเลื่อนได้ แต่ของเราได้เพียงแค่ 15 วัน
เมื่อถามว่า ข้อมูลที่มีมีน้ำหนักพอที่จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราได้ทำหนังสือขอความร่วมมือในเรื่องเอกสารแต่ยังได้ไม่ครบ ทุกหน่วยงานเพิ่งได้รับเรื่องก็ต้องเห็นใจ การทำงานต่างๆ บนงานปกติก็ยังติดขัด
เมื่อถามว่า ข้องใจหรือไม่ ที่ในระดับรัฐมนตรียังไม่ถูกชี้มูล แต่นายกฯ เป็นผู้ดูนโยบาย กลับจะถูกชี้มูลก่อน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนก็ตั้งข้อสงสัย หวังว่า ทางป.ป.ช. จะมีคำตอบให้เราในเรื่องของกระบวนยุติธรรมว่า ได้ปฏิบัติกับเราเหมือนกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ หรือไม่ เพราะเราเห็นว่าในหลายคดีที่มีการขอเร่งคดี บางคดีก็เกือบจะขาดอายุความ หรือบางเรื่องก็นาน เอกสารไม่ครบ แต่ของเราใช้เวลาเพียง 15 วัน แม้ว่าจะมีการพูดคุยกันก่อน แต่อย่างไรก็ตาม การตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ใช้เวลาเพียงแค่ 21 วัน
เมื่อถามว่า เอกสาร 280 หน้า นายกฯ ได้ใช้เวลาดูเองทั้งหมดหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทนายความดูตั้งแต่วันนั้น ถ้านับจากวันนั้น เรามีเวลาทำงานเพียง 1 วัน ถ้านับเสาร์ - อาทิตย์ ก็ได้ 3 วัน
เมื่อถามว่า นายกฯ มีความมั่นใจที่จะไปชี้แจงด้วยตนเองหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราพยายามปฏิบัติตามภายใต้กลไกข้อกฎหมายที่มีอยู่ แต่ถ้าเราจะได้รับความยุติธรรมตามสมควรที่จะได้รับเหมือนคนอื่น ก็จะทำให้เรามีความสบายใจมากขึ้น
เมื่อถามว่า มีการหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการหนดวันเลือกตั้งแล้วหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า ขอยังไม่พูด รอทาง กกต.ก่อน
แนะ "ปู" ชี้แจง ป.ป.ช.ด้วยตัวเอง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะต้องไปให้ถ้อยคำคดีทุจริตจำนำข้าว ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในวันนี้( 31 มี.ค.)ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ควรเดินทางไปให้ถ้อยคำด้วยตัวเอง เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ เพราะอ้างว่าดูแค่นโยบาย และไม่มีการทุจริต ทั้งนี้แม้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะดูแลด้านนโยบาย แต่ความรับผิดที่ไม่ดำเนินการตามกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดได้ ดังนั้นจึงควรไปชี้แจงด้วยตัวเอง เพราะข้อกล่าวหาต่อโครงการทุจริตจำนำข้าว คือ ส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งตนคิดว่าการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ไม่สามารถให้คนอื่นไปอธิบายแทนได้ จึงต้องไปอธิบายด้วยตัวเองว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ เนื่องจากเป็นดุลพินิจในการเซ็นต์เอกสาร สั่งการ ชี้แจงแถลงถ้อยคำเกี่ยวกับนโยบายจำนำข้าว ซึ่งคนอื่นไม่ทราบความคิด และจิตใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ว่าดำเนินการนโยบายนี้ในฐานะประธาน กขช. ใช้ดุลพินิจอย่างไรในการพิจารณาเรื่องนี้
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ มั่นใจว่าไม่ผิดก็สามารถไปตอบด้วยตัวเองอยู่แล้ว และควรปฏิบัติตนให้เป็นไปตามนายกรัฐมนตรีรุ่นพี่ได้ปฏิบัติ คือ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งถูก ป.ป.ช. เรียกไปชี้แจงให้ถ้อยคำ ซึ่งบุคคลทั้งสองก็เดินทางไปด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถตอบแทนทั้งสองคนได้ในคดีความที่ขึ้นไปสู่ป.ป.ช. จึงคิดว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ชอบอ้างประชาธิปไตย บอกจะยอมตายในสนามประชาธิปไตย ก็ต้องเข้าใจว่าหัวใจสำคัญของประชาธิปไตยคือการเคารพกระบวนการตรวจสอบ และกระบวนการยุติธรรม
"เมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและกระบวนการยุติธรรม ก็ควรให้ความเคารพ และยอมรับการตรวจสอบด้วยการไปให้ถ้อยคำกับ ป.ป.ช.ด้วยตนเองซึ่งจะถือเป็นความสง่างามของคนเป็นนายกรัฐมนตรี ที่เคารพกระบวนการตรวจสอบ และเห็นว่าหากเรื่องนี้ไปถึงสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องไปชี้แจงด้วยตนเอง โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ "
คาด เม.ย.การเมืองเดือด
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประเมินว่า นับตั้งแต่เดือนเมษายน เป็นต้นไป การเมืองจะดุเดือดรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มวิกฤตรุนแรงขึ้นจึงขอเรียกว่า เดือนนี้เป็น “เมษาฯเดือด”เพราะคดีความที่เกี่ยวกับคนในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกำลังเข้าสู่องค์กรอิสระและศาลอย่างต่อเนื่องในหลายคดีความ แต่ที่สำคัญคือ การทุจริตจำนำข้าว และกรณีที่ 27 ส.ว. ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จากการโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทำให้กลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาลออกมาเคลื่อนไหว โดยมีการพูดถึงขนาดว่าหากมีการดำเนินการที่กระทบต่อสถานะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ในหลากหลายรูปแบบ อันอาจนำไปสู่ความรุนแรง ทั้งนี้มีสัญญาณส่อให้เห็นว่าเดือนเมษายน จะนำไปสู่วิกฤตหลายประการ เช่น การเปลี่ยนให้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ มาเป็นประธาน นปช. นัด ชุมนุมใหญ่วันที่ 5 เม.ย. นี้ 20 จุดรอบ กทม. สะสมอาวุธเพื่อต่อสู้กับทหาร จัดการร้านค้าและรถที่ติดธงชาติ ดังนั้นทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาล ว่าจะปล่อยให้เดือนเมษายนเป็น “เมษาฯเดือด” หรือไม่
ซัด "ปู" เดินแผนสังหารประเทศไทย
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีพฤติกรรมสร้างปัจจัยให้เกิดวิกฤตเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งตนขอเรียกว่า เป็นกระบวนการสังหารประเทศไทยในรูปแบบต่างๆ เช่น ปล่อยให้มีการทุจริตโครงการจำนำข้าว อ้างกฎหมายข้างๆ คูๆ และ ยังเปิดหน้าชนเองด้วยการกล่าวหาว่าป.ป.ช. ไม่ให้ความเป็นธรรม มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงว่า ไม่ตั้งอนุกรรมการไต่สวนทั้งที่ความจริงดำเนินการมาแล้วเกือบสองปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2555 ป.ป.ช.ชุดใหญ่จึงเพียงดูในหลักการว่า เกี่ยวข้องกับการทุจริตตามที่อนุกรรมการฯ ส่งมาหรือไม่
นอกจากนี้ที่อ้างว่าไม่มีเวลาเพียงพอในการอ่านเอกสารนั้น ความจริงคือ จงใจสร้างสถานการณ์ว่า ตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. ได้ขยายเวลาให้แล้ว 15 วัน ปล่อยให้มีการจัดตั้งกองกำลังเสื้อแดง ทั้งของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกฯ และ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เปลี่ยนตัวประธาน นปช. ส่งสัญญาณพร้อมพิทักษ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ หากมีการชี้มูลความผิดก็จะปฏิเสธข้อกล่าวหาไม่ยอมรับอำนาจของ ป.ป.ช. ดึงดันรักษาอำนาจซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งรัฐบาลนอกรัฐธรรมนูญในพื้นที่คนเสื้อแดง เดินเข้าสู่กระบวนการแบ่งแยกดินแดน ตั้งรัฐบาลล้านนาต่อรองรัฐไทย เป็นกระบวนการที่วางแผนอย่างเป็นลำดับขั้นตอน เพื่อให้เกิดการเจรจาต่อรอง โดยให้คนไทยยอมศิโรราบกับตระกูลชินวัตร หากไม่ยอมให้บ้านเมืองแตกเป็นสองเสี่ยง
"เรามีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายว่าถ้ากลับเข้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้งไม่ได้ จะใช้แผนแยกดินแดน จึงวิงวอนไปยังประชาชน และเจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้ติดตามพฤติกรรมเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแบ่งแยกดินแดน ทั้งนี้ขอย้ำว่าพรรคพร้อมที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้งหากการเลือกตั้งเป็นคำตอบของประเทศชาติ" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
อัด ป.ป.ช.รวบรัดชี้มูลยิ่งลักษณ์
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึง กรณีป.ป.ช. เตรียมชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีข้อกล่าวหา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ว่า การตัดสินของป.ป.ช. จะยิ่งทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะลงเลือกตั้งในครั้งนี้หรือครั้งหน้าก็ตาม ทั้งนี้เพราะประชาชนจะรู้สึกว่า ป.ป.ช.ได้เลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน กรณีโครงการจำนำข้าวยังไม่มีการพิสูจน์ให้ถึงที่สุดว่าในระดับผู้ปฏิบัติ หรือผู้รับผิดชอบโดยตรงใครทำผิด หรือทุจริตอย่างไร แต่กลับจะเอาผิดกับนายกฯ ในข้อหาปล่อยปละละเลยหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การตั้งข้อกล่าวหาก็มาแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย จู่ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และรวบรัดอย่างมาก ต่างจากกรณีการขายข้าวของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ หรือกรณีการสั่งฆ่าประชาชน เมื่อเดือนเม.ย.- พ.ค. 53 ซึ่งป.ป.ช. กลับทำงานอย่างล่าช้ามาก ป่านนี้ก็ยังไปไม่ถึงไหน
"การดำเนินการของป.ป.ช. จึงเข้าลักษณะใช้อำนาจหน้าที่ ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาแก้ปัญหาการเมือง คือ เพื่อหาทางลงให้สุเทพ กับพวกเสียมากกว่า"
นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า มาถึงวันนี้จึงมีกรณี 5 กรณี ทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นที่องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ร่วมกันดำเนินการเพื่อจัดการกับการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม ได้แก่
1. การวินิจฉัยว่า การแก้รัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภา เป็นการขัดมาตรา 68 ที่นำไปสู่การถอดถอนและดำเนินคดีอาญาต่อสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ รวมทั้งประธานวุฒิสภาและอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่ให้การคุ้มครองการเคลื่อนไหวของกปปส. ด้วยการวินิจฉัยว่า เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
2. การคว่ำ ร่าง พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่มีผลเป็นการล้มโครงการรถไฟความเร็วสูง และการพัฒนาระบบคมนาคมของประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้เกิดขึ้น
3. การขัดขวางการเลือกตั้งของ กปปส. การไม่ตั้งใจจัดการเลือกตั้งของ กกต. และการวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ซึ่งมีผลเท่ากับจะไม่การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปัจจุบันได้อีกแล้ว
4. การที่ป.ป.ช. เลือกปฏิบัติต่อนายกฯ แตกต่างจากที่ปฏิบัติต่อรัฐบาลปชป. อย่างชัดเจน นำไปสู่การชี้มูลนายกฯ การถอดถอน และการดำเนินคดีอาญานายกฯอย่างรวบรัดผิดปรกติ
5. การทำให้ครม.รักษาการ ต้องพ้นไป และการตั้งนายกฯ และรัฐบาลใหม่ขึ้นมาแทนที่โดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง ไม่ต่างจากการฉีกรัฐธรรมนูญ หรือรัฐประหารโดยศาลรัฐธรรมนูญนั่นเอง
นายจาตุรนต์ เห็นว่า ทั้ง 5 กรณีนี้ จะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้ และจะทำให้เกิดสภาพที่ยิ่งชนชั้นนำ และอำมาตย์จัดการด้วยความไม่เป็นธรรมมากเท่าใด ประชาชนก็จะยิ่งปฏิเสธมากเท่านั้น จนกระทั่งประชาชนจะไม่ยอมให้พรรคการเมืองที่ชนชั้นนำ และผู้มีอำนาจสนับสนุนได้เป็นรัฐบาลดังที่ตั้งใจไม่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการฉีกรัฐธรรมนูญก็ตาม
"เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะกลายเป็นความจำเป็นที่ชนชั้นนำ และอำมาตย์จะต้องสร้างระบบที่ยิ่งเป็นเผด็จการยิ่งกว่าที่เคยวางแผนไว้ เพื่อเป็นหลักประกันว่าพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย จะไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ถึงแม้จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งก็ตาม ระบบที่เป็นเผด็จการเช่นนี้จะไม่เป็นที่ยอมรับและจะทำให้สังคมไทยก้าวไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงไม่สิ้นสุด”นายจาตุรนต์ กล่าว
ป.ป.ช.อย่าทำตัวเป็นอริกับนายกฯ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศอ.รส. กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มนปช. ในวันที่ 5 เม.ย. โดยเชื้่อว่าจะไม่มีเหตุปะทะ เพราะเป็นคนละพื้นที่กับกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแล พร้อมฝากถึง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ว่าให้จำคำพูดที่ได้พูดบนเวที ว่า หากมีกลุ่มชุมนุมกลุ่มอื่น มารวมตัวกันมากกว่า กปปส. ก็จะยอมยุติการเคลื่อนไหว
ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะต้องไปชี้แจงเรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ และอยากให้ป.ป.ช. ทำหน้าที่เป็นองค์กรวินิจฉัย ถูก ผิด มากกว่าเป็นคู่อรินายกฯ
ส่วนการเลือกนายกรัฐมนตรีรักษาการนั้น ตามระเบียบจะต้องเป็นรองนายกรัฐมนตรี ลำดับ ที่ 1 คือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส่วนนายกรัฐมนตรี มาตรา 7 คงเป็นไปไม่ได้ หากใครถูกทาบทาม ให้ไตร่ตรองให้ดีก่อน
"ภราดร"เตือน ป.ป.ช.ชี้มูลเสี่ยงรุนแรง
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีต เลขาฯสมช. กล่าวว่าเมื่อถึงวันที่จะมีการชี้มูลนายกฯ ในเรื่องจำนำข้าว จะมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง ต้องมีความระมัดระวัง เพราะเป็นอารมณ์ของประชาชนที่มาจากรากเหง้าของความไม่เป็นธรรม ที่จะมีการขยายผลของปฏิกิริยาจากมวลชนแน่นอน และมีแนวโน้มที่จะเป็นความรุนแรง ที่ต้องระมัดระวัง และเกาะติดไว้ให้ดี
"วันที่ 31 มี.ค. ที่นายกฯ ต้องไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ซึ่งอาจจะไปหรือไม่ไป ผมไม่ทราบ ซึ่งอยู่ที่ป.ป.ช.อีกว่า จะต้องมีการสอบอีกหรือไม่ หรือไม่สอบ แล้วก็ชี้มูลเลย ตรงนี้เป็นจุดเสี่ยง เพราะจะเป็นการกระชั้นกันหมด กปปส.นัดชุมนุม 29 มี.ค.ไปแล้ว ส่วนนปช.ก็นัดชุมนุมวันที่ 3 เม.ย. เพื่อไปถึงวันที่ 5 เม.ย. ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันหมด ต้องดูทุกมิติ ประมาทไม่ได้ " พล.ท.ภราดร กล่าว และว่า ส่วนการดูแลความปลอดภัยองค์กรอิสระว่า องค์กรอิสระส่วนใหญ่ก็ขอกำลังเจ้าหน้าที่ไปช่วยดูแลอยู่แล้ว
พล.ท.ภราดร ยังกล่าวถึงกลุ่ม กวป. ด้วยว่า คือกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ไม่ใช่ นปช. แต่เป็นกลุ่มคนที่นิยมชมชอบประชาธิปไตยแบบคนเสื้อแดง แล้วก็แต่งชุดแดง แต่ก็ไม่ใช่ นปช. ดังนั้นใครคิดจะไปสั่ง ก็ไม่ได้ ซึ่งตนก็มีช่องทางในการสื่อสารไป แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด ซึ่งผู้บังคับการตำรวจภูธรนนทบุรี ก็บอกให้ตนช่วย ตนก็ไม่รู้จะช่วยพูดอย่างไรแล้ว เพราะ กวป. ยืนยันจะดำเนินการตามที่ กปปส. เคยทำ และขอให้เจ้าหน้าที่ ปฏิบัติกับกวป.เหมือนกับกปปส.
ต่อข้อถามที่ว่า กลุ่ม นปช.แจ้งมาหรือยังว่า วันชุมนุมใหญ่ 5 เม.ย. จะใช้สถานที่ที่ใด พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ยังไม่แจ้งมา แต่วันที่ 29 มี.ค.เขามีการประชุมลับกัน ก็คงจะแจ้งเข้ามา แต่จากข้อมูลทราบว่าทั้ง กปปส. และ นปช. พยายามจะไม่เผชิญหน้ากัน จึงเชื่อมั่นว่า นปช. คงไม่ใช้พื้นที่ใกล้กับ กทม.
ชะตากรรม "ปู" เดินตามรอย "แม้ว"
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และกรรมการ กปปส. กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ รัฐบาลรักษาการรู้จุดจบของตัวเองชัดเจนขึ้นว่า โอกาสที่จะยื้ออยู่ในอำนาจตีบตันมากขึ้น รูหายใจเดียวที่มีอยู่คือ การเลือกตั้งให้ได้นั้น ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการแสดงพลังของมวลมหาประชาชน ตอกย้ำชัดเจนว่ากระแสปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ยังไม่ตก ยังมีพลังจนสามารถระดมผู้คนออกมาแสดงเจตจำนงค์ได้อย่างล้นหลาม แม้จะชุมนุมยืดเยื้อมายาวนาน
ขณะเดียวกัน การชี้มูลทุจริตจำนำข้าวของ ป.ป.ช. คนในพรรคเพื่อไทย ก็ล่วงรู้ชะตากรรมล่วงหน้าแล้วว่า ยากจะแก้ข้อกล่าวหาให้สังคมสิ้นข้อสงสัยได้ว่า ไม่มีการทุจริต ส่งผลให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นปช.เคลื่อนไหวหนัก เพื่อทำลายความชอบธรรมของ ป.ป.ช. เพื่อหวังล้มทั้งกระดาน
จึงมีโอกาสที่ขบวนการไม่รับอำนาจองค์กรอิสระ จะสร้างสถานการณ์รุนแรงวุ่นวาย ก่อนที่ ป.ป.ช. จะชี้มูล ฉะนั้นไม่เพียงแต่จะไม่รับคำชี้มูลเท่านั้น เครือข่ายระบอบทักษิณ จะพยายามเบี่ยงเบนประเด็น สร้างกระดานใหม่ที่คิดว่าตัวเองจะได้เปรียบ คือ การไม่ยอมรับองค์กรอิสระทั้งระบบ
"อยากเตือนเครือข่ายระบอบทักษิณว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้คือการจงใจฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมรับการตรวจสอบ พยายามสถาปนาอำนาจที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ และการตรวจสอบ เท่ากับเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหารขึ้น"
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า สนามประชาธิปไตยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศจะปกป้องจนนาทีสุดท้ายนั้น ก็แค่การรักษาผลประโยชน์และอำนาจในระบอบทักษิณเท่านั้น เพราะถ้ามีจิตวิญญานประชาธิปไตยจริง จะต้องเคารพการตรวจสอบ เคารพรัฐธรรมนูญ และหากเครือข่ายทักษิณไม่รับคำชี้มูลจะกลายเป็นจุดแตกหักทางการเมือง และหมดสิทธิ์ หมดความชอบธรรม ที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป ชะตากรรมของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะเดินตามรอยพี่ชายอย่างแน่นอน
"นพดล"ปัด"แม้ว"อยู่หลวงพระบาง
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่หลวงพระบาง สปป.ลาว เพื่อควบคุมสถานการณ์การเมืองว่า เป็นข่าวเท็จ เป็นการนำรูปเก่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มาเผยแพร่ในสื่อต่างๆ ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่ดูไบ ในอดีตที่เคยกุข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นมะเร็ง และเสียชีวิต ซึ่งก็เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า แม้เรื่องง่ายๆ ที่พิสูจน์ได้ ก็ยังกุข่าวโกหก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเวทนามาก การต่อสู้ทางการเมืองในต่างประเทศ เขาก็ไม่ใช้วิธีการเต้าข่าวโกหกกันรายวันเช่นที่ทำอยู่นี้ ดังนั้นพี่น้องประชาชนอย่าไปหลงเชื่อการใส่ร้ายป้ายสี และโกหกในเวที กปปส. ที่พยายามสร้างภาพว่า มีระบอบทักษิณ และอ้างว่าจะขจัดระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นเพียงปฏิบัติการจิตวิทยา ที่ปลุกเร้าผู้คนไม่ให้กลับบ้านเท่านั้น เพราะระบอบทักษิณไม่มีอยู่จริง มีแต่ระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่ว่าคนชื่อใดนามสกุลใด ถ้ามีคุณสมบัติ ก็สามารถเสนอตัวให้พี่น้องประชาชนเลือกตั้งได้ทั้งนั้น
ส่วนที่นายสุเทพไปสาบานตนต่อหน้าพระบรมรูป รัชกาลที่ 7 ว่าจะทวงอำนาจจากระบอบทักษิณไปให้แก่ กปปส. นั้น นายสุเทพ กำลังทำตรงกันข้ามกับที่ในหลวงรัชกาลที่ 7 ที่พระองค์ทรงสละพระราชอำนาจให้กับประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ให้คนกลุ่มใด หรือคณะหนึ่งคณะใด แต่สิ่งที่นายสุเทพทำ คือการพยายามชิงอำนาจจากปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ไปให้กลุ่ม กปปส. ซึ่งถือว่าสวนทางกับพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 7
"วันนี้คนไทยต้องรู้ทันนายสุเทพ ว่าการปฏิรูป เป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อให้มีสภาประชาชน และนายกฯ นอกรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญ และทำลายระบอบประชาธิปไตย วันนี้กลุ่มกปปส. ไม่ใช่เพียงกลุ่มต่อต้านรัฐบาล แต่กลายเป็นกลุ่มต่อต้านระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว ใช่หรือไม่ นายสุเทพ กำลังจะเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ยึดอำนาจอธิปไตยจากประชาชนใช่หรือไม่ ผมคิดว่าปวงชนชาวไทย ที่ยิ่งใหญ่กว่ามวลมหาประชาชนของนายสุเทพ คงไม่ยินยอมอย่างแน่นอน " นายนพดล กล่าว.
เมื่อเวลา 12.45 น. วานนี้ (30 มี.ค.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในวันที่ 31 มี.ค.ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า คงต้องหารือกับทีมทนายความก่อน แล้วจะแจ้งให้ทราบในวันที่ 31 มี.ค. ซึ่งในรายละเอียดเราสามารถทำได้ทั้งสองอย่าง โดยการไปชี้แจงเอง หรือมอบหมายให้ทนาย นำส่งเอกสารคำชี้แจง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในการชี้แจงได้ทำเอกสารชี้แจงครบแล้วหรือยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า อย่างที่เรียนว่า เวลาค่อนข้างสั้น ก็ต้องทำเท่าที่เวลามี ซึ่งขณะนี้ทนายความก็เตรียมข้อมูลอยู่ ขอไปฟังว่าเราติดขัดอย่างไรบ้าง
เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ที่ทำหนังสือไปขอข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ หลายหน่วยงาน ยังส่งข้อมูลไปไม่ครบ ใช่หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ใช่ ตั้งแต่ตั้งคณะกรรมการมา ก็ให้เวลา 15 วัน ซึ่งเวลา 15 วัน เราคงทำไม่ทัน เนื่องจากเอกสารเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ เราจึงขอความร่วมมือขยายเวลาไปอีก 15 วัน และขณะที่ขอขยายเวลาในวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา เราได้รับเอกสารเพิ่ม 280 แผ่น ซึ่งต้องใช้เวลาศึกษาอีก และจาก 49 แผ่นแรก เราก็ขอความร่วมมือไปแล้วและทางหลายหน่วยงาน ก็ยังให้ข้อมูลมาไม่ครบ ขณะเดียวกันเอกสาร 280 แผ่น ที่ได้มามีเวลา 3 วัน ก็ต้องไปเช็คก่อนว่าเสร็จเรียบร้อยอย่างไร ก็หวังว่าเราคงต้องยื่นขอหารือตรงนี้ต่อว่าทางคณะกรรมการป.ป.ช. จะมีความเห็นอย่างไร ในการที่จะให้รายละเอียดต่อไป
เมื่อถามว่า หมายความว่า ในการชี้แจงในวันที่ 31 มี.ค. จะให้ทนายความไปขอเลื่อน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คงไม่แน่ใจ เพราะขั้นตอนเลื่อนทาง ป.ป.ช.ปิดแล้ว คงต้องดูตามที่ ป.ป.ช. แถลง และถามทนายความอีกครั้ง ถ้าถามว่าข้อมูลเสร็จหมดหรือไม่ คงยัง เพราะระยะเวลาแค่ 15 วันเอง ถึงแม้เนื้อหาต่างๆ จะได้ยินตามข่าว แต่ในแง่ข้อเท็จจริง เรื่องของการกล่าวหาและผู้ที่ถูกกล่าวหาคงต้องศึกษาว่า ข้อกล่าวหาในแต่ละประเด็นเป็นอย่างไร ถ้าถามในขั้นตอนปกติทั่วไปสามารถที่จะเลื่อนได้ แต่ของเราได้เพียงแค่ 15 วัน
เมื่อถามว่า ข้อมูลที่มีมีน้ำหนักพอที่จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาได้หรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เราได้ทำหนังสือขอความร่วมมือในเรื่องเอกสารแต่ยังได้ไม่ครบ ทุกหน่วยงานเพิ่งได้รับเรื่องก็ต้องเห็นใจ การทำงานต่างๆ บนงานปกติก็ยังติดขัด
เมื่อถามว่า ข้องใจหรือไม่ ที่ในระดับรัฐมนตรียังไม่ถูกชี้มูล แต่นายกฯ เป็นผู้ดูนโยบาย กลับจะถูกชี้มูลก่อน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนก็ตั้งข้อสงสัย หวังว่า ทางป.ป.ช. จะมีคำตอบให้เราในเรื่องของกระบวนยุติธรรมว่า ได้ปฏิบัติกับเราเหมือนกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ หรือไม่ เพราะเราเห็นว่าในหลายคดีที่มีการขอเร่งคดี บางคดีก็เกือบจะขาดอายุความ หรือบางเรื่องก็นาน เอกสารไม่ครบ แต่ของเราใช้เวลาเพียง 15 วัน แม้ว่าจะมีการพูดคุยกันก่อน แต่อย่างไรก็ตาม การตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการ ใช้เวลาเพียงแค่ 21 วัน
เมื่อถามว่า เอกสาร 280 หน้า นายกฯ ได้ใช้เวลาดูเองทั้งหมดหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทนายความดูตั้งแต่วันนั้น ถ้านับจากวันนั้น เรามีเวลาทำงานเพียง 1 วัน ถ้านับเสาร์ - อาทิตย์ ก็ได้ 3 วัน
เมื่อถามว่า นายกฯ มีความมั่นใจที่จะไปชี้แจงด้วยตนเองหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราพยายามปฏิบัติตามภายใต้กลไกข้อกฎหมายที่มีอยู่ แต่ถ้าเราจะได้รับความยุติธรรมตามสมควรที่จะได้รับเหมือนคนอื่น ก็จะทำให้เรามีความสบายใจมากขึ้น
เมื่อถามว่า มีการหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการหนดวันเลือกตั้งแล้วหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า ขอยังไม่พูด รอทาง กกต.ก่อน
แนะ "ปู" ชี้แจง ป.ป.ช.ด้วยตัวเอง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะต้องไปให้ถ้อยคำคดีทุจริตจำนำข้าว ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในวันนี้( 31 มี.ค.)ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ควรเดินทางไปให้ถ้อยคำด้วยตัวเอง เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ เพราะอ้างว่าดูแค่นโยบาย และไม่มีการทุจริต ทั้งนี้แม้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะดูแลด้านนโยบาย แต่ความรับผิดที่ไม่ดำเนินการตามกฎหมาย หรือรัฐธรรมนูญไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดได้ ดังนั้นจึงควรไปชี้แจงด้วยตัวเอง เพราะข้อกล่าวหาต่อโครงการทุจริตจำนำข้าว คือ ส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งตนคิดว่าการจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ไม่สามารถให้คนอื่นไปอธิบายแทนได้ จึงต้องไปอธิบายด้วยตัวเองว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่ เนื่องจากเป็นดุลพินิจในการเซ็นต์เอกสาร สั่งการ ชี้แจงแถลงถ้อยคำเกี่ยวกับนโยบายจำนำข้าว ซึ่งคนอื่นไม่ทราบความคิด และจิตใจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ว่าดำเนินการนโยบายนี้ในฐานะประธาน กขช. ใช้ดุลพินิจอย่างไรในการพิจารณาเรื่องนี้
นายองอาจ กล่าวด้วยว่า ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ มั่นใจว่าไม่ผิดก็สามารถไปตอบด้วยตัวเองอยู่แล้ว และควรปฏิบัติตนให้เป็นไปตามนายกรัฐมนตรีรุ่นพี่ได้ปฏิบัติ คือ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งถูก ป.ป.ช. เรียกไปชี้แจงให้ถ้อยคำ ซึ่งบุคคลทั้งสองก็เดินทางไปด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครสามารถตอบแทนทั้งสองคนได้ในคดีความที่ขึ้นไปสู่ป.ป.ช. จึงคิดว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ชอบอ้างประชาธิปไตย บอกจะยอมตายในสนามประชาธิปไตย ก็ต้องเข้าใจว่าหัวใจสำคัญของประชาธิปไตยคือการเคารพกระบวนการตรวจสอบ และกระบวนการยุติธรรม
"เมื่อน.ส.ยิ่งลักษณ์ เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบและกระบวนการยุติธรรม ก็ควรให้ความเคารพ และยอมรับการตรวจสอบด้วยการไปให้ถ้อยคำกับ ป.ป.ช.ด้วยตนเองซึ่งจะถือเป็นความสง่างามของคนเป็นนายกรัฐมนตรี ที่เคารพกระบวนการตรวจสอบ และเห็นว่าหากเรื่องนี้ไปถึงสมาชิกวุฒิสภาก็ต้องไปชี้แจงด้วยตนเอง โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ "
คาด เม.ย.การเมืองเดือด
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประเมินว่า นับตั้งแต่เดือนเมษายน เป็นต้นไป การเมืองจะดุเดือดรุนแรงมากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มวิกฤตรุนแรงขึ้นจึงขอเรียกว่า เดือนนี้เป็น “เมษาฯเดือด”เพราะคดีความที่เกี่ยวกับคนในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกำลังเข้าสู่องค์กรอิสระและศาลอย่างต่อเนื่องในหลายคดีความ แต่ที่สำคัญคือ การทุจริตจำนำข้าว และกรณีที่ 27 ส.ว. ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือไม่ จากการโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งทำให้กลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาลออกมาเคลื่อนไหว โดยมีการพูดถึงขนาดว่าหากมีการดำเนินการที่กระทบต่อสถานะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ในหลากหลายรูปแบบ อันอาจนำไปสู่ความรุนแรง ทั้งนี้มีสัญญาณส่อให้เห็นว่าเดือนเมษายน จะนำไปสู่วิกฤตหลายประการ เช่น การเปลี่ยนให้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ มาเป็นประธาน นปช. นัด ชุมนุมใหญ่วันที่ 5 เม.ย. นี้ 20 จุดรอบ กทม. สะสมอาวุธเพื่อต่อสู้กับทหาร จัดการร้านค้าและรถที่ติดธงชาติ ดังนั้นทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ และรัฐบาล ว่าจะปล่อยให้เดือนเมษายนเป็น “เมษาฯเดือด” หรือไม่
ซัด "ปู" เดินแผนสังหารประเทศไทย
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีพฤติกรรมสร้างปัจจัยให้เกิดวิกฤตเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งตนขอเรียกว่า เป็นกระบวนการสังหารประเทศไทยในรูปแบบต่างๆ เช่น ปล่อยให้มีการทุจริตโครงการจำนำข้าว อ้างกฎหมายข้างๆ คูๆ และ ยังเปิดหน้าชนเองด้วยการกล่าวหาว่าป.ป.ช. ไม่ให้ความเป็นธรรม มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงว่า ไม่ตั้งอนุกรรมการไต่สวนทั้งที่ความจริงดำเนินการมาแล้วเกือบสองปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2555 ป.ป.ช.ชุดใหญ่จึงเพียงดูในหลักการว่า เกี่ยวข้องกับการทุจริตตามที่อนุกรรมการฯ ส่งมาหรือไม่
นอกจากนี้ที่อ้างว่าไม่มีเวลาเพียงพอในการอ่านเอกสารนั้น ความจริงคือ จงใจสร้างสถานการณ์ว่า ตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. ได้ขยายเวลาให้แล้ว 15 วัน ปล่อยให้มีการจัดตั้งกองกำลังเสื้อแดง ทั้งของ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกฯ และ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร เปลี่ยนตัวประธาน นปช. ส่งสัญญาณพร้อมพิทักษ์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ หากมีการชี้มูลความผิดก็จะปฏิเสธข้อกล่าวหาไม่ยอมรับอำนาจของ ป.ป.ช. ดึงดันรักษาอำนาจซึ่งอาจนำไปสู่การตั้งรัฐบาลนอกรัฐธรรมนูญในพื้นที่คนเสื้อแดง เดินเข้าสู่กระบวนการแบ่งแยกดินแดน ตั้งรัฐบาลล้านนาต่อรองรัฐไทย เป็นกระบวนการที่วางแผนอย่างเป็นลำดับขั้นตอน เพื่อให้เกิดการเจรจาต่อรอง โดยให้คนไทยยอมศิโรราบกับตระกูลชินวัตร หากไม่ยอมให้บ้านเมืองแตกเป็นสองเสี่ยง
"เรามีความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายว่าถ้ากลับเข้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้งไม่ได้ จะใช้แผนแยกดินแดน จึงวิงวอนไปยังประชาชน และเจ้าหน้าที่ความมั่นคงได้ติดตามพฤติกรรมเหล่านี้อย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการแบ่งแยกดินแดน ทั้งนี้ขอย้ำว่าพรรคพร้อมที่จะเข้าสู่สนามเลือกตั้งหากการเลือกตั้งเป็นคำตอบของประเทศชาติ" โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
อัด ป.ป.ช.รวบรัดชี้มูลยิ่งลักษณ์
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวถึง กรณีป.ป.ช. เตรียมชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในคดีข้อกล่าวหา ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ว่า การตัดสินของป.ป.ช. จะยิ่งทำให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีทางชนะการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะลงเลือกตั้งในครั้งนี้หรือครั้งหน้าก็ตาม ทั้งนี้เพราะประชาชนจะรู้สึกว่า ป.ป.ช.ได้เลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน กรณีโครงการจำนำข้าวยังไม่มีการพิสูจน์ให้ถึงที่สุดว่าในระดับผู้ปฏิบัติ หรือผู้รับผิดชอบโดยตรงใครทำผิด หรือทุจริตอย่างไร แต่กลับจะเอาผิดกับนายกฯ ในข้อหาปล่อยปละละเลยหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ การตั้งข้อกล่าวหาก็มาแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย จู่ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และรวบรัดอย่างมาก ต่างจากกรณีการขายข้าวของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ หรือกรณีการสั่งฆ่าประชาชน เมื่อเดือนเม.ย.- พ.ค. 53 ซึ่งป.ป.ช. กลับทำงานอย่างล่าช้ามาก ป่านนี้ก็ยังไปไม่ถึงไหน
"การดำเนินการของป.ป.ช. จึงเข้าลักษณะใช้อำนาจหน้าที่ ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตมาแก้ปัญหาการเมือง คือ เพื่อหาทางลงให้สุเทพ กับพวกเสียมากกว่า"
นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า มาถึงวันนี้จึงมีกรณี 5 กรณี ทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว และกำลังจะเกิดขึ้นที่องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ ร่วมกันดำเนินการเพื่อจัดการกับการเมืองอย่างไม่เป็นธรรม ได้แก่
1. การวินิจฉัยว่า การแก้รัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภา เป็นการขัดมาตรา 68 ที่นำไปสู่การถอดถอนและดำเนินคดีอาญาต่อสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่ รวมทั้งประธานวุฒิสภาและอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่ให้การคุ้มครองการเคลื่อนไหวของกปปส. ด้วยการวินิจฉัยว่า เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
2. การคว่ำ ร่าง พ.ร.บ. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่มีผลเป็นการล้มโครงการรถไฟความเร็วสูง และการพัฒนาระบบคมนาคมของประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้เกิดขึ้น
3. การขัดขวางการเลือกตั้งของ กปปส. การไม่ตั้งใจจัดการเลือกตั้งของ กกต. และการวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ซึ่งมีผลเท่ากับจะไม่การเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปัจจุบันได้อีกแล้ว
4. การที่ป.ป.ช. เลือกปฏิบัติต่อนายกฯ แตกต่างจากที่ปฏิบัติต่อรัฐบาลปชป. อย่างชัดเจน นำไปสู่การชี้มูลนายกฯ การถอดถอน และการดำเนินคดีอาญานายกฯอย่างรวบรัดผิดปรกติ
5. การทำให้ครม.รักษาการ ต้องพ้นไป และการตั้งนายกฯ และรัฐบาลใหม่ขึ้นมาแทนที่โดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง ไม่ต่างจากการฉีกรัฐธรรมนูญ หรือรัฐประหารโดยศาลรัฐธรรมนูญนั่นเอง
นายจาตุรนต์ เห็นว่า ทั้ง 5 กรณีนี้ จะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่รับไม่ได้ และจะทำให้เกิดสภาพที่ยิ่งชนชั้นนำ และอำมาตย์จัดการด้วยความไม่เป็นธรรมมากเท่าใด ประชาชนก็จะยิ่งปฏิเสธมากเท่านั้น จนกระทั่งประชาชนจะไม่ยอมให้พรรคการเมืองที่ชนชั้นนำ และผู้มีอำนาจสนับสนุนได้เป็นรัฐบาลดังที่ตั้งใจไม่ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการฉีกรัฐธรรมนูญก็ตาม
"เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะกลายเป็นความจำเป็นที่ชนชั้นนำ และอำมาตย์จะต้องสร้างระบบที่ยิ่งเป็นเผด็จการยิ่งกว่าที่เคยวางแผนไว้ เพื่อเป็นหลักประกันว่าพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย จะไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ถึงแม้จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งก็ตาม ระบบที่เป็นเผด็จการเช่นนี้จะไม่เป็นที่ยอมรับและจะทำให้สังคมไทยก้าวไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงไม่สิ้นสุด”นายจาตุรนต์ กล่าว
ป.ป.ช.อย่าทำตัวเป็นอริกับนายกฯ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศอ.รส. กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มนปช. ในวันที่ 5 เม.ย. โดยเชื้่อว่าจะไม่มีเหตุปะทะ เพราะเป็นคนละพื้นที่กับกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยดูแล พร้อมฝากถึง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ว่าให้จำคำพูดที่ได้พูดบนเวที ว่า หากมีกลุ่มชุมนุมกลุ่มอื่น มารวมตัวกันมากกว่า กปปส. ก็จะยอมยุติการเคลื่อนไหว
ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะต้องไปชี้แจงเรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ และอยากให้ป.ป.ช. ทำหน้าที่เป็นองค์กรวินิจฉัย ถูก ผิด มากกว่าเป็นคู่อรินายกฯ
ส่วนการเลือกนายกรัฐมนตรีรักษาการนั้น ตามระเบียบจะต้องเป็นรองนายกรัฐมนตรี ลำดับ ที่ 1 คือ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส่วนนายกรัฐมนตรี มาตรา 7 คงเป็นไปไม่ได้ หากใครถูกทาบทาม ให้ไตร่ตรองให้ดีก่อน
"ภราดร"เตือน ป.ป.ช.ชี้มูลเสี่ยงรุนแรง
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีต เลขาฯสมช. กล่าวว่าเมื่อถึงวันที่จะมีการชี้มูลนายกฯ ในเรื่องจำนำข้าว จะมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรง ต้องมีความระมัดระวัง เพราะเป็นอารมณ์ของประชาชนที่มาจากรากเหง้าของความไม่เป็นธรรม ที่จะมีการขยายผลของปฏิกิริยาจากมวลชนแน่นอน และมีแนวโน้มที่จะเป็นความรุนแรง ที่ต้องระมัดระวัง และเกาะติดไว้ให้ดี
"วันที่ 31 มี.ค. ที่นายกฯ ต้องไปชี้แจงต่อ ป.ป.ช. ซึ่งอาจจะไปหรือไม่ไป ผมไม่ทราบ ซึ่งอยู่ที่ป.ป.ช.อีกว่า จะต้องมีการสอบอีกหรือไม่ หรือไม่สอบ แล้วก็ชี้มูลเลย ตรงนี้เป็นจุดเสี่ยง เพราะจะเป็นการกระชั้นกันหมด กปปส.นัดชุมนุม 29 มี.ค.ไปแล้ว ส่วนนปช.ก็นัดชุมนุมวันที่ 3 เม.ย. เพื่อไปถึงวันที่ 5 เม.ย. ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันหมด ต้องดูทุกมิติ ประมาทไม่ได้ " พล.ท.ภราดร กล่าว และว่า ส่วนการดูแลความปลอดภัยองค์กรอิสระว่า องค์กรอิสระส่วนใหญ่ก็ขอกำลังเจ้าหน้าที่ไปช่วยดูแลอยู่แล้ว
พล.ท.ภราดร ยังกล่าวถึงกลุ่ม กวป. ด้วยว่า คือกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ไม่ใช่ นปช. แต่เป็นกลุ่มคนที่นิยมชมชอบประชาธิปไตยแบบคนเสื้อแดง แล้วก็แต่งชุดแดง แต่ก็ไม่ใช่ นปช. ดังนั้นใครคิดจะไปสั่ง ก็ไม่ได้ ซึ่งตนก็มีช่องทางในการสื่อสารไป แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด ซึ่งผู้บังคับการตำรวจภูธรนนทบุรี ก็บอกให้ตนช่วย ตนก็ไม่รู้จะช่วยพูดอย่างไรแล้ว เพราะ กวป. ยืนยันจะดำเนินการตามที่ กปปส. เคยทำ และขอให้เจ้าหน้าที่ ปฏิบัติกับกวป.เหมือนกับกปปส.
ต่อข้อถามที่ว่า กลุ่ม นปช.แจ้งมาหรือยังว่า วันชุมนุมใหญ่ 5 เม.ย. จะใช้สถานที่ที่ใด พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ยังไม่แจ้งมา แต่วันที่ 29 มี.ค.เขามีการประชุมลับกัน ก็คงจะแจ้งเข้ามา แต่จากข้อมูลทราบว่าทั้ง กปปส. และ นปช. พยายามจะไม่เผชิญหน้ากัน จึงเชื่อมั่นว่า นปช. คงไม่ใช้พื้นที่ใกล้กับ กทม.
ชะตากรรม "ปู" เดินตามรอย "แม้ว"
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน และกรรมการ กปปส. กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองในขณะนี้ รัฐบาลรักษาการรู้จุดจบของตัวเองชัดเจนขึ้นว่า โอกาสที่จะยื้ออยู่ในอำนาจตีบตันมากขึ้น รูหายใจเดียวที่มีอยู่คือ การเลือกตั้งให้ได้นั้น ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะการแสดงพลังของมวลมหาประชาชน ตอกย้ำชัดเจนว่ากระแสปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ยังไม่ตก ยังมีพลังจนสามารถระดมผู้คนออกมาแสดงเจตจำนงค์ได้อย่างล้นหลาม แม้จะชุมนุมยืดเยื้อมายาวนาน
ขณะเดียวกัน การชี้มูลทุจริตจำนำข้าวของ ป.ป.ช. คนในพรรคเพื่อไทย ก็ล่วงรู้ชะตากรรมล่วงหน้าแล้วว่า ยากจะแก้ข้อกล่าวหาให้สังคมสิ้นข้อสงสัยได้ว่า ไม่มีการทุจริต ส่งผลให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และ นปช.เคลื่อนไหวหนัก เพื่อทำลายความชอบธรรมของ ป.ป.ช. เพื่อหวังล้มทั้งกระดาน
จึงมีโอกาสที่ขบวนการไม่รับอำนาจองค์กรอิสระ จะสร้างสถานการณ์รุนแรงวุ่นวาย ก่อนที่ ป.ป.ช. จะชี้มูล ฉะนั้นไม่เพียงแต่จะไม่รับคำชี้มูลเท่านั้น เครือข่ายระบอบทักษิณ จะพยายามเบี่ยงเบนประเด็น สร้างกระดานใหม่ที่คิดว่าตัวเองจะได้เปรียบ คือ การไม่ยอมรับองค์กรอิสระทั้งระบบ
"อยากเตือนเครือข่ายระบอบทักษิณว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่ในขณะนี้คือการจงใจฉีกรัฐธรรมนูญ ไม่ยอมรับการตรวจสอบ พยายามสถาปนาอำนาจที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ และการตรวจสอบ เท่ากับเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดรัฐประหารขึ้น"
นายสุริยะใส กล่าวด้วยว่า สนามประชาธิปไตยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศจะปกป้องจนนาทีสุดท้ายนั้น ก็แค่การรักษาผลประโยชน์และอำนาจในระบอบทักษิณเท่านั้น เพราะถ้ามีจิตวิญญานประชาธิปไตยจริง จะต้องเคารพการตรวจสอบ เคารพรัฐธรรมนูญ และหากเครือข่ายทักษิณไม่รับคำชี้มูลจะกลายเป็นจุดแตกหักทางการเมือง และหมดสิทธิ์ หมดความชอบธรรม ที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป ชะตากรรมของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะเดินตามรอยพี่ชายอย่างแน่นอน
"นพดล"ปัด"แม้ว"อยู่หลวงพระบาง
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงกรณีมีข่าวว่าตอนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่หลวงพระบาง สปป.ลาว เพื่อควบคุมสถานการณ์การเมืองว่า เป็นข่าวเท็จ เป็นการนำรูปเก่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มาเผยแพร่ในสื่อต่างๆ ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่ดูไบ ในอดีตที่เคยกุข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นมะเร็ง และเสียชีวิต ซึ่งก็เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า แม้เรื่องง่ายๆ ที่พิสูจน์ได้ ก็ยังกุข่าวโกหก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเวทนามาก การต่อสู้ทางการเมืองในต่างประเทศ เขาก็ไม่ใช้วิธีการเต้าข่าวโกหกกันรายวันเช่นที่ทำอยู่นี้ ดังนั้นพี่น้องประชาชนอย่าไปหลงเชื่อการใส่ร้ายป้ายสี และโกหกในเวที กปปส. ที่พยายามสร้างภาพว่า มีระบอบทักษิณ และอ้างว่าจะขจัดระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นเพียงปฏิบัติการจิตวิทยา ที่ปลุกเร้าผู้คนไม่ให้กลับบ้านเท่านั้น เพราะระบอบทักษิณไม่มีอยู่จริง มีแต่ระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่ว่าคนชื่อใดนามสกุลใด ถ้ามีคุณสมบัติ ก็สามารถเสนอตัวให้พี่น้องประชาชนเลือกตั้งได้ทั้งนั้น
ส่วนที่นายสุเทพไปสาบานตนต่อหน้าพระบรมรูป รัชกาลที่ 7 ว่าจะทวงอำนาจจากระบอบทักษิณไปให้แก่ กปปส. นั้น นายสุเทพ กำลังทำตรงกันข้ามกับที่ในหลวงรัชกาลที่ 7 ที่พระองค์ทรงสละพระราชอำนาจให้กับประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ให้คนกลุ่มใด หรือคณะหนึ่งคณะใด แต่สิ่งที่นายสุเทพทำ คือการพยายามชิงอำนาจจากปวงชนชาวไทยทั้งประเทศ ไปให้กลุ่ม กปปส. ซึ่งถือว่าสวนทางกับพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 7
"วันนี้คนไทยต้องรู้ทันนายสุเทพ ว่าการปฏิรูป เป็นเพียงข้ออ้าง เพื่อให้มีสภาประชาชน และนายกฯ นอกรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญ และทำลายระบอบประชาธิปไตย วันนี้กลุ่มกปปส. ไม่ใช่เพียงกลุ่มต่อต้านรัฐบาล แต่กลายเป็นกลุ่มต่อต้านระบอบประชาธิปไตยไปแล้ว ใช่หรือไม่ นายสุเทพ กำลังจะเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ยึดอำนาจอธิปไตยจากประชาชนใช่หรือไม่ ผมคิดว่าปวงชนชาวไทย ที่ยิ่งใหญ่กว่ามวลมหาประชาชนของนายสุเทพ คงไม่ยินยอมอย่างแน่นอน " นายนพดล กล่าว.