ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ปฏิเสธไมไ่ด้ว่า ปัจจัยสำคัญยิ่งที่จะนำชัยชนะอย่างเด็ดขาดมาสู่มวลมหาประชาชน ภายใต้การนำของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ก็คือการแสดงท่าทีของผู้นำเหล่าทัพว่าจะยืนข้างมวลมหาประชาชนตามเป้าหมายที่จะโค่นล้มระบอบทักษิณอย่างชัดเจน
นั่นเพราะ ท่าทีที่ชัดเจนของผู้นำเหล่าทัพจะทำให้กลไกรัฐในส่วนอื่นๆ กล้าแสดงตัวประกาศอยู่ข้างมวลมหาประชาชน และไม่รับใช้ระบอบทักษิณอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม จนแล้วจนรอด นับตั้งแต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ประกาศยกระดับการชุมนุมจากการคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มาเป็นการล้มล้างระบอบทักษิณ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 และเริ่มเรียกร้องให้บรรดาข้าราชการหยุดรับใช้ระบอบทักษิณตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ กลไกราชการส่วนใหญ่ก็ยังไม่กล้าประกาศตัวหยุดเป็นทาสระบอบทักษิณ ยังคงก้มหน้าก้มตาเป็นไม้เป็นมือให้ต่อไป
ขณะที่ ผู้บัญชาการเหล่าทัพก็ยังแสดงท่าทีแบบแทงกั๊ก เอาตัวเองปลอดภัยไว้ก่อน ไม่อยากมีปัญหากับมวลมหาประชาชน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากขัดข้องหมองใจกันกับรัฐบาล โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีด้วย
ในการพบปะเจรจากันครั้งแรกและครั้งเดียวระหว่างนายสุเทพกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต่อหน้าผู้นำเหล่าทัพเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.)ได้แสดงท่าทีว่า ไม่ต้องการเห็นประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เพราะกองทัพยืนอยู่ข้างประเทศไทย
ในครั้งนั้น นายสุเทพก็หลงดีใจกับคำว่า “อยู่ข้างประเทศไทย” เพราะไปตีความว่า หมายถึงไม่ได้อยู่ข้างรัฐบาล และแอบหวังลึกๆ ว่า นั่นคือการอยู่ข้างมวลมหาประชาชน หรือ กปปส.
อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงเวลา 4 เดือนกว่าที่ผ่านมา นับจาก “กำนันสุเทพ”ประกาศนำมวลชนโค่นล้มระบอบทักษิณ จนถึงวันนี้ ท่าทีของ ผบ.เหล่าทัพก็ยังไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันมากไปกว่าคำว่า “อยู่ข้างประเทศไทย”แต่อย่างใด
การเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 นายสุเทพประกาศนำมวลชน กปปส.บอยคอตการเลือกตั้งด้วยการนัดกันจัด “ปิกนิก”ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีความชอบธรรม แต่ปรากฏว่า ผู้นำเหล่าทัพแต่ละคนกลับเดินสวนทางกับมวลมหาประชาชน ด้วยการออกจากบ้านไปใช้สิทธิเลือกตั้งกันอย่างพร้อมหน้า
พล.อ.ประยุทธ์ เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า ถ้ามีประชาชนบาดเจ็บล้มตาย รัฐบาลในฐานะผู้มีอำนาจจัดการ จะต้องรับผิดชอบ แต่จนบัดนี้ มีผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมแล้ว 20 คน บาดเจ็บอีก 730 คน พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เคยแสดงท่าทีกดดันให้รัฐบาลออกมารับผิดชอบแต่อย่างใด
เหตุการณ์วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 มีประชาชนฝ่ายผู้ชุมนุมถูกยิงเสียชีวิต 5 คน ตามด้วยวันที่ 22 คนร้ายกราดยิงอาวุธเข้าใส่เวที กปปส.ที่จังหวัดตราด และวันที่ 23 กุมภาพันธ์ คนร้ายยิงระเบิดเข้าใส่ด้านข้างเวทีราชประสงค์ ทำให้เด็กและผู้หญิงเสียชีวิตหลายคน นายสุเทพถึงกับหลั่งน้ำตาบนเวทีปราศรัยวิงวอนให้ทหารออกมาปกป้องประชาชน แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการตั้งบังเกอร์ 176 จุดทั่วกรุงเทพฯ ที่มีอยู่ก่อนแล้ว แถมเมื่อนายกฯ บอกว่า การตั้งบังเกอร์ทำให้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ผบ.ทบ.ก็สั่งให้มีการนำดอกไม้มาประดับตกแต่งให้ดูอ่อนโยนลงตาม
ยิ่งไปกว่านั้น ปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ากองทัพไม่ได้อยู่เคียงข้างมวลมหาประชาชนเลย ก็คือการย้าย พล.ร.ต.วินัย กล่อมอินทร์ ให้พ้นจากตำแหน่งผู้บังคับการหน่วยสงครามพิเศษทางเรือ (ผบ.นสร.) หรือ หน่วยซีล เพราะเห็นว่า พล.ร.ต.วินัยได้แสดงท่าทีสนับสนุนแนวทางของมวลมหาประชาชนอย่างชัดเจนและกล้าหาญ และยังมีกระแสข่าวว่าได้จัดกำลังมาคุ้มกันผู้ชุมนุมด้วย
ประกฏการณ์เหล่านี้ ดูเหมือนนายสุเทพพยายามทำเป็นมองไม่เห็น เพราะยังหวังว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เขาจะดึงเอากองทัพให้มาอยู่กับมวลมหาประชาชนได้
แต่นั่นก็ยังคงเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ นั่นเพราะผู้นำเหล่าทัพยังคงยึดมั่นในแนวทาง “แทงกั๊ก”ต่อไป
เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ได้แถลงข่าวตอนหนึ่งกรณีที่มีทหารถูกตำรวจจับพร้อมอาวุธปืนว่า ผบ.ทบ.สั่งการกำชับและเน้นย้ำในเรื่องนี้อย่างชัดเจนอยู่ตลอดเวลา และกำชับอย่างเด็ดขาดว่า ไม่ให้มีทหารไปยุ่งเกี่ยวกับทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม เรายืนอยู่ตรงกลาง ดูแลประชาชนทุกส่วน ทุกหมู่เหล่า แต่เมื่อมีทหารบางคนนอกลู่นอกทางออกไป เราก็จะดำเนินการเต็มที่ เมื่อตำรวจจับมา หากมีความผิดมากก็ต้องปลดไป เพราะถือว่ามีการสั่งการแล้ว แต่ถ้ายังมีกำลังพลส่วนไหนที่ยังดื้อออกไปทำผิดกฎหมาย เราจะดำเนินการตามกฎหมายอยู่แล้ว
นอกจากนี้ในการประชุมติดตามสถานการณ์ประจำวันที่กองบัญชาการกองทัพบก ที่มี พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธาน พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวกรณีกำลังพลถูกจับพร้อมอาวุธว่า หากถูกจับกุมก็ต้องถูกดำเนินคดี ซึ่งทางหน่วยต้นสังกัดไม่สามารถเข้าไปดูแลได้ เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัว และหากกำลังพลเข้าไปร่วมชุมนุมโดยมีการพกอาวุธนั้นถือว่าทำให้กองทัพเสียชื่อเสียง จะต้องได้รับโทษทางอาญาและทางวินัย พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ผู้บังคับหน่วยเพ่งเล็งเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยให้ ผบ.หน่วยดูแลและควบคุมการใช้อาวุธในคลังอาวุธ หากกำลังพลนำอาวุธของกองทัพออกมาใช้โดยไม่มีคำสั่งทางราชการ ทางผู้บังคับหน่วยต้องรับผิดชอบ
คำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ยิ่งเห็นชัดว่า ผบ.เหล่าทัพขออยู่ตรงกลางเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น
พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้สัมภาษณ์กรณี กปปส.นัดชุมนุมใหญ่วันที่ 29 มีนาคม และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่วันที่้ 5 เมษายนว่า หากไม่มีการทำผิดกฎหมายก็สามารถชุมนุมได้อยู่แล้ว เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญ แต่มองว่าทั้งสองฝ่ายมีการทำผิดด้วยกันทั้งคู่
“...ต้องมีวิสัยทัศน์ไปข้างหน้าว่า ประเทศชาติจะเดินได้อย่างไร จะแก้ปัญหาอย่างไร ใครจะเป็นผู้เสียสละ ใครจะเป็นผู้ยอมเล็กน้อยเพื่อให้ได้ความสงบสุขคืนมา แต่ผมไม่รู้ว่า ใครจะต้องเป็นคนเสีย และใครเป็นคนยอม ถ้าคิดว่า เสียเปรียบหรือพ่ายแพ้ไม่มีวันจบ แต่ถ้าคิดว่าเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นใคร มันก็คือ เหตุการณ์จบแล้วค่อยไปแก้กันต่อ ดีกว่าเอามายันกันอย่างนี้ ถ้ารบกันทั้งสองฝ่ายเจ็บตายทั้งคู่ และจะไม่มีใครได้อะไร ไม่มีใครชนะ บ้านเมืองก็นิ่งสนิทอยู่แบบนี้” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
ซึ่งก็สอดคล้องกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่โพสต์เฟซบุ๊กในวันเดียวกันว่า อยากให้ทั้งสองฝ่ายหยุดการสูญเสียโอกาสหยุดความเสียหายทางเศรษฐกิจ โดยยกเอากรณีความล่าช้าในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอินเดียเป็นตัวอย่าง
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ยังให้สัมภาษณ์ว่า กองทัพจะเดินไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ และหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์จะขอใช้พื้นที่กองทัพอากาศในการจัดการประชุม ก็พร้อมดำเนินการ
ถึงวันนี้ นายสุเทพในฐานะแกนนำ กปปส.น่าจะตาสว่างเสียทีว่า ผู้นำเหล่าทัพไม่ได้ยืนอยู่ข้างมวลมหาประชาชนอย่างที่นายสุเทพฝันจะให้เป็นเลย
โดยเฉพาะคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ว่า “ทั้งสองฝ่ายมีการทำผิดด้วยกันทั้งคู่” มันก็ขัดแย้งกับแนวทางของมวลมหาประชาชนอยู่แล้ว
นายสุเทพและมหาชนเรือนล้านต่างเชื่อมั่นว่า การเดินหน้าโค่นล้มระบอบทักษิณและปฏิรูปประเทศไทย เป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่เมื่อ ผบ.ทบ.บอกว่า “ผิดทั้งคู่” ก็เท่ากับบอกว่า แนวทางของมวลมหาประชาชนก็ผิดเช่นกัน
นี่จะเป็นกรรมเก่าของนายสุเทพที่กลับมาสนองคืนหรือไม่ เพราะนายสุเทพเคยพูดเมื่อครั้งที่ตนเองยังอยู่ในตำแหน่งรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงว่า ทั้งคนเสื้อเหลืองเสื้อแดงต่างก็เป็นปัญหาของประเทศ
นายสุเทพจะแก้ปมนี้อย่างไร จะปรับยุทธวิธีของ กปปส.อย่างไร จะต้องทำโดยด่วน เพราะวิธีการเดิมๆ อย่างการนัดชุมนุมใหญ่วันที่ 29 มีนาคมนี้ ฟันธงได้เลยว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต่างจากการชุมนุมใหญ่ 3 ครั้งที่ผ่านมา แม้จะสามารถระดมคนมาได้มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ก็ตาม