ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -เหตุเกิดเพลิงไหม้บ่อขยะ ซอยแพรกษา จ.สมุทรปราการ บนพื้นที่ 150 ไร่นั้น เข้าขั้นวิกฤติหนัก เพราะหมอกควันพิษได้แผ่ขยายปกคลุมลามไปถึง 6 เขต กทม. ทำให้ชาวบ้าน 3 ชุมชน 1,480 ครอบครัว ต้องอพยพหนีจ้าละหวั่น อาศัยศูนย์อพยพที่ตั้งอยู่อบต.(องค์การบริหารส่วนตำบล) แพรกษาเป็นที่พักพิงชั่วคราวไปก่อน
นักผจญเพลิงยังคงฝ่าวิกฤติครั้งนี้เข้าไปสกัดยับยั้งเหตุที่เกิดขึ้นติดต่อกันแล้ว 5 วันด้วยกัน แต่ก็ไม่วายยังคุกรุ่น ต้องใช้รถเข้าไปตักขยะที่ปะทุขึ้นมาพร้อมกับฉีดน้ำดับ รวมทั้งใช้เฮลิคอปเตอร์ตักน้ำมาโปรย ลงกลางบ่อขยะ ก็ยังไม่สามารถระงับเหตุเผาไหม้ที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขได้เข้าให้การช่วยเหลือแจกผ้าปิดจมูก รวมถึงตั้งหน่วยแพทย์บริการเคลื่อนที่ให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษ
กระนั้นก็ดี สิ่งที่น่าวิตกกังวลไปกว่านั้นอยู่ตรงที่การกระจายตัวของควันและสารพิษที่ลมทะเลพัดจากทิศใต้ไปทางทิศเหนือยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง และชาวบ้านบละแวกใกล้เคียงที่เป็นกลุ่มเสี่ยง อาทิ หญิงตั้งครรภ์ เด็กเล็ก ผู้สูงวัย ผู้มีโรคประจำตัว ต้องมีชิวิตอยู่อย่างเดือดร้อน และถ้าหากกระแสลมมีการเปลี่ยนทิศทาง พัดลงมาทางใต้บริเวณนิคมอุตสาหกรรมบางปู ซึ่งบริเวณดังกล่าวมีชุมชนตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก ก็จะมีผู้ได้รับผลกระทบมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษซึ่งลงพื้นที่ทำการตรวจวัดห่างจุดเกิดเหตุในรัศมี 200 เมตร พบว่า ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์และก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซต์ อยู่ในเกณฑ์ทำให้เกิดพิษเฉียบพลัน การวัดโดยตรงที่กองขยะพบควันพิษสูงเกินมาตรฐานสูงถึง 6 เท่า หรือ 175 พีพี เอ็ม ซึ่งถ้าหากสูดดมเข้าไปมากๆ จะวิงเวียน หัวใจเต้นเร็ว แน่นหน้าอก ถึงขั้นหมดสติ และเสียชีวิตได้
ความหายนะดังกล่าว จึงนับว่าเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย และเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีเหตุเพลิงไหม้บ่อขยะแบบเดียวกันนี้มาแล้ว ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อปี 2555 ถึงกับต้องระดมนักผจญเพลิงรวมถึงรถแบ็กโฮมาดับควันไฟบ่อขยะ โดยกว่าจะสงบลงได้ก็ใช้เวลาหลายวัน เช่นเดียวกับเหตุเพลิงไหม้บ่อขยะแพรกษา
สังคมจึงตั้งคำถามต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เหตุใดจึงเกิดความผิดพลาดซ้ำ รอยอีกได้?
และที่สำคัญ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุเพลิงไหม้บ่อขยะ แพรกษา เคยมีชาวบ้านร้องเรียนต่อดีเอสไอไปแล้วว่า มีการลักลอบนำกากขยะพิษมาทิ้ง ส่งกลิ่นเหม็นและก่อมลภาวะรบกวนชุมชน ซึ่งในเรื่องดังกล่าวทางดีเอสไอได้ชี้แจงว่า การขออนุญาตทิ้งขยะในจุดดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการยื่นขออนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม
แล้วความเชื่อมโยงไปถึงโรงงานอุตสาหกรรมนี้เอง ที่กำลังเป็นประเด็นวิพากษ์ วิจารณ์ของสังคมอยู่ขณะนี้ ว่ามีการลักลอบนำขยะอุตสาหกรรมบางปูมาทิ้งไว้จนเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ลุกลามดังกล่าว
สิ่งที่เกิดขึ้นจึงสะท้อนถึงความเพิกเฉยในเรื่องนโยบาย ข้อบังคับ และบทลงโทษในด้านการจัดการขยะและกากของเสีย ซึ่งไฟจากหลุมฝังกลบ (Landfill fire) เป็นภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อมที่มีมายาวนาน และจะไม่มีทางเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้เลย หากมีการแยกหลุมฝังกลบขยะเทศบาล (Municipal Waste Landfill) และหลุมฝังกลบอุตสาหกรรม (Industrial Waste) พร้อมกับดำเนินการอย่างเคร่งครัด
ด้านความเสียหายที่เกิดขึ้น นายอิม แพหมอ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ได้แสดงความคิดเห็นถึงต้นตอปัญหาที่เกิดขึ้นว่า...
“ขยะที่อยู่ในบ่อที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ ไม่ทราบเช่นกันว่ามาจากไหน น่าจะเป็นขยะทั่วไปตามบ้านเรือนหรือว่าเป็นพลาสติกจำพวกขยะแห้งบ้างอะไรบ้าง เหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในเรื่องควันอย่างเดียว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการพยายามดับไฟให้หมดมันก็หมด ส่วนประชาชนที่เดือดร้อนเราก็เอารถมารับออกไปพักที่ศูนย์อพยพของ อบต. ซึ่งเราก็ดูแลอย่างดี ส่วนในเรื่องว่าไฟจะสงบลงเมื่อไหร่ก็ยังคงบอกไม่ได้แต่ก็จะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ขณะนี้เราก็ระดมเครื่องจักรทั้งรถน้ำ เฮลิคอปเตอร์ และรถแม็กโคแบบสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก เข้ามาช่วยอีก”
ดูเหมือนว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบยังมืดแปดด้านเกี่ยวกับปัญหาไฟไหม้บ่อขยะแพรกษาแห่งนี้ ทั้งที่ชาวบ้านยืนยันว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมแอบลักลอบนำมาทิ้ง
สอดคล้องกับ ดร.สุรพล ซามาตย์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้แจงถึงสาเหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ว่า “ขยะที่นำมาทิ้งในบ่อแห่งนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นขยะทั่วไป จากบ้านเรือนประชาชน ที่เกิดไฟไหม้เกิดจากก๊าซมีเทน ในบ่อฝังขยะทุกบ่อจะมีการย่อยสลาย เพราะก๊าซมีเทนจะมีประมาณ 40-50 เท่า แล้วแต่ว่าขยะจะเป็นอะไร ก๊าซมีเทนก็คือก๊าซหุงต้มอาหารสามารถติดไฟได้ เมื่อเกิดการติดไฟขึ้นจะทำให้ดับยาก ขยะทีมีการฝังกลบไม่เป็นไปตามสุขลักษณะและวัตดุที่ติดไฟง่าย จะสร้างปัญหาให้เป็นอาทิตย์ เราจะทำการตรวจสอบในส่วนของขยะภาคอุตสาหกรรม ถือว่านำมาฝังกลบไม่ถูกต้อง ทางอุตสาหกรรมได้รับคำสั่งให้เข้าตรวจสอบดูแลในครั้งนี้ ว่าได้รับอนุญาตหรือไม่ จากการตรวจของทะเบียนพบว่ายังไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นบ่อขยะเก่า บ่อขยะชุมชน ของเขตนี้ และจะตรวจสอบดูว่าขยะที่เอามาทิ้งเป็นขยะประเภทไหน ถ้าขยะของพวกโรงก็ถือว่าฝังกลบแบบไม่ถูกต้อง”
ในขณะที่ นายภูวิช ยมหา พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า
“ ทางเราได้ทำการสอบสวนเรื่องนี้ โดยเรื่องบ่อขยะในสมุทรปราการทั้งหมด บ่อนี้เป็นบ่อหนึ่งในเบื้องต้นเราได้เรียกผู้เกี่ยวข้องไปทำการสอบปากคำเบื้องต้นแล้ว และพบว่าบ่อขยะที่เกิดเหตุบ่อนี้ มีการลักลอบมาจากนิคมอุสาหกรรมบางปู นำขยะมาทิ้ง เท่าที่ดูเห็นว่ามีขยะประเภท ขยะอุตสาหกรรม ซึ่งต้องปฎิบัติตามกฎกระทรวง ซึ่งตรงมันเกิดปัญหาขึ้นมาก่อน จึงต้องทำการดำเนินคดีกับเจ้าของบ่อขยะที่เกิดเหตุนี้ ทางเราจะทำการตรวจสอบรอบที่เกิดเหตุ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาสอบ เท่าที่ตรวจสอบด้วยสายตามีผลกระทบทั้งหมดเพราะมันรุนแรงมาก เพราะควันขยะไปไกลมาก อาจจะไปไกลถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนการดำเนินคดีนั้นจะดำเนินคดีในข้อหาลักลอบทิ้งขยะ พรบ .โรงงาน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายคดี และขอให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบสามารถมาแจ้งความเพื่อดำเนินคดีต่อเจ้าของบ่อได้”
ทั้งนี้ เมื่อหมอกควันพิษจางลง สิ่งที่สังคมต้องติดตามอย่างใกล้ชิดก็คือ ใครควรแสดงความรับผิดชอบ ใครคือเจ้าภาพที่จะสืบหาต้นตอของปัญหา และสุดท้ายแล้วจะสามารถจับตัวผู้กระทำผิดที่เป็นสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้มาลงโทษได้หรือไม่