เครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส ที่หายไปอาจหันหัวกลับจากเส้นทางในแผนการเดินทางเดิม ก่อนจะอันตรธานหายไปจากจอเรดาร์ เจ้าหน้าที่กองทัพมาเลเซียระบุวันนี้ (9 มี.ค.) ทำให้ปมปริศนาเรื่องชะตากรรมของเครื่องบินที่มีผู้โดยสารและลูกเรือ 239 ชีวิตทวีความซับซ้อนยิ่งขึ้นกว่าเดิม
บนเครื่องบินลำนี้มีผู้โดยสาร 14 สัญชาติ ซึ่งประกอบด้วยเป็นชาวจีนอย่างน้อย 152 คน ชาวมาเลเซีย 38 คน ชาวอินโดนีเซีย 7 คน ชาวออสเตรเลีย 6 คน ชาวอินเดีย 5 คนชาวฝรั่งเศส 4 คน และชาวอเมริกัน 3 คน
เป็นเวลานานกว่า 36 ชั่วโมงแล้วที่เที่ยวบิน MH 370 ที่มุ่งหน้าออกจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังกรุงปักกิ่งขาดการติดต่อไป โดยทางการมาเลเซียกล่าวว่า พวกเขากำลังกระจายกำลังกันค้นหาตามน่านน้ำมาเลเซีย และเวียดนาม พร้อมทั้งกำลังสอบสวนผู้โดยสารอย่างน้อย 2 คนที่อาจใช้เอกสารประจำตัวปลอม
ในเวลาที่ส่อเค้าว่ามีการล่วงละเมิดกฎควบคุมการบินเกิดขึ้นที่ท่าอากาศยานมาเลเซีย นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซียชี้ว่ากำลังอยู่ระหว่างทบทวนขั้นตอนรักษาความปลอดภัย แม้จะมีการส่งเรือรบ และเรือพลเรือน ตลอดจนอากาศยานร่วมหลายสิบลำออกค้นหาทุกน่านน้ำ ที่อยู่ใต้เส้นทางของเครื่องบินลำดังกล่าว ก็ยังไม่มีซากเครื่องบินปรากฏให้เห็น แม้ว่าจะมีรายงานว่าพบคราบน้ำมันรั่วในทะเลที่อยู่ทางใต้ของเวียดนาม และทางตะวันออกของมาเลเซีย
ในรายชื่อผู้โดยสารที่สายการบินเจ้านี้นำมาเปิดเผยนั้น พบว่ามีชาวยุโรปสองคน คือ คริสเตียน โคเซล ชาวออสเตรเลีย และ ลุยจิ มารัลดี ชาวอิตาลี ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียรายงานว่า ไม่ได้โดยสารมากับเครื่องบินลำนี้ ทั้งยังดูเหมือนว่าพาสปอร์ตของทั้งสองจะถูกขโมยไปตั้งแต่ 2 ปีก่อน ตอนที่พวกเขาเดินทางมาประเทศไทย
สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า ชายสองคนที่ใช้พาสปอร์ตของพวกเขาซื้อตั๋วพร้อมกัน และบินจากกรุงปักกิ่งไปที่ยุโรป ซึ่งย่อมหมายความว่าพวกเขาไม่ได้ขอวีซ่าเข้าจีน และสามารถเล็ดรอดผ่านขั้นตอนการตรวจสอบอื่นๆ ไปได้
ลูกจ้างคนหนึ่งของสำนักงานจำหน่ายตั๋วเดินทางในพัทยากล่าวกับรอยเตอร์ว่า ทั้งสองซื้อตั๋วเครื่องบินจากที่นั่น อย่างไรก็ตาม ทางด้านเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของสหรัฐฯ และยุโรปกล่าวว่า ยังไม่พบว่ามีการกระทำผิดกฎหมาย และอาจมีความเป็นไปได้อื่นๆ ที่สามารถอธิบายเรื่องพาสปอร์ตที่ถูกขโมยไปได้
***ผวา “ก่อการร้าย” ในเที่ยวบินมรณะ
จากการยืนยันของอิตาลีและออสเตรียเกี่ยวกับพลเมือง 2 คนของทั้ง 2 ประเทศที่ถูกขโมยหนังสือเดินทางในไทยที่มีรายชื่อเป็นผู้โดยสารบนเที่ยวบิน MH370ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ที่หายไปนอกชายฝั่งเวียดนามระหว่างเส้นทางบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ในมาเลเซียมุ่งหน้าสู่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย และขณะนี้ทางการมาเลเซียได้ข้อมูลของผู้โดยสาร 2 คนที่แอบใช้หนังสือเดินทางปลอมขึ้นเครื่อง รวมทั้งอีก 2 คน ซึ่งคาดว่าคนทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับ “ก่อการร้าย” กระทรวงคมนาคมมาเลเซียกล่าวในวันอาทิตย์ (9 มี.ค.)
ฮิชามุดดิน ฮุสเซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมาเลเซียแถลงว่า บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจกำลังตรวจสอบข้อมูลของผู้โดยสารอีก 2 คน นอกจากชาย 2 คนที่ใช้พาสปอร์ตซึ่งฉกมาจากชาวออสเตรเลียและชาวอิตาลี นอกจากนี้ เขาระบุด้วยว่า ได้ขอความช่วยเหลือจากสำนักงานสืบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) อย่างไรก็ตาม การก่อการร้ายนั้นเป็นเพียงหนึ่งในเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น
“ในขณะนี้หน่วยงานข่าวกรองของมาเลเซียได้ออกหาข่าว และรวมไปถึงหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้ายจากทั่วทุกประเทศที่เกี่ยวข้องได้รับการริ้องขอด้วย” ฮุสเซนกล่าววานนี้ (9 มี.ค.)
ในขณะนี้มาเลเซียกำลังตรวจสอบรายชื่อ 4 คนที่คาดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับก่อการร้าย โดยข้อมูลของคนทั้ง 4 อยู่ในมือทางการมาเลเซียเรียบร้อยแล้ว รวมไปถึง 2 ใน 4 เป็นผู้โดยสารที่ใช้หนังสือเดินทางปลอม แต่ฮุสเซนปฎิเสธที่จะเปิดเผยในรายละเอียดเนื่องจากอยู่ในระหว่างการสอบสวน แต่กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ว่าระบบรักษาความปลอดภัยรั่ว หรือ อาจเกิดเหตุจี้เครื่องบินได้
นอกจากนี้CNNพบว่า ดูเหมือนเจ้าหน้าที่มาเลเซียไม่ได้เช็กข้อมูลพาสปอร์ตที่ถูกขโมยจากฐานข้อมูลหน่วนงานตำรวจสากล และหลังจากที่สายการบิน มาเลเซีย แอร์ไลน์ส ได้เปิดเผยรายชื่อผู้โดยสารทั้งหมด 239 คนบนเครื่อง ออสเตรียได้ปฎิเสธว่า พลเมืองของออสเตรียไม่ได้อยู่บนเครื่อง โดยแถลงว่าพลเมืองประเทศตนนั้นปลอดภัย และพาสปอร์ตของเขาถูกขโมยไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว มาร์ติน ไวสส์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศออสเตรียแถลง
และสอดคล้องกับอิตาลี ที่กระทรวงต่างประเทศอิตาลีได้ยืนยันว่า ไม่มีพลเมืองอิตาลีบนเที่ยวบิน MH370 ถึงแม้จะมีรายชื่อชาวอิตาลีอยู่บนเครื่องบินที่สูญหาย โดยเจ้าหน้าที่มาเลย์เผยว่า พวกเขาตระหนักถึงรายงานรายงานที่ชี้ว่า หนังสือเดินทางของนักท่องเที่ยวอิตาลีนั้นก็ถูกขโมยเช่นกัน แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการก่อนหน้านั้น
เมื่อวันที่ 8 มี.ค. ตำรวจอิตาลีได้เดินทางไปบ้านของบิดามารดาของ ลุยจิ มารัลดี วัย 37 ที่มีชื่อเป็นผู้โดยสารบนเที่ยวบินที่ตกลงนอกชายฝั่งเวียดนาม เพื่อแจ้งถึงเที่ยวบินที่สูญหาย ตำรวจซีเซนาในอิตาลีเผย แต่ วาลเตอร์ บิดาของ ลุยจิ มารัลดี ได้เปิดเผยกับตำรวจว่า เขาเพิ่งได้คุยกับลูกชาย และยืนยันว่าบุตรชายไม่ได้อยู่บนเครื่อง และลุยจิปลอดภัยดี นอกจากนี้บิดาของลุยจิ มารัลดี ยังกล่าวว่า มารัลดีได้โทรศัพท์มาจากประเทศไทยที่เขากำลังท่องเที่ยวอยู่ในขณะนี้ และเจ้าหน้าที่ตำรวจซีเซนาได้เปิดเผยว่า มารัลดีได้แจ้งหนังสือเดินทางถูกขโมยในมาเลเซียเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และเขาได้รับหนังสือเดินทางเล่มใหม่เรียบร้อยแล้ว
แต่ทว่าแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯได้เปิดเผยกับ CNN กลับให้ข้อมูลว่า พาสปอร์ต 2 เล่มนั้นถูกขโมยในภูเก็ต ทางภาคใต้ของไทยซึ่งตรงกับรอยเตอร์ที่รายงานว่า มารดาของลุยจิ มารัลดี เปิดเผยว่า พาสปอร์ตของลูกชายถูกขโมย โดยมารัลดีได้ฝากหนังสือเดินทางไว้กับบริษัทเช่ารถที่ภูเกตและเมื่อกลับมา เขาพบว่าหนังสือเดินทางได้หายไปในขณะที่เดินทางท่องเที่ยวที่ทางภาคใต้ของไทยเมื่อ 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา
ซึ่งการขโมยพาสปอร์ตส่งสัญญาณถึงความเป็นไปได้ว่า อาจจะเชื่อมโยงกับการก่อการร้าย และได้เปิดเผยต่อไปว่า ทางสหรัฐฯได้ตรวจสอบฐานข้อมูลกับเจ้าของพาสปอร์ตที่ถูกขโมยแล้ว ไม่พบว่าพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องอันใด
ในขณะนี้หน่วยงาน FBI เตรียมพร้อมที่จะเดินทางเข้ามาเลเซียแล้วหากมีการร้องขอจากรัฐบาลมาเลเซีย แต่ในขณะนี้ยังไมามีหน่วยงานใดส่งออกไป แหล่งข่าวสหรัฐฯเปิดเผยต่อเมื่อวันเสาร์ อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯยังไม่ตัดประเด็น “ก่อการร้าย” หรืออื่นใด ในสาเหตุที่ทำให้เที่ยวบินนี้หายไป และพบว่าในเช้าเมื่อวานนี้(8)เจ้าหน้าที่ FBI ได้มุ่งหน้าไปเพื่อช่วยเหลือสอบสวนการสูญหายของเที่ยวบิน
และทอม ฟูเอนเทส อดีตผู้ช่วยอำนวยการ FBI และปัจุบันนักวิเคราะห์ของ CNN ได้เปิดเผยว่า แหล่งข่าวจากอินเตอร์โพลชี้ว่า มีรายงานแจ้งการสูญหายของหนังสือเดินทางชาวออสเตรีย แต่ไม่พบการแจ้งสูญหายของหนังสือเดินทางชาวอิตาลี และเป็นที่แน่ชัดว่าเจ้าหน้าที่มาเลย์ไม่ได้เช็กดาต้าเบสพาสปอร์ตสูญหายของอินเตอร์โพล แหล่งข่าวเผยกับ ฟูเอนเทส
นอกจากนี้ฟูเอนเทสกล่าวว่า “เป็นคำถามว่าใครเป็นคนใช้พาสปอร์ต ใช้เพื่อจุดประสงค์ใด พวกเขาใช้พาสปอร์ตปลอมในการเช็กกระเป๋าเดินทางที่ตรงกับตั่วโดยสายเครื่องบิน และบางทีกระเป๋าพวกนั้นอาจมีระเบิดอยู่ในนั้น” นอกจากนี้ฟูเอนเทสยังกล่าวเสริมว่า “สหรัฐฯเช็กหนังสือเดินทางกับดาต้าเบสพาสปอร์ตหายของอินเตอร์โพลอย่างสม่ำเสมอ”
***ชาวอิตาลียันพาสปอร์ตหายที่ภูเก็ต
จากกรณีที่มีเจ้าของพาสปอร์ตจำนวน 2 รายคือนาย Christan Kozel อายุ 30 ปี ชาวออสเตรีย กับนาย Luigi Maraldi อายุ 37 ปี ชาวอิตาลี ออกมาระบุว่า ไม่ได้เดินทางไปกับเครื่องบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน MH 370 ซึ่งสูญหายไปเมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมาและยังมีชีวิตอยู่ แต่อาจมีผู้นำพาสปอร์ตของเขาไปใช้ เนื่องจากพาสปอร์ตสูญหายในช่วงที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย และได้แจ้งความหายไว้ด้วย และมีรายงานข่าวแจ้งว่าในส่วนของนาย Luigi Maraldi เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่ภูเก็ต
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.ภ.8 กล่าวว่า หลังจากทราบเรื่องได้ประสานความร่วมมือกับ ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ตำรวจชุดสืบสวน สภ.กะทู้ ผกก.ตม.เมืองภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจสอบข้อมูลกรณีที่มีผู้กล่าวอ้างว่ามีการแจ้งความพาสปอร์ตหายไว้ที่ จ.ภูเก็ตจริงหรือไม่
จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่ากรณีของนาย Luigi Maraldi อายุ 37 ปี ชาวอิตาลีนั้น พบมีการแจ้งความหนังสือเดินทางหายไว้หายไว้ที่ สภ.กะทู้ เมื่อ 25 ก.ค.56 แต่พาสปอร์ตหายเมื่อ 22 ก.ค.56 ขณะที่รายของนายคริสเตียน โคเซล อายุ 30 ปีชาวออสเตรียขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบว่าแจ้งหายในพื้นที่ใด และจากการตรวจสอบกับทางด่านตรวจคนเข้าเมืองพบในส่วนของนาย Luigi Maraldi นั้น เดินทางกลับเข้ามาไทยอีกครั้งเมื่อวันที่ 1 มี.ค.57 และเข้าพักที่ภูเก็ต
หลังจากได้ข้อมูลแล้ว ผบช.ภ.8 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องออกตรวจสอบ จนกระทั้งเมื่อเวลา 15.30 น.เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสามารถติดตามตัวนาย Luigi Maraldi พบขณะพักอยู่ที่ภุรีนัฐเกตเฮาส์ ถนนนาใน ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต จึงได้เชิยตัวมาสอบถามข้อมูลทราบว่านาย Luigi Maraldi ได้แจ้งความพาสปอร์ตหายไว้จริงในคราวที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูเก็ต ซึ่งในครั้งนั้นได้เอาพาสปอร์ตไปเช่ารถ จยย. เมื่อนำรถมาคืนทางพนักงานแจ้งว่ามีคนมารับพาสปอร์ตไปก่อนแล้ว จึงได้ไปแจ้งความไว้ หลังจากนั้นได้เดินทางกลับประเทศโดยใช้พาสปอร์ตชั่วคราว และเดินทางกลับมาท่องเที่ยวที่ภูเก็ตอีกครั้ง เนื่องจากชอบเมืองไทย โดยเข้ามาเมื่อวันที่ 1 มี.ค.และเข้าพักที่ป่าตอง
และระหว่างที่พักอยู่ในภูเก็ตได้รับแจ้งจากครอบครัวและญาติว่า มีชื่อเป็นผู้เดินทางอยู่ในเสียการบินที่สูญหาย ก็รู้สึกตกใจ เพราะไม่ได้เดินทางไปกับสายการบินดังกล่าว และยืนยันกับทางครอบครัวไปแล้วว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่และพร้อมจะให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ในการสอบสวนหาข้อมูลเพิ่มเติมกรณีพาสปอร์ตหาย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนาย Luigi Maraldi จะเดินทางกลับประเทศวันที่ 15 มี.ค.นี้ พร้อมกับยืนยันว่าที่ผ่านมา ยังไม่เกคยเดินทางปยังประเทศมาเลเซียเลย
พล.ต.ท.ปัญญา กล่าวภายหลังสอบถามข้อมูลจากนาย Luigi Maraldi ว่า สำหรับเรื่องของพาสปอร์ตสูญหายนั้นตนได้สั่งการให้ตั้งทีมสอบสวนขึ้นมาทำงาน 1 ชุดเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเป็นการขโมยและนำออกจากประเทศ ซึ่งความจริงพาสปอร์ตที่มีการแจ้งหายแล้วไม่สามารถที่จะนำมาใช้ในประเทศไทยได้อีก ส่วนที่ประเทศอื่นนั้นไม่แน่ใจว่าสามารถนำไปใช้ได้หรือไม่
พล.ต.ท.ปัญญา กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาการแจ้งความเรื่องของพาสปอร์ตหายในพื้นที่ภูเก็ตนั้นก็มีบ้างแต่ไม่มาก เคยมีรายใหญ่เหตุเกิดในพื้นที่ ต.กะรน อ.เมืองภูเก็ต เมื่อปีที่ผ่านมาของกลุ่มสแกนดิเนียเวีย ซึ่งถูกโจรกรรม หลังจากนั้นก็มีการแจ้งความหายปกติ โดยในอดีตเคยมีการตรวจพบการซื้อขายพาสปอร์ตของชาวฝรั่งเศสกับสเปน เพื่อใช้เดินทางเข้าไปในสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันพฤติกรรมดังกล่าวไม่มีการตรวจสอบแล้ว เนื่องจากความเข้มงวดของทางเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบ
***โฆษก ทร.ผยพร้อมส่งเรือไปช่วย
เมื่อเวลา 19.30 น. วานนี้( 9 มี.ค.) พล.ร.ต.กาญจน์ ดีอุบล เลขานุการกองทัพเรือ ในฐานะโฆษกกองทัพเรือว่า ได้รับรายงานจากศูนย์ข้อมูลข่าวสารทางทะเล กองทัพเรือ ว่า เครื่องบินพาณิชย์ของสิงคโปร์ได้พบวัตถุต้องสงสัยในน่านน้ำของประเทศเวียดนามในขณะที่บินผ่าน จึงได้แจ้งพิกัดให้กับกองทัพเรือเวียดนามเข้าค้นหาว่าเกี่ยวข้องกับการสูญหายของเครื่องบินโดยสารสายการบินมาเลเซียแอร์ไลนส์หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ทางกองทัพเรือเวียดนามได้ส่งเรือเข้าค้นหาในพื้นที่ที่ได้รับแจ้งแล้ว คาดว่าจะถึงพื้นที่พิกัดในเวลา 20.30 น. วานนี้ (9 มี.ค.) ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าเป็นชิ้นส่วนของเครื่องบินดังกล่าวหรือไม่
พล.ร.ต.กาญจน์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่ทางการมาเลเซียได้สันนิฐานว่าจุดตกของเครื่องบินลำดังกล่าวน่าจะอยู่บริเวณฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง หรือบริเวณน่านน้ำเวียดนาม หรือบริเวณช่องแคบมะละกา ในพื้นที่ทะเลอันดามันนั้น ทางกองทัพเรือสิงคโปร์และกองทัพเรือเวียดนามได้เข้าค้นหาแล้วในขณะนี้ ซึ่งยังไม่พบแต่อย่างใด โดยพล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร. ได้สั่งการผ่านศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือให้เตรียมเรือหลวงปัตตานี ที่ปฏิบัติการอยู่ที่จ.พังงา และเฮลิคอปเตอร์ซุปเปอร์ลิงค์ ที่เป็นเฮลิคอปเตอร์ในการค้นหา 1 ลำ ออกเดินทางในเวลา 19.30 น. วานนี้ (9 มี.ค.) คาดว่าจะถึงพื้นที่ที่ได้รับแจ้งในเวลา 02.00 น. วันที่ 10 มี.ค.
***นักบินเป็นพวกคลั่งไคล้เครื่องบิน
นักบินของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส ซึ่งเป็นผู้ควบคุมเครื่องบินลำที่สูญหายไปนับตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (8 มี.ค.) เป็นผู้ที่หลงใหลการขับเครื่องบินโบอิง 777 มากเสียจนถึงกับใช้เวลาในช่วงวันหยุดไปกับการซ่อมบัดกรีเครื่องบินจำลองที่บ้าน เหล่าเพื่อนร่วมงานทั้งในอดีตและปัจจุบันของเขากล่าวเปิดเผย
ซอฮารี อะห์เหม็ด ชาห์ กัปตันวัย 53 ปี ของสายการบินที่พาผู้โดยสาร 239 ชีวิตมุ่งหน้าจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังกรุงปักกิ่ง ใฝ่ฝันที่จะได้เป็นนักบินมาโดยตลอด และเข้ามาทำงานกับสายการบินแห่งชาติมาเลเซียตั้งแต่ปี 1981
พวกพนักงานของสายการบินที่ทำงานร่วมกับกัปตันผู้นี้บอกว่า ซอฮารีรู้จักเครื่องโบอิง 777 ดีชนิดทุกซอกทุกมุม เนื่องจากเขามักจะฝึกซ้อมกับเครื่องจำลองที่บ้านอยู่เสมอ ทั้งนี้พวกเขาปฏิเสธที่จะเปิดเผยชื่อเนื่องจากเป็นการฝ่าฝืนนโยบายของบริษัท
นักบินร่วมของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส ที่เคยร่วมบินกับซอฮารีในอดีตเล่าว่า “เขาเป็นพวกคลั่งเทคโนโลยีการบิน คุณสามารถถามเขาได้ทุกเรื่อง เขาเป็นคนแบบนั้น”
ซอฮารีสร้างเครื่องบินจำลองโบอิง 777 ขึ้นมาที่บ้านของเขา ในชนบทแถบชานเมืองหลวงของมาเลเซีย ซึ่งเป็นบริเวณที่พนักงานของสายการบินจำนวนมากอาศัยอยู่ เนื่องจากสามารถเดินทางไปมาระหว่างท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ได้สะดวกรวดเร็ว
“เราชอบแซวเขาว่าทำไมต้องเอางานกลับไปทำที่บ้านด้วย” นักบินคนหนึ่งซึ่งรู้จักกับซอฮารีมา 20 ปีบอก
นอกเหนือจากโบอิง 777 แล้วยังมีสิ่งอื่นที่ซอฮารีหลงใหล หลักฐานชิ้นหนึ่งก็คือรูปภาพในเฟซบุ๊กของเขา ซึ่งเผยให้เห็นชายนักสะสมเครื่องบินบังคับขนาดเล็ก อย่างเฮลิคอปเตอร์เครื่องยนต์คู่น้ำหนักเบา
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่หลายคนของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ส กล่าวว่า ซอฮารีได้รับใบรับรองจากกรมการบินพลเรือนของมาเลเซีย (ดีซีเอ) ในฐานะผู้ตรวจสอบการทดสอบบินกับเครื่องบินจำลองของพวกนักบินหน้าใหม่
ทั้งนี้ เขามีชั่วโมงบินเกิน 18,000 ชั่วโมง ขณะที่ ฟาริก อับดุล ฮามิด นักบินวัย 27 ปี ที่ร่วมบินกับเขามีชั่วโมงบิน 2,763 ชั่วโมง และเข้ามาทำงานกับสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์สตั้งแต่ปี 2007
***จีนเผยมีศิลปินแห่งชาตินับสิบชีวิต
รายงานข่าว (9 มี.ค.) อ้างนายเลี่ยว เหว่ยเฉิง ประธานบริษัทอาร์ต เพนนินซูล่า เอ็นเตอร์ไพรส์ (Art Peninsular Enterprise) ของมาเลเซีย ซึ่งร่วมกับเว็บไซต์ไอบีไอซีเอ็น (ibicn.com) ของจีน จัดนิทรรศการแสดงผลงานทางศิลปะระหว่างวันที่ 4-6 มี.ค. ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ระบุว่า คณะศิลปินและผู้ติดตามชาวจีนทั้งสิ้น 29 คน อันประกอบด้วยจิตรกรและนักวาดพู่กันซึ่งเกือบทั้งหมดเป็น “ศิลปินแห่งชาติ” รวม 19 คน ญาติและคนสนิท 6 คน และเจ้าหน้าที่จีน 4 คน เป็นส่วนหนึ่งของผู้โดยสารกว่า 227 ชีวิต เที่ยวบิน MH370 ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ที่ประสบเหตุตกลงทะเลและสูญหายอยู่ในขณะนี้
นายเลี่ยวเผยว่า ยังมีศิลปินจีนอีก 6 คน ซึ่งมาร่วมจัดแสดงผลงานด้วยเช่นกัน ได้เดินทางอีกเที่ยวบินกลับถึงมหานครเซี่ยงไฮ้อย่างปลอดภัยแล้ว โดยนิทรรศการดังกล่าวจะรวบรวมผลงานของศิลปินทั่วแดนมังกร อาทิ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ซานตง เจียงซู ซื่อชวน (เสฉวน) และซินเจียง เป็นต้น มาจัดแสดงภายในงาน
“ผมพบพวกเขาครั้งสุดท้ายในเวลาราว 21.30 น. หลังจากช่วยเช็คอินเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นพอผมกลับถึงบ้านตอนหลังเที่ยงคืนนิดหน่อยก็โทรหาโหว ปัว หัวหน้าฝ่ายผู้จัดงานชาวจีน เขายังบอกว่าทุกอย่างราบรื่น” เลี่ยวกล่าว โดยโหว วัย 33 ปี ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้โดยสารของเที่ยวบินมรณะ
“ผมรู้สึกเสียใจมากเมื่อได้ทราบข่าว ทั้งที่สภาพอากาศก็เป็นปกติ มันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดถึงเลย”
ทั้งนี้ เลี่ยวเสริมว่า นิทรรศการดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว โดยคณะศิลปินจีนที่เดินทางมาร่วมงาน เช่น นายเหมิง เกาเซิง รองประธานสมาคมนักวาดพู่กันจีน และนาย Memetjan Abra จิตรกรชาวอุยกูร์จากเขตปกครองตนเองซินเจียง ชนชาติอุยกูร์
“Abra เป็นศิลปินชาวอุยกูร์คนแรกที่เรานำผลงานมาจัดแสดงในนิทรรศการ”
“เขาเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดของกลุ่ม สุภาพ และอัธยาศัยดี โดยเขาได้มอบผลงานชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญแก่บริษัทอีกด้วย”
ขณะที่ศิลปินที่อายุมากที่สุดของกลุ่มคือ นายหลิว รู่เซิง วัย 76 ปี จากนครหนันจิง (นานกิง) มณฑลเจียงซู โดยหลิวซึ่งมาพร้อมกับภรรยา เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่มีชื่อปรากฏในบรรดาผู้โดยสารของเที่ยวบินล่องหนนี้
***เลขาฯ ยูเอ็นทวีตแสดงความเสียใจ
นายบัน คี-มุน เลขาธิการสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น แสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อบรรดาญาติพี่น้องของผู้โดยสารและลูกเรือของเครื่องบินโดยสายมาเลเซียแอร์ไลนส์ ที่สูญหายไปเมื่อวานนี้ โดยโฆษกยูเอ็นทวีตข้อความดังกล่าวเมื่อช่วงสายที่ผ่านมาวันที่ 9 มี.ค. ตามเวลาประเทศไทย