xs
xsm
sm
md
lg

FBIประสานไทยสกัดพาสปอร์ตเก๊

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ผบ.ตร.เรียกถกพาสปอร์ตปริศนาที่เกี่ยวโยงเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ สูญหาย ยันเคยแจ้งหาย ที่จ.ภูเก็ต “ตำรวจสากล” เตือนภัยจุดอ่อนในระบบรักษาความปลอดภัยของทั่วโลก เหตุเจ้าหน้าของประเทศส่วนใหญ่พากันละเลย ไม่ทำการตรวจสอบหนังสือเดินทางที่ถูกขโมย ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยและเจ้าหน้าที่ FBI สหรัฐฯ ได้ประสานความร่วมมือในการสืบหาเครือข่ายพาสปอร์ตปลอมที่เชื่อมโยงกับการหายไปของเครื่องบิน MH 370

จากกรณีเครื่องบินสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 ซึ่งเดินทางออกจากสนามบินนานาชาติกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อกลางดึกของวันเสาร์ (8 มี.ค.) เพื่อไปยังปลายทางกรุงปักกิ่ง เกิดสูญหายไร้ร่องรอยขณะบินอยู่เหนือน่านน้ำระหว่างเวียดนามและมาเลเซีย หลังเครื่องบินเทกออฟไปได้ราวๆ 1 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้ หลายประเทศได้ส่งกำลังทางเรือและอากาศค้นหาติดต่อกันเป็นวันที่ 3 (10 มี.ค.)

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการสืบสวนสอบสวน ก็ได้เริ่มจากประเด็น “ก่อการร้าย” เมื่อพบว่าผู้โดยสารอย่างน้อย 2 คนขึ้นเครื่องบินด้วยหนังสือเดินทางที่ขโมยมาจากบุคคลอื่น โดยเจ้าของหนังสือเดินทางที่แท้จริงซึ่งเป็นชาวอิตาลี และชาวออสเตรียยังคงปลอดภัยดี

***คาดพาสปอร์ตถูกฉกไม่ผ่านตม.

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เรียกหน่วยที่เกี่ยวข้องด้านความมั่นคง ประชุมกำหนดแนวทางการช่วยเหลือกู้ภัยเครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ที่สูญเสียการติดต่อ โดยมี พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผู้บัญชาการสันติบาล (ผบช.ส.)พล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว ผู้บัญสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (ผบช.สพฐ.ตร.) ตำรวจกองการต่างประเทศ ตำรวจน้ำ ตำรวจท่องเที่ยว ร่วมประชุม โดยมีการเชื่อมโยงสัญญานทางไกล ไปยัง กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8(บช.ภ.8) กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต(บก.ภ.จว.ภูเก็ต)โดยมีนายลูจิ มาราดี้ ชาวอิตาเลียนเจ้าของหนังสือเดินทาง หรือ พาสปอร์ตที่สูญหาย แต่ถูกใช้ปลอมแปลงขึ้นเครื่องบิน ร่วมคอนเฟอร์เร๊นซ์ด้วย โดยใช้เวลาประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมง

พล.ต.ท.ภาณุ กล่าวก่อนประชุมว่า จากการตรวจสอบดจ้าของพาสปอร์ต ทั้ง2ฉบับ นั้นพบว่าสูญหายในประเทศไทยจริง มีการแจ้งหายไว้ โดยทั้งชาวอิตาเลี่ยน และออสเตรีย เจ้าของพาสปอร์ต เดินทางเข้าในประเทศไทยจริง กรณีนายลูจิ มาราดี ชาวอิตาเลี่ยนนั้น เข้าออกประเทศไทย5ครั้งแล้ว ส่วนครั้งที่พาสปอร์ตหายเดินทางเที่ยวจ.ภูเก็ต นำพาสปอร์ตไปใช้เช่ารถจักรยานยนต์แล้วหายไป จึงแจ้งหายที่ภูเก็ต ต่อมาติดต่อสถานทูตทำหนังสือเดินทางชั่วคราว และติดต่อที่สตม.1แจ้งวัฒนะ เพื่อปรับเปลี่ยนดวงตรา เข้า-ออก ในหนังสือเดินทางก่อนเดินทางออกไป และกลับไปทำพาสปอร์ตเล่มใหม่ที่ประเทศตนเอง ทั้งนี้ในระบบ PIBICS ของสตม.ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมโยงข้อมูลทุกด่านของประเทศ ได้บันทึกข้อมูลนี้ไว้ในระบบแต่แรก ว่าหนังสือเดินทางของนายลูจิ เล่มที่หายนั้นยกเลิกแล้ว ซึ่งยืนยันว่าไม่มีการใช้พาสปอร์ตเล่มที่หายเดินทางออกนอกประเทศไทย แต่อย่างใด สำหรับรายที่2นายคริสเตียน โครเซล ชาวออสเตรีย นั้นเข้าไทยในปี 2555 พาสปอร์ตหายที่โรงแรม ที่จ.ภูเก็ต จากนั้นไปทำพาสปอร์ตชั่วคราวที่สถานทูตฯ ใช้พาสปอร์ตชั่วคราวออกนอกประเทศไป และไม่เข้าประเทศไทยอีกเลย ต่างจากรายแรกที่ปัจจุบันกลับมาเที่ยวที่จ.ภูเก็ต

ผบช.สตม.กล่าวว่า สำหรับหนังสือเดินทางทั้ง 2เล่ม หลังจากแจ้งหายไม่พบว่ามีการถูกใช้เดินทางออกนอกประเทศแต่ประการใด เป็นไปได้ว่าหนังสือเดินทางที่เมื่อถูกขโมยไปอาจส่งผ่านพัสดุไปรษณีย์ หรือนำติดตัวออกไป โดยไม่ผ่านระบบตรวจคนเข้าเมืองแล้ว

เมื่อถามถึงกรณีที่พบว่ามีการนำพาสปอร์ตของทั้ง 2 คน ฉบับที่หายไป ไปใช้ซื้อตั๋วเครื่องบิน เที่ยวบินที่หายไป โดยซื้อจากเอเย่นต์ ในพัทยา จ.ชลบุรี ผบช.สตม. กล่าวว่า การซื้อตั๋ว ซื้อได้หลายวิธีการ ทั้งทางอินเตอร์เน็ต หรือผ่านเอเย่นต์ ซึ่งไม่เชื่อมโยงกับข้อมูลของสตม. ทั้งนี้การปลอมแปลงพาสปอร์ต ใช้พาสปอร์ตปลอมนั้นมีหลายวัตถุประสงค์ เช่นขอวีซ่าไม่ผ่าน ปลอมแปลงเป็นพลเมืองของอีกชาติเพื่อให้ขอวีซ่าเดินทางเข้าประเทศง่ายว่า หรืออาจไปทำเองมิดีมิร้ายก็ได้ เป็นไปได้หลายวัตถุประสงค์

***‘ตำรวจสากล’ ระบุมี ‘ฐานข้อมูลพาสปอร์ตถูกขโมย’

ตำรวจสากล (อินเทอร์โพล) ระบุว่า รายละเอียดของหนังสือเดินทางทั้ง 2 เล่ม ซึ่งเล่มหนึ่งเป็นของชาวออสเตรีย อีกเล่มหนึ่งเป็นของชาวอิตาลี ได้ถูกนำไปบรรจุไว้ในฐานข้อมูล “เอกสารการเดินทางถูกโจรกรรมและสูญหาย” ของทางตำรวจสากลแทบจะในทันที หลังจากมีการแจ้งความว่ามันสูญหายไปเมื่อปี 2012 และปี 2013 ตามลำดับ

“นี่คือสถานการณ์ที่เราเคยวาดหวังเอาไว้ว่าจะไม่ต้องประสบพบเห็น เป็นเวลาตั้งหลายปีมาแล้วที่ตำรวจสากลตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศต่างๆ จึงรอคอยให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นมาเสียก่อน แล้วจึงค่อยนำมามาตรการรักษาความปลอดภัยที่รอบคอบรัดกุม มาใช้กับด่านชายแดนและประตูผ่านไปขึ้นเครื่องบิน” โรนัลด์ โนเบิล เลขาธิการองค์การตำรวจสากล กล่าวในวันอาทิตย์ (9 มี.ค.)

***“ตำรวจไทย” ร่วม FBI สืบเครือข่ายพาสปอร์ตปลอม

ย่างเข้าวันที่ 3 แล้วในความพยายามค้นหาเครื่องบินที่หายไปเหนือทะเลจีนใต้ของเที่ยวบินMH 370 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ยังไม่คืบหน้า ในขณะที่ตำรวจไทยได้เริ่มการสอบสวนเครือข่ายพาสปอร์ตปลอมที่อยู่บนเกาะภูเก็ต ซึ่งเป็นสถานที่พาสปอร์ตของทั้งคริสเตียน โคเซล ชาวออสเตรีย และลุยจิ มารัลดี ชาวอิตาลีถูกขโมยไป

“การปลอมแปลงเอกสารสำคัญทุกประเภทนั้นทำอย่างกว้างขวางทั่วไปซึ่งมีไทยเป็นศูนย์กลาง” สตีฟ วิคเกอร์ส ซีอีโอบริษัทที่ปรึกษาด้านความปลอดภัย สตีฟ วิคเกอร์ส แอนด์ แอสโซซิเอสเตส (SVA) ที่มีฐานอยู่ในฮ่องกองได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิพม์วอลสตรีทเจอร์นัล และเสริมต่อว่า “เป็นเรื่องง่ายมากที่จะเอาหนังสือเดินทางที่ถูกขโมยหรือหนังสือเดินทางปลอมมาใช้ ซึ่งในกรณีนี้ หนังสือเดินทางเป็นของจริงแต่ทว่าผู้ถือเป็นคนอื่น”

และเมื่อตอบข้อสงสัยที่ว่า เป็นการง่ายหรือไม่ที่จะหาหนังสือเดินทางที่ถูกขโมยหรือเอกสารปลอมมาใช้ วิคเกอร์สตอบกลับว่า “เป็นที่น่าเสียดายว่ากรุงเทพเป็นเมืองเปิด มีถนนหลายสายในกรุงเทพเป็นแหล่งทำเอกสารปลอมพวกนี้ มีตั้งแต่บัตรประจำตัวลูกเรือสายการบินจนถึงใบขับขี่รถยนต์ในสหรัฐฯ แต่ว่าเอกสารปลอมพวกนี้ใช้ในอาชญากรรมฉ้อโกงมากกว่าที่จะใช้ในด้านอื่น เช่น ก่อการร้าย”

ซึ่งวิคเกอร์สเชื่อว่าเหตุที่ไทยเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมการปลอมแปลงเอกสารสืบเนื่องมาจากความย่อหย่อนในการบังคับใช้กฏหมายของไทย ซึ่งจากระบบกฎหมายของไทยนั้นเป็นการยากที่จะเอาผิดผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม วิคเกอร์สยังเชื่อว่าเป็นการยากที่คนทั่วไปจะใช้พาสปอร์ตปลอมขึ้นเครื่องสายการบินระหว่างประเทศ

และนอกจากนี้สหรัฐฯได้ส่งเจ้าหน้าที่ FBI เดินทางมายังไทยเพื่อร่วมสืบสวนกับตำรวจท้องถิ่นถึงเครือข่ายพาสปอร์ตปลอม ท่ามกลางความวิตกว่าการหายไปของสายการบิน MH 370 นั้นอาจเป็นฝีมือผู้ก่อการร้าย

นอกจากนี้ยังมีรายงานพบว่าตั๋วเครื่องบินอี-ทิกเก็ตที่ออกสำหรับหนังสือเดินทางสัญชาติอิตาลีและออสเตรียที่ถูกขโมยทั้ง 2 เล่มนั้นถูกซื้อโดยใช้เงินสดเป็น “สกุลเงินบาท” และทำการซื้อที่บริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในพัทยา

และยังพบว่า โอเปอร์เรเตอร์ของสายการบิน KLM ที่อยู่ในจีนนั้นได้ยืนยันในวันอาทิตย์(9)ว่า ทั้งพาสปอร์ตของมารัลดีและโคเซลได้ใช้ซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียวของสายการบิน KLM ในไฟลท์เที่ยวเดียวกันเพื่อจะบินออกจากปักกิ่งไปยังอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ ในวันเสาร์(9)

ซึ่งพาสปอร์ตของโคเซลจะต้องต่อเครื่องไปยังแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมัน ในขณะที่พาสปอร์ตของมารัลดีนั้นมุ่งหน้าไปที่โคเปนเฮเกน เดนมาร์ก โดยโอเปอร์เรเตอร์ของสายการบิน KLM ได้เผยต่อว่า คนทั้งคู่ได้บุ๊กที่นั่งผ่านสายการบินไชน่า เซาท์เทอร์น แอร์ไลน์ แต่โอเปอร์เรเตอร์หญิงคนนี้ไม่มีข้อมูลว่าซื้อตั๋วเครื่องบินจากที่ไหน

ด้านตำรวจอินเตอร์โพลได้ตำหนิเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของมาเลเซียที่สับเพร่าปล่อยให้ผู้โดยสารปลอมขึ้นเครื่องได้

และคาลิด อาบู บาการ์ (Khalid Abu Bakar) ผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซีย ได้กล่าวในวันจันทร์(10)ว่า หนึ่งในสองของผู้โดยสารต้องสงสัยที่แอบใช้พาสปอร์ตปลอมนั้นไม่ใช่ชาวมาเลย์ นอกจากนี้ผู้โดยสารที่ต้องสงสัยอีก 2 คนใช้หนังสือเดินทางยุโรปที่คาดกันว่า อาจจะเป็น "พาสปอร์ตยูเครน" อ้างจากรอยเตอร์และเอเอฟพี

“ทางมาเลเซียได้ดูกล้องวงจรปิดอย่างละเอียด และยังได้สอบถามเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมาเลเซียที่ปล่อยให้ผู้โดยสารปลอมขึ้นเครื่อง” แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่มาเลย์เผย พร้อมกับให้สัมภาษณ์ The Star ต่อไปว่า “ในเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่า เกิดรั่วทางระบบรักษาความปลอดภัยขึ้น”
“ตำรวจไทย” ร่วม FBI สืบเครือข่ายพาสปอร์ตปลอมเชื่อมโยง “มาเลเซีย แอร์ไลน์ส” อึ้ง จ่ายค่า “ตั๋วอี-ทิกเก็ต” เป็นเงินบาท จุดหมายสุดท้ายสู่ “ยุโรป”
“ตำรวจไทย” ร่วม FBI สืบเครือข่ายพาสปอร์ตปลอมเชื่อมโยง “มาเลเซีย แอร์ไลน์ส” อึ้ง จ่ายค่า “ตั๋วอี-ทิกเก็ต” เป็นเงินบาท จุดหมายสุดท้ายสู่ “ยุโรป”
อินเตอร์บิสซิเนสไทม์ เดอะ ดิพโพลแมต หนังสือพิมพ์เทเลกราฟต์ของอังกฤษ รอยเตอร์ และเอเอฟพี ได้รายงานว่า ในขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยและเจ้าหน้าที่ FBI สหรัฐฯ ได้ประสานความร่วมมือในการสืบหาเครือข่ายพาสปอร์ตปลอมที่เชื่อมโยงกับการหายไปของเครื่องบิน MH 370 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ที่พบว่าพาสปอร์ตทั้ง 2 เล่มที่ถูกใช้ในเที่ยวบินนี้ได้ถูกใช้ซื้อตั๋วเครื่องบินอี-ทิกเก็ตด้วย “เงินบาท” และจุดหมายปลายทางสุดท้ายของการเดินทางเพื่อเข้าสู่ยุโรป และผู้โดยสารปลอม4 คนที่มีรายละเอียดอยู่ในมือกระทรวงคมนาคมมาเลเซียชี้ว่า หนึ่งในนั้นที่ถือหนังสือเดินทางปลอม “ไม่ใช่ชาวมาเลย์”
กำลังโหลดความคิดเห็น