นับถอยหลังคดีจำนำข้าว “เพื่อไทย-เสื้อแดง” เกิดอาการผวา เชื่อ ป.ป.ช.ไม่ใช่แค่สอย “ยิ่งลักษณ์” แต่หลักฐานโยงใย ครม.ตายยกแข่ง ด้าน “พิชิต ชื่นบาน” ทนายเพื่อไทยโพสต์ข้อความติงไม่ถูกต้องหากให้นายกฯ รับผิดชอบคนเดียว ด้านมวลชนเสื้อแดง ไร้อารมณ์จงรักภักดีแบบเดิมๆ อ้างไม่อยากเป็นสะพานให้เขาเหยียบข้าม เพราะใครใกล้นายรวย แต่บางคนยังติดคุก ไร้เหลียวแล ชี้สถานการณ์วันนี้กองหนุนรัฐบาลชินวัตร ไม่เข้มแข็งเหมือนปี 53 ขณะเดียวกัน “ทหาร” รู้ความเคลื่อนไหวของกองทัพเสื้อแดง ทำให้เล่นใต้ดินยากหากจะปฏิบัติการเช่นในอดีต!
คดีทุจริตจำนำข้าวที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.เปิดโอกาสให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาชี้แจงข้อกล่าวหาภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ ก่อนที่จะมีการชี้มูลความผิดในขั้นตอนต่อไป
การคาดการณ์ถึงผลของคดีที่จะออกมานั้น สะท้อนผ่านความเคลื่อนไหวของผู้คนในพรรคเพื่อไทย และฝ่ายที่สนับสนุนอย่างกลุ่ม นปช.และคนเสื้อแดงในช่วงเวลานี้อย่างชัดเจนว่าผลที่ออกมานั้นจะเป็นอย่างไร และยิ่งใกล้วันครบกำหนดมากเท่าไหร่สถานการณ์เริ่มส่อเค้าความรุนแรงมากขึ้น พร้อมๆ กับการออกมาขับเคลื่อนของคนเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ เพื่อให้กำลังใจและปกป้องนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี กันมากขึ้น
ดังนั้นในห้วงเวลานี้จึงกลายเป็นมหกรรมที่แสดงออกถึงความรัก ความปรารถนาดีที่มีต่อตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี จากกลุ่มที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยกลุ่มคนเสื้อแดงในนามกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ได้เข้ามาปักหลักให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในดวงใจอีกครั้ง หลังจากเคยมาครั้งก่อนเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ นอกจากการปิดประตูสำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อไม่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มาทำงานได้เหมือนครั้งก่อนแล้ว ครั้งนี้มีการโชว์ทำร้ายพระเมื่อ 24 มีนาคมแถมอีกด้วย
ขณะที่การข่มขู่ ป.ป.ช.ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในส่วนบุคคลและองค์กรถูกกระทำอย่างต่อเนื่อง ภายในสำนักงาน ป.ป.ช.กลายเป็นพื้นที่กระสุน M79 ตกลงอย่างต่อเนื่องในยามค่ำคืน นายวิชา มหาคุณ หนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช.ถูกคุกคามด้วยรูปแบบต่างๆ
พร้อมๆ กับการนัดชุมนุมใหญ่โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 5 เมษายน 2557 โดยยังไม่บอกสถานที่นัดหมาย นับเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้มวลชนเพื่อรุกคืบอุปสรรคที่จะมาขวางกั้นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยเดินเครื่องรับลูกนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ขอเปลี่ยนตัว นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ที่อ้างว่ามีอคติต่อรัฐบาล แต่มติของ ป.ป.ช. ยืนยันไม่เปลี่ยนตัว
อาการเกร็งจากการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.ที่จะเกิดขึ้นหลังจาก 31 มีนาคมเป็นต้นไปนั้น นับเป็นการเตรียมความพร้อมของคนในฝ่ายรัฐบาล ที่งานนี้อาจต้องพึ่งพามวลชนคนเสื้อแดงเข้ามาเป็นเกราะกำบังหลักให้กับนายกฯ ยิ่งลักษณ์
ส่วนคู่ต่อสู้กับรัฐบาลอย่างคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ ที่ออกมาขับไล่รัฐบาลชุดนี้จนจะครบเดือนที่ 5 ซึ่งทำได้เพียงกดดันรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแค่ยุบสภาเมื่อ 9 ธันวาคม 2556 และอยู่เป็นรัฐบาลรักษาการมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่การชุมนุมยืดเยื้อทำให้มวลชนเหนื่อยล้าและถอยห่างออกไปบ้าง
ดังนั้น การนัดชุมนุมใหญ่ของ กปปส.ในวันที่ 29 มีนาคมนี้ โดยในช่วงนี้ได้เดินสายออกรณรงค์กันทุกวัน จึงนับเป็นการปลุกพลังของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของคนในตระกูลชินวัตรอีกครั้ง แต่แนวทางของ กปปส.ยังคงต้องพึ่งพากระบวนการยุติธรรมจากองค์กรอิสระเหล่านี้เป็นหลักเท่านั้น
แนวทางที่แม้กระทั่งคนในฟากฝั่งรัฐบาลเองก็เห็นตรงกันกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล นั่นคือโอกาสที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะรอดพ้นในคดีดังกล่าวเป็นไปได้น้อยมาก เพียงแต่แนวทางในการประเมินสถานการณ์นับจากการชี้มูลเป็นต้นไปนั้นจะออกมาในรูปแบบใด ป.ป.ช.จะชี้มูลนายกฯ เพียงคนเดียวหรืออาจจะโดนทั้งคณะ หากเป็นไปในแนวทางหลัง การที่จะนำเอารองนายกฯ ขึ้นมาทำหน้าที่แทนนางสาวยิ่งลักษณ์จึงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น คงต้องมาลุ้นกันว่าหวยของ ป.ป.ช.จะออกมาในรูปแบบใด
เพื่อไทยหวั่นโดนทั้งคณะ
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ประเมินสถานการณ์ในขณะนี้ว่า คำตัดสินของ ป.ป.ช.ที่จะมีการชี้มูลความผิดในคดีจำนำข้าวกับตัวนายกฯ คงเป็นเรื่องที่จะหลีกเลี่ยงได้ยาก และคนในพรรคก็ประเมินกันว่าผลของการชี้มูลอาจจะไม่ใช่แค่ตัวนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว แต่อาจจะรวมไปถึงคณะรัฐมนตรีทั้งหมดด้วย
การเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นทีมงานด้านกฎหมายก็ดำเนินการมาโดยตลอด แต่ทีมกฎหมายที่มีอยู่กับคดีที่เป็นเชิงการเมืองลักษณะนี้ เพราะมีทั้งเรื่องการตั้งธงไว้ก่อนรวมไปถึงข้อเท็จจริงต่างๆ การต่อสู้ทางคดีไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจมีการใช้เรื่องของมวลชนคนเสื้อแดงเข้ามาร่วมเคลื่อนไหวด้วย
แม้ว่าจะมีแรงสนับสนุนจากกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ถามว่าทำอะไรได้ ถึงจะมีการขวางหรือสกัดกั้น ป.ป.ช.หรือศาลรัฐธรรมนูญ แต่คำตัดสินก็ออกมาจนได้ เรื่องที่จะไปกระทำการต่างๆ นอกเหนือจากกฎหมายนั้น ทหารก็เตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว เห็นได้จากการยกเลิกการใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินแต่จุดตรวจของทหารก็ไม่ได้ลดลง
พิชิต ชื่นบาน โพสต์ไม่ใช่นายกฯคนเดียว
เช่นเดียวกับ นายสุริยะใส กตะศิลา หนึ่งในแกนนำ กปปส.กล่าวว่า การชี้มูลของ ป.ป.ช.ตอนนี้มีข้อถกเถียงทางกฎหมายว่า จะเป็นการกล่าวโทษนายกรัฐมนตรีคนเดียวหรือรัฐมนตรีทั้งคณะ ซึ่งอีกแนวทางหนึ่งมองว่าเนื่องจากนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) มีการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อรัฐสภา จึงอาจไม่ใช่ความผิดเฉพาะตัว
อีกทั้งก่อนหน้านี้ นายพิชิต ชื่นบาน ทนายความของพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความเห็นว่า ทำไมนายกฯ ต้องรับผิดลำพัง หลังจาก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโครงการรับจำนำข้าว ดังนี้
เมื่อคำนึงถึงบทบาทและอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลโดยเฉพาะบทบาทในทางการบริหารรัฐ (governmental) มีพื้นฐานมาจากหลักการปกครองในระบบรัฐสภา ที่ถือหลักการบริหารกิจการของรัฐในรูปของคณะบุคคล (collective body) โดยยึดหลักความรับผิดชอบร่วมกัน (collective responsibility) รัฐธรรมนูญ มาตรา 171 คณะรัฐมนตรีมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เอง ก็ยอมรับในประเด็นของหลักความรับผิดชอบร่วมกัน
นอกจากนี้ในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เองก็ยอมรับในเรื่องนี้ว่า เมื่อเริ่มต้นกระบวนการทำงาน นางสาวยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา แสดงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ยอมรับโดยไม่เถียงหลักการในการบริหารรัฐในระบบรัฐสภา และหลักการบริหารกิจการของรัฐในรูปของคณะบุคคลดังกล่าว
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 171 จึงถือได้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ใช้อำนาจในรูปแบบของคณะบุคคล ไม่ได้เกิดจากการใช้อำนาจในฐานะนายกฯ โดยลำพัง แต่เกิดจากคณะบุคคล ได้แก่ คณะรัฐมนตรีที่มีอำนาจในการตัดสินใจ และได้ตัดสินใจร่วมกันในการให้เกิดโครงการรับจำนำข้าว ถือเป็นการใช้อำนาจในรูปแบบคณะบุคคล จึงไม่ถูกต้องอย่างยิ่งที่จะให้นายกฯ เกิดความรับผิดทางอาญาโดยลำพังแต่เพียงผู้เดียว
“หากมีการชี้มูลเฉพาะตัวนายกฯ ก็จะมีคนยื่นตีความเรื่องสถานภาพของคณะรัฐมนตรีด้วยว่าต้องพ้นสภาพด้วยหรือไม่” นายสุริยะใสกล่าว
นั่นหมายถึงการที่จะเลือกรองนายกฯ ท่านใดท่านหนึ่งมารักษาการแทนนายกฯ นั้นก็อาจต้องสะดุดหยุดลง และถ้าคณะรัฐมนตรีพ้นสภาพไปทั้งคณะก็จะเกิดสุญญากาศขึ้นมาทันที ขณะที่พรรคเพื่อไทย ก็ต้องตีความเงื่อนไขกฎหมายที่ได้ประโยชน์ เพื่อตั้งคนทำหน้าที่แทนนางสาวยิ่งลักษณ์ แต่เชื่อว่าสุดท้ายทำอะไรไม่ได้
เมื่อสถานการณ์เดินมาถึงขณะนี้ เชื่อว่ากระบวนการใต้ดินจะแรงขึ้น ขบวนการนี้มีการสะสมกำลังกันมาตลอด ได้รับการสนับสนุน ค้ำจุนกันตลอด เห็นได้จาก ป.ป.ช.ตั้งเป้าที่จะสอบ 3 รัฐมนตรีที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปิดล้อมสำนักงาน ป.ป.ช.โดยเป้าหมายของมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลเพื่อไทยอยู่ที่ ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมุ่งโจมตีไปที่หัวใจของฝ่ายตรงข้ามทักษิณ
ว่ากันตามตรงสิ่งที่เสื้อแดงทำอยู่เวลานี้เสื้อแดงก็กลัวการรัฐประหาร ก็พูดกันไปอย่างนั้น เพื่อรักษาพื้นที่ของตัวเอง เรื่องของกองกำลังนอกระบบก็น่าเป็นห่วง เพราะมีการบ่มเพาะมานาน แต่เชื่อว่ากองทัพมีข้อมูลอยู่ ซึ่งเหตุระเบิดตามพื้นที่ต่างๆ นั้นเรื่องนี้ขยายไปสู่เรื่องความมั่นคงแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายทหารว่ามองเรื่องนี้อย่างไร จะนิ่งเฉยหรือเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร
หนึ่งในแกนนำ กปปส.กล่าวต่อไปว่า จากนี้ไปอีก 2-3 เดือนหากปัญหายังไม่ยุติลง ภาคธุรกิจจะกลายเป็นพลังชี้ขาดอีกแรง เนื่องจากเกิดความเสียหายกับระบบธุรกิจ รวมไปถึงงบประมาณแผ่นดินก็ไม่สามารถใช้ได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงบีบให้ทหารต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อยุติปัญหาเหล่านี้
ไม่ชี้มูลก็ตายแล้วครึ่งตัว
ด้านแกนนำคนเสื้อแดงรายหนึ่งกล่าวว่า ป.ป.ช.จะชี้มูลหรือไม่ตอนนี้รัฐบาลก็ตายไปแล้วครึ่งตัว ทำอะไรก็ไม่ได้ เรื่องการชี้มูลขององค์กรอิสระนั้นก็เป็นไปตามระบบ เมื่อเรามาเป็นรัฐบาลแล้วก็ต้องพร้อม มันไม่ถึงกับตาย ถ้าชี้มูลนายกฯ คนเดียวก็หาคนใหม่ขึ้นมาแทน หรือถ้าโดนทั้งคณะก็อยู่ได้อีก 5-6 เดือน เราก็ต้องยอมรับ
“บางเรื่องเราก็ผิดจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการผิดโดยไม่ตั้งใจหรือตั้งใจ ที่ผ่านมารัฐบาลแพ้ทั้งหมดทั้งในเรื่องกระบวนการทางกฎหมาย และยุทธวิธีในการต่อสู้ผิดทั้งหมด และเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาโจมตีได้”
ส่วนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่จะเข้ามาสนับสนุนรัฐบาลนั้น ก็อาจจะมีบางส่วนที่ยังพร้อมร่วมชุมนุม แต่คงไม่เหมือนเมื่อครั้งปี 2553 ตอนนั้นมีเรื่องของอุดมการณ์เข้ามาเป็นตัวหลัก แต่ตอนนี้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ล้วนๆ เสื้อแดงหลายคนยังติดคุกอยู่ ขณะที่บางส่วนร่ำรวยมีเงินทองเพราะเข้าถึงคนมีอำนาจได้มากกว่า หรือบางคนที่พ้นโทษมาแล้วก็ไม่ได้รับการเหลียวแล ที่ผ่านมาพวกเรากลายเป็นสะพานให้เขาเหยียบข้ามไป
ดังนั้นที่เราเห็นว่ามีระเบิดที่นั่นที่นี่ ก็เป็นพวกฮาร์ดคอร์ที่ทำเพื่อสร้างกระแส ให้เจ้านายเห็นผลงานเท่านั้น เวลานี้ฝ่ายทหารทราบหมดว่าใครเป็นใคร ใครทำอะไร มีชื่ออยู่ในบัญชีหมดแล้ว และถ้าทหารเอาจริงมีหรือที่คนเหล่านี้จะกล้า
คดีทุจริตจำนำข้าวที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.เปิดโอกาสให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาชี้แจงข้อกล่าวหาภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ ก่อนที่จะมีการชี้มูลความผิดในขั้นตอนต่อไป
การคาดการณ์ถึงผลของคดีที่จะออกมานั้น สะท้อนผ่านความเคลื่อนไหวของผู้คนในพรรคเพื่อไทย และฝ่ายที่สนับสนุนอย่างกลุ่ม นปช.และคนเสื้อแดงในช่วงเวลานี้อย่างชัดเจนว่าผลที่ออกมานั้นจะเป็นอย่างไร และยิ่งใกล้วันครบกำหนดมากเท่าไหร่สถานการณ์เริ่มส่อเค้าความรุนแรงมากขึ้น พร้อมๆ กับการออกมาขับเคลื่อนของคนเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ เพื่อให้กำลังใจและปกป้องนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี กันมากขึ้น
ดังนั้นในห้วงเวลานี้จึงกลายเป็นมหกรรมที่แสดงออกถึงความรัก ความปรารถนาดีที่มีต่อตัวของนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี จากกลุ่มที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย โดยกลุ่มคนเสื้อแดงในนามกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) ได้เข้ามาปักหลักให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในดวงใจอีกครั้ง หลังจากเคยมาครั้งก่อนเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ นอกจากการปิดประตูสำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อไม่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มาทำงานได้เหมือนครั้งก่อนแล้ว ครั้งนี้มีการโชว์ทำร้ายพระเมื่อ 24 มีนาคมแถมอีกด้วย
ขณะที่การข่มขู่ ป.ป.ช.ในรูปแบบต่างๆ ทั้งในส่วนบุคคลและองค์กรถูกกระทำอย่างต่อเนื่อง ภายในสำนักงาน ป.ป.ช.กลายเป็นพื้นที่กระสุน M79 ตกลงอย่างต่อเนื่องในยามค่ำคืน นายวิชา มหาคุณ หนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช.ถูกคุกคามด้วยรูปแบบต่างๆ
พร้อมๆ กับการนัดชุมนุมใหญ่โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในวันที่ 5 เมษายน 2557 โดยยังไม่บอกสถานที่นัดหมาย นับเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้มวลชนเพื่อรุกคืบอุปสรรคที่จะมาขวางกั้นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ขณะที่ทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยเดินเครื่องรับลูกนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่ขอเปลี่ยนตัว นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ที่อ้างว่ามีอคติต่อรัฐบาล แต่มติของ ป.ป.ช. ยืนยันไม่เปลี่ยนตัว
อาการเกร็งจากการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.ที่จะเกิดขึ้นหลังจาก 31 มีนาคมเป็นต้นไปนั้น นับเป็นการเตรียมความพร้อมของคนในฝ่ายรัฐบาล ที่งานนี้อาจต้องพึ่งพามวลชนคนเสื้อแดงเข้ามาเป็นเกราะกำบังหลักให้กับนายกฯ ยิ่งลักษณ์
ส่วนคู่ต่อสู้กับรัฐบาลอย่างคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) นำโดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ ที่ออกมาขับไล่รัฐบาลชุดนี้จนจะครบเดือนที่ 5 ซึ่งทำได้เพียงกดดันรัฐบาลพรรคเพื่อไทยแค่ยุบสภาเมื่อ 9 ธันวาคม 2556 และอยู่เป็นรัฐบาลรักษาการมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่การชุมนุมยืดเยื้อทำให้มวลชนเหนื่อยล้าและถอยห่างออกไปบ้าง
ดังนั้น การนัดชุมนุมใหญ่ของ กปปส.ในวันที่ 29 มีนาคมนี้ โดยในช่วงนี้ได้เดินสายออกรณรงค์กันทุกวัน จึงนับเป็นการปลุกพลังของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของคนในตระกูลชินวัตรอีกครั้ง แต่แนวทางของ กปปส.ยังคงต้องพึ่งพากระบวนการยุติธรรมจากองค์กรอิสระเหล่านี้เป็นหลักเท่านั้น
แนวทางที่แม้กระทั่งคนในฟากฝั่งรัฐบาลเองก็เห็นตรงกันกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล นั่นคือโอกาสที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะรอดพ้นในคดีดังกล่าวเป็นไปได้น้อยมาก เพียงแต่แนวทางในการประเมินสถานการณ์นับจากการชี้มูลเป็นต้นไปนั้นจะออกมาในรูปแบบใด ป.ป.ช.จะชี้มูลนายกฯ เพียงคนเดียวหรืออาจจะโดนทั้งคณะ หากเป็นไปในแนวทางหลัง การที่จะนำเอารองนายกฯ ขึ้นมาทำหน้าที่แทนนางสาวยิ่งลักษณ์จึงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น คงต้องมาลุ้นกันว่าหวยของ ป.ป.ช.จะออกมาในรูปแบบใด
เพื่อไทยหวั่นโดนทั้งคณะ
แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ประเมินสถานการณ์ในขณะนี้ว่า คำตัดสินของ ป.ป.ช.ที่จะมีการชี้มูลความผิดในคดีจำนำข้าวกับตัวนายกฯ คงเป็นเรื่องที่จะหลีกเลี่ยงได้ยาก และคนในพรรคก็ประเมินกันว่าผลของการชี้มูลอาจจะไม่ใช่แค่ตัวนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว แต่อาจจะรวมไปถึงคณะรัฐมนตรีทั้งหมดด้วย
การเตรียมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นทีมงานด้านกฎหมายก็ดำเนินการมาโดยตลอด แต่ทีมกฎหมายที่มีอยู่กับคดีที่เป็นเชิงการเมืองลักษณะนี้ เพราะมีทั้งเรื่องการตั้งธงไว้ก่อนรวมไปถึงข้อเท็จจริงต่างๆ การต่อสู้ทางคดีไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจมีการใช้เรื่องของมวลชนคนเสื้อแดงเข้ามาร่วมเคลื่อนไหวด้วย
แม้ว่าจะมีแรงสนับสนุนจากกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ถามว่าทำอะไรได้ ถึงจะมีการขวางหรือสกัดกั้น ป.ป.ช.หรือศาลรัฐธรรมนูญ แต่คำตัดสินก็ออกมาจนได้ เรื่องที่จะไปกระทำการต่างๆ นอกเหนือจากกฎหมายนั้น ทหารก็เตรียมรับมือไว้อยู่แล้ว เห็นได้จากการยกเลิกการใช้พระราชกำหนดฉุกเฉินแต่จุดตรวจของทหารก็ไม่ได้ลดลง
พิชิต ชื่นบาน โพสต์ไม่ใช่นายกฯคนเดียว
เช่นเดียวกับ นายสุริยะใส กตะศิลา หนึ่งในแกนนำ กปปส.กล่าวว่า การชี้มูลของ ป.ป.ช.ตอนนี้มีข้อถกเถียงทางกฎหมายว่า จะเป็นการกล่าวโทษนายกรัฐมนตรีคนเดียวหรือรัฐมนตรีทั้งคณะ ซึ่งอีกแนวทางหนึ่งมองว่าเนื่องจากนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) มีการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อรัฐสภา จึงอาจไม่ใช่ความผิดเฉพาะตัว
อีกทั้งก่อนหน้านี้ นายพิชิต ชื่นบาน ทนายความของพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความเห็นว่า ทำไมนายกฯ ต้องรับผิดลำพัง หลังจาก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโครงการรับจำนำข้าว ดังนี้
เมื่อคำนึงถึงบทบาทและอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลโดยเฉพาะบทบาทในทางการบริหารรัฐ (governmental) มีพื้นฐานมาจากหลักการปกครองในระบบรัฐสภา ที่ถือหลักการบริหารกิจการของรัฐในรูปของคณะบุคคล (collective body) โดยยึดหลักความรับผิดชอบร่วมกัน (collective responsibility) รัฐธรรมนูญ มาตรา 171 คณะรัฐมนตรีมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เอง ก็ยอมรับในประเด็นของหลักความรับผิดชอบร่วมกัน
นอกจากนี้ในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เองก็ยอมรับในเรื่องนี้ว่า เมื่อเริ่มต้นกระบวนการทำงาน นางสาวยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา แสดงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็ยอมรับโดยไม่เถียงหลักการในการบริหารรัฐในระบบรัฐสภา และหลักการบริหารกิจการของรัฐในรูปของคณะบุคคลดังกล่าว
ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 171 จึงถือได้ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ใช้อำนาจในรูปแบบของคณะบุคคล ไม่ได้เกิดจากการใช้อำนาจในฐานะนายกฯ โดยลำพัง แต่เกิดจากคณะบุคคล ได้แก่ คณะรัฐมนตรีที่มีอำนาจในการตัดสินใจ และได้ตัดสินใจร่วมกันในการให้เกิดโครงการรับจำนำข้าว ถือเป็นการใช้อำนาจในรูปแบบคณะบุคคล จึงไม่ถูกต้องอย่างยิ่งที่จะให้นายกฯ เกิดความรับผิดทางอาญาโดยลำพังแต่เพียงผู้เดียว
“หากมีการชี้มูลเฉพาะตัวนายกฯ ก็จะมีคนยื่นตีความเรื่องสถานภาพของคณะรัฐมนตรีด้วยว่าต้องพ้นสภาพด้วยหรือไม่” นายสุริยะใสกล่าว
นั่นหมายถึงการที่จะเลือกรองนายกฯ ท่านใดท่านหนึ่งมารักษาการแทนนายกฯ นั้นก็อาจต้องสะดุดหยุดลง และถ้าคณะรัฐมนตรีพ้นสภาพไปทั้งคณะก็จะเกิดสุญญากาศขึ้นมาทันที ขณะที่พรรคเพื่อไทย ก็ต้องตีความเงื่อนไขกฎหมายที่ได้ประโยชน์ เพื่อตั้งคนทำหน้าที่แทนนางสาวยิ่งลักษณ์ แต่เชื่อว่าสุดท้ายทำอะไรไม่ได้
เมื่อสถานการณ์เดินมาถึงขณะนี้ เชื่อว่ากระบวนการใต้ดินจะแรงขึ้น ขบวนการนี้มีการสะสมกำลังกันมาตลอด ได้รับการสนับสนุน ค้ำจุนกันตลอด เห็นได้จาก ป.ป.ช.ตั้งเป้าที่จะสอบ 3 รัฐมนตรีที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปิดล้อมสำนักงาน ป.ป.ช.โดยเป้าหมายของมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลเพื่อไทยอยู่ที่ ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมุ่งโจมตีไปที่หัวใจของฝ่ายตรงข้ามทักษิณ
ว่ากันตามตรงสิ่งที่เสื้อแดงทำอยู่เวลานี้เสื้อแดงก็กลัวการรัฐประหาร ก็พูดกันไปอย่างนั้น เพื่อรักษาพื้นที่ของตัวเอง เรื่องของกองกำลังนอกระบบก็น่าเป็นห่วง เพราะมีการบ่มเพาะมานาน แต่เชื่อว่ากองทัพมีข้อมูลอยู่ ซึ่งเหตุระเบิดตามพื้นที่ต่างๆ นั้นเรื่องนี้ขยายไปสู่เรื่องความมั่นคงแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายทหารว่ามองเรื่องนี้อย่างไร จะนิ่งเฉยหรือเข้ามาดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร
หนึ่งในแกนนำ กปปส.กล่าวต่อไปว่า จากนี้ไปอีก 2-3 เดือนหากปัญหายังไม่ยุติลง ภาคธุรกิจจะกลายเป็นพลังชี้ขาดอีกแรง เนื่องจากเกิดความเสียหายกับระบบธุรกิจ รวมไปถึงงบประมาณแผ่นดินก็ไม่สามารถใช้ได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงบีบให้ทหารต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อยุติปัญหาเหล่านี้
ไม่ชี้มูลก็ตายแล้วครึ่งตัว
ด้านแกนนำคนเสื้อแดงรายหนึ่งกล่าวว่า ป.ป.ช.จะชี้มูลหรือไม่ตอนนี้รัฐบาลก็ตายไปแล้วครึ่งตัว ทำอะไรก็ไม่ได้ เรื่องการชี้มูลขององค์กรอิสระนั้นก็เป็นไปตามระบบ เมื่อเรามาเป็นรัฐบาลแล้วก็ต้องพร้อม มันไม่ถึงกับตาย ถ้าชี้มูลนายกฯ คนเดียวก็หาคนใหม่ขึ้นมาแทน หรือถ้าโดนทั้งคณะก็อยู่ได้อีก 5-6 เดือน เราก็ต้องยอมรับ
“บางเรื่องเราก็ผิดจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการผิดโดยไม่ตั้งใจหรือตั้งใจ ที่ผ่านมารัฐบาลแพ้ทั้งหมดทั้งในเรื่องกระบวนการทางกฎหมาย และยุทธวิธีในการต่อสู้ผิดทั้งหมด และเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาโจมตีได้”
ส่วนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่จะเข้ามาสนับสนุนรัฐบาลนั้น ก็อาจจะมีบางส่วนที่ยังพร้อมร่วมชุมนุม แต่คงไม่เหมือนเมื่อครั้งปี 2553 ตอนนั้นมีเรื่องของอุดมการณ์เข้ามาเป็นตัวหลัก แต่ตอนนี้เป็นเรื่องของผลประโยชน์ล้วนๆ เสื้อแดงหลายคนยังติดคุกอยู่ ขณะที่บางส่วนร่ำรวยมีเงินทองเพราะเข้าถึงคนมีอำนาจได้มากกว่า หรือบางคนที่พ้นโทษมาแล้วก็ไม่ได้รับการเหลียวแล ที่ผ่านมาพวกเรากลายเป็นสะพานให้เขาเหยียบข้ามไป
ดังนั้นที่เราเห็นว่ามีระเบิดที่นั่นที่นี่ ก็เป็นพวกฮาร์ดคอร์ที่ทำเพื่อสร้างกระแส ให้เจ้านายเห็นผลงานเท่านั้น เวลานี้ฝ่ายทหารทราบหมดว่าใครเป็นใคร ใครทำอะไร มีชื่ออยู่ในบัญชีหมดแล้ว และถ้าทหารเอาจริงมีหรือที่คนเหล่านี้จะกล้า