ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ในขณะที่ผู้คนต่างพากันชื่นชมและยกยอปอปั้น “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก กันยกใหญ่ โดยเฉพาะ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือ กปปส. หลัง “บิ๊กตู่” สั่งให้น้องชาย “พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา” แม่ทัพภาค 3 ที่คุมพื้นที่ภาคเหนือไปจัดการและแจ้งความดำเนินคดีกับคนเสื้อแดงที่ประกาศจะแบ่งแยกประเทศด้วยการจัดตั้ง “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนล้านนา” หรือ “สปป.ล้านนา” ได้เกิดคำถามสำคัญที่สุดที่ พล.อ.ประยุทธ์จะต้องชี้แจง
นั่นก็คือ ปฏิกิริยาของกองทัพบกภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ในเรื่องการแบ่งแยกประเทศนั้น มีความเหมาะสมกับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ เพียงใด
เพราะเรื่องการแบ่งแยกประเทศคือเรื่องใหญ่ และอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ พล.อ.ประยุทธ์โดยตรง ในฐานะทหารผู้มีหน้าที่ปกป้องขอบขัณฑสีมาของประเทศ มิใช่แค่ส่งเสียงคำรามแล้วส่งลูกน้องตัวกระจ้อยร่อยเดินถือเอกสารเดินไปแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ราวกับเชื่อมั่นในประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มเปี่ยมและไม่รู้จุดยืนของมวลหมู่มะเขือเทศนั้นอยู่แห่งหนตำบลไหน
แถมเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องโคมลอย หากแต่มีหลักฐานและประจักษ์พยานยืนยันความคิดในการแบ่งแยกดินแดนชัดแจ้ง ทั้งกรณีป้ายที่เขียนข้อความ “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกเป็นประเทศล้านนา” ที่ติดตั้งอยู่ในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ และขบวนแห่ธงแดงอักษร “สปป.ล้านนา” ของกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงการรับมุขที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกันของ “นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งพูดบนเวทีปราศรัยกลุ่มคนเสื้อแดงโดยแบะท่ารับข้อเสนอการแบ่งแยกไปพิจารณา
นี่ไม่นับรวมถึงการให้สัมภาษณ์ของ “นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ” อดีต ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ระบุชัดเจนว่า แนวความคิดเรื่องการแบ่งแยกประเทศของคนเสื้อแดงนั้นแพร่สะพัดไม่ใช่เฉพาะระดับบนหากแต่ลงลึกไปถึงในระดับหมู่บ้านเลยทีเดียว
และที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้อยู่ตรงที่ ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ของคนเสื้อแดง เพราะมีการพูดถึงมาเป็นระยะๆ เริ่มตั้งแต่ “ปฏิญญาฟินแลนด์” และวาทกรรมเรื่อง “รัฐไทยใหม่” ที่โผล่ขึ้นมาจากการปลุกระดมของระบอบทักษิณ มิใช่ดังเช่นคำแก้ตัวของ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่เข้าสีข้างเข้าถูหลังทหารเข้าแจ้งความว่า ยินดีให้กองทัพตรวจสอบในเรื่องนี้ แต่ต้องตรวจสอบทุกกลุ่มเพื่อให้เกิดความยุติธรรม เพราะในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มที่มีแนวคิดเรื่องแบ่งแยกประเทศ มิได้มีหลายกลุ่ม หากแต่ชัดเจนว่ามีเพียงกลุ่มเดียวคือ “กลุ่มคนเสื้อแดงภายใต้การปกครองของระบอบทักษิณแห่งรัฐไทยใหม่” ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดปรากฏการณ์การปลดรูปบุคคลที่เคารพเทิดทูนของคนไทยทั้งชาติลง แล้วนำรูปนักโทษชายหนีคดีไปติดหราเอาไว้ในหมู่บ้านคนเสื้อแดงเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ หากตรวจสอบลงไปในรายละเอียดก็พบว่า ความเคลื่อนไหวของกองทัพบกภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ก็มิได้ “เอาจริงเอาจัง” อย่างที่ควรจะเป็น แถมยังอาจเข้าข่าย “ทำอย่างเสียมิได้” ด้วยซ้ำไป ดังจะเห็นได้จากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 ผู้เป็นน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์
4 มีนาคม 2557
พล.ท.ปรีชาให้สัมภาษณ์กรณีทหารแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนว่า “ถ้าไม่ช่วยกันดูแลก็อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือทั้งหมด กอ.รมน.ภาค 3 ไปแจ้งความไม่ได้กล่าวหาใคร เป็นหน้าที่ตำรวจจะสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ให้กระจ่าง ไม่ได้ระบุว่า ใครเป็นคนผิด เป็นหน้าที่ของตำรวจ สิ่งที่เกิดขึ้นมีการเผยแพร่ทางสื่อมวลชน เป็นการปฏิบัติงานวาระปกติ ไม่มีการสั่งการอะไรเพิเศษจากผู้บังคับบัญชา ทางตำรวจจากการประสานกับตำรวจท้องที่ก็ดำเนินการอย่างเต็มที่ทุกพื้นที่ จ.พิษณุโลกก็เช่นเดียวกัน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 กำลังสืบสวนสอบสวนอยู่ คงจะได้ผลเร็วๆ นี้”
แปลไทยเป็นไทยก็คือ หลังจากแจ้งความดำเนินคดี ความรับผิดชอบทั้งหลายทั้งปวงของกองทัพภาคที่ 3 ก็จบสิ้นลง และเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะลากคอคนผิดมาดำเนินคดีให้จงได้
หรือแปลเป็นไทยอีกชั้นหนึ่งได้หรือไม่ว่า นี่เป็นการปัดสวะและผลักภาระความรับผิดชอบไปให้ตำรวจทั้งหมด โดยเป็นวาระปกติที่มิได้มีอะไรเป็นพิเศษดังที่ พล.ท.ปรีชาให้สัมภาษณ์ไว้
แน่นอน คำถามที่ผู้น้องจันทร์โอชาจะต้องตอบก็คือ ทั้งสองคนไม่เคยได้ระแคะระคายเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนบ้างเลยหรือ เพราะไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่ชุดความคิดในทำนองนี้ปรากฏในราชอาณาจักรไทย หากแต่ดำรงอยู่มาอย่างต่อเนื่อง หรือรู้แต่ไม่สนใจ หรือรู้แต่ทำเป็นนิ่งเฉยเลยผ่าน ซึ่งถ้าได้ระแคะระคายมาบ้าง ทหารที่มีกำลังพลนับเป็นแสนๆ คนทั่วประเทศก็ย่อมต้องรู้ว่า ใครคือต้นธารแห่งความคิดและใครคือผู้ปลุกระดมมวลชนให้มีแนวคิดในทำนองนี้
กรณีหมู่บ้านเสื้อแดงที่แพร่กระจายไปในหลายพื้นที่ พร้อมทั้งนำรูปประมุขรัฐไทยใหม่ไปติดไว้แทน “รูปเดิมที่ต้องมีทุกบ้าน” คือหนึ่งในตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นร่องรอยความคิดทำนองนี้
ถ้าไปแจ้งความดำเนินคดีแบบไร้ข้อมูล ก็ย่อมแสดงว่า ทหารมิได้ตั้งใจทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ใช่หรือไม่ เพราะถ้าลองกล้าไปแจ้งความดำเนินคดีโดยอ้างความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 113 ในเรื่องของการเป็นกบฏแล้ว ย่อมต้องมีหลักฐานชัดแจ้ง
โปรดอย่าไร้เดียงสาและหวังทำตัวเป็นพระเอกให้ประชาชนดูเบาอีกเลย
ที่สำคัญคือ แทนที่จะส่งทหารตัวกระจ้อยร่อยไปแจ้งความดำเนินคดีกับร้อยเวรตามโรงพัก พล.อ.ประยุทธ์จะต้องเรียก “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้าพบ พร้อมมีคำสั่งให้ไปจัดการเสียด้วยซ้ำไป
“ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันเป็นอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้”
นั่นคือข้อความสั้นๆ ที่เขียนเอาไว้ในมาตรา 1 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และเป็นรัฐธรรมนูญที่พล.อ.ประยุทธ์จะต้องจดจำให้ขึ้นใจ มิใช่พร่ำบ่นเป็นนกแก้วนกขุนทองหรือทำตัวเป็นคนไม่มีเยื่อหู
ทั้งนี้ แหล่งข่าวทางด้านความมั่นคงให้ข้อมูลตรงกันว่า หลัง พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจในฐานะ รอง ผอ.รมน. บรรดากลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดนจริงๆ อย่างกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้นำไปเป็นประเด็นปลุกเร้ามวลชนเพิ่มเข้าไปอีก ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หรือเป็นเรื่องที่สื่อค่ายประชาชื่นพยายามมองให้เป็นเรื่องขำๆ หากเป็นกระบวนทัศน์ที่ดำรงอยู่จริง
นอกจากนี้ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ ถึงแม้ว่า แกนนำพรรคเพื่อไทย นายกรัฐมนตรี รวมถึงคนเสื้อแดงและข้าทาสบริวารของระบอบทักษิณจะดาหน้ากันออกมาปฏิเสธเรื่องการแบ่งแยกดินแดนว่า ไม่จริ๊งไม่จริง แต่ถ้าหากสังเกตถ้อยคำระหว่างบรรทัดก็จะเห็นว่า มีบางช่วงบางตอนที่มีลักษณะของการข่มขู่กองทัพเสียด้วยซ้ำไปว่า ถ้ากองทัพมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ความอัดอั้นตันใจที่ไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างที่พวกเขากล่าวอ้างอาจขยายวงลุกลามออกไปก็ได้
ดังเช่น บันทึกความเห็นต่างฯ ของ “นายพิชิต ชื่นบาน” กรรมการยุทธศาสตร์และฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยได้สำแดงเอาไว้และหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันที่ 5 มีนาคม 2557 นำมาตีพิมพ์เอาไว้ว่า “บันทึกที่เห็นต่างต่อการแสดงออกของกองทัพบกในเรื่องนี้ มีความสุจริตใจอย่างยิ่ง หาได้มีอคติใดๆ ต่อกองทัพบกเพราะกลัวจะซ้ำเติมปัญหาของประชาชนกลุ่ม สปป.ล้านนาหนักขึ้นอีกว่า ถูกเลือกปฏิบัติ ทำให้ข้อความที่ว่าประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรมร้าวลึกในหัวใจของกลุ่มบุคคลดังกล่าวและจะขยายวงหนักขึ้นต่อประชาชนอีกจำนวนมากหรือไม่”
เฉกเช่นเดียวกับเสียงตอบรับจากเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยังไม่ได้มีเสียงตอบรับอะไรๆ ออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม หนำซ้ำบางจังหวัด เช่น พิษณุโลกที่ขอเวลาหาข่าวก่อน ซึ่ง เป็นเหตุผลที่ไม่น่ารับฟัง เพราะในความเป็นจริงแล้ว ตำรวจย่อมรู้อยู่เต็มอกว่า ใครเป็นใคร หรือที่จังหวัดพะเยาที่ผู้บังคับการแม้จะออกมารับลูกแต่ก็แก้ต่างว่า เป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 วรรค 2 เป็นลักษณะที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ แต่ยังไม่ถือว่าเป็นกบฏ
สอดรับกับคำให้สัมภาษณ์ในอีกไม่กี่วันถัดมาของ “บิ๊กอู๋-พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้วที่บอกว่า “ขณะนี้จากการข่าวของสันติบาลไม่ยืนยันว่ามีขบวนการแบ่งแยกดินแดนเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ต้องมีการตรวจสอบกรณีที่มีการติดป้ายผ้าแบ่งแยกประเทศ หรือจัดตั้ง สปป.ล้านนา ขึ้นในหลายพื้นที่ โดยตำรวจได้มีการรับแจ้งความเพื่อดำเนินคดีแล้ว ซึ่งกองบัญชาการตำรวจภูธรภาคได้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง และยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน แต่หลักฐานยังไม่ชัดเจน หรือชี้ชัดไปถึงตัวผู้กระทำผิด”
และในวันเดียวกันนั้นเอง ดูเหมือนว่าปัญหาทั้งหลายทั้งปวงในเรื่องการแบ่งแยกดินแดนจะคลี่คลายไปในทางที่ดีอย่างน่าใจหาย ภาพความสัมพันธ์ที่เหินหางระหว่างนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกับผู้นำเหล่าทัพ โดยเฉพาะกองทัพบกจะเขยิบมาใกล้ชิดกันมากขึ้น เมื่อนายกรัฐมนตรีคนสวยเดินทางไปประชุมสภากลาโหม ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น นางสาวยิ่งลักษณ์มิได้แสดงอาการน้อยเนื้อต่ำใจต่อ พล.อ.ประยุทธ์ให้ได้เห็น
ซ้ำร้ายในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 5 มีนาคม 2557 ฯพณฯ ยิ่งลักษณ์คนสวยก็มีนัดพิเศษกับ พล.อ.ประยุทธ์เกี่ยวกับโผแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารกลางปีที่จะเกิดขึ้นในเดือนเมษายนนี้หลังจากนั่งหัวโต๊ะประชุมสภากลาโหมในเรื่องนี้กับผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพไปแล้วรอบหนึ่งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 อีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เกิดอะไรขึ้น แม้ในการแต่งตั้งโยกย้ายเที่ยวนี้มีข้อมูลชัดแจ้งตรงกันแล้วว่าไม่ได้มีตำแหน่งสำคัญๆ อะไรมากมายนัก
มีปัญหาคาใจอะไรระหว่างคนสองคนถึงต้องนัดเจรจาความเมืองกันใหม่อีกรอบ
สุดท้ายก็อดทำให้ประหวัดนึกไปถึงความฮึ่มฮั่มของ พล.อ.ประยุทธ์ที่มีต่อคนเสื้อแดงที่คิดแบ่งแยกประเทศว่า เป็นแค่การแสดงละครเพื่อสร้างแต้มต่อให้กับตัวเองหรือไม่ หรือหวังผลเพียงแค่เรื่องโผโยกย้ายนายทหารกลางปีเพียงประการเดียว ใช่หรือไม่
“ทุกวันนี้ ผมเอาทหารออกมา 56 กองร้อย มานอนอยู่บนถนน มันไม่ใช่น้อยๆ แล้วจะให้ทำอย่างไรอีก จะให้ประกาศกฎอัยการศึก ก็ใช้กฎหมายเหมือนเดิม เพียงแต่ให้ทหารมาสั่งการ ซึ่งถ้าผมสั่งการ ก็จะต้องสั่งการให้กลับบ้านกันหมดทุกพวก แล้วจะกลับกันหรือไม่ ส่วนใครจะมองว่า สถานการณ์จะไปสิ้นสุดด้วยการปฏิวัติก็มองได้ อยากให้ทหารทำอะไรก็บอกว่า การปฏิวัติที่ผ่านมาเพราะมีเหตุการณ์รุนแรง ความไม่เป็นธรรม แต่ในวันนี้โลกเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน ประชาชนก็เปลี่ยนพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปถึงตรงนั้น เพราะเป็นเรื่องที่อันตราย และผมคงไม่สัญญาว่าการปฏิวัติจะมีหรือไม่มี แต่ก็ยอมรับว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในทางนิตินัย แต่การปฏิวัติทุกครั้งก็เพื่อให้สถานการณ์ยุติ แล้วยุติได้หรือไม่ ก็ต้องไปนั่งวิเคราะห์กัน ทุกสถานการณ์ก็จะต้องแก้ไขด้วยกฎหมาย หากแก้ไม่ได้ก็จะต้องใช้วิธีพิเศษ ส่วนจะเป็นวิธีพิเศษอะไรก็ต้องไปว่ากัน อย่ามาโจมตีทหาร”
นั่นคือจุดยืนที่ชัดเจนของผู้บัญชาการทหารบกชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจว่าทำไมวันนี้ “โกตี๋”นายวุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี จะยังคงลอยนวลท้าทายอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์อย่างไม่ไว้หน้า กระทั่งกล้านำป้ายไวนิลสีแดง โดยมีตัวหนังสือสีดำเขียนว่า “อยู่กันด้วยความสามัคคีไม่ได้...ก็แบ่งแยกกันอยู่... และตัวหนังสือสีขาวเขียนว่า “มึงกับกู...แยกแผ่นดินกันเลย.” ไปติดบนสะพานลอยย่านอนุสรณ์สถาน ถ.วิภาวดีรังสิต เขตบางเขน ใกล้สนามบินดอนเมืองโดยป้ายข้อความแบ่งแยกดินแดนดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกที่ถูกนำมาติดไว้บนพื้นที่กรุงเทพฯ และเป็นการหยามหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่สั่งให้แม่ทัพภาคที่ 3 แจ้งความจับพวกคิดแบ่งแยกประเทศไปก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกันโกตี๋ยังประกาศกร้าวด้วยว่า เห็นด้วยกับการที่แกนนำเสื้อแดงประกาศตั้งกองกำลังนั้น เพราะเมื่อนายกฯ มีผู้ใต้ผู้บังคับบัญชาที่ไม่ยอมปกป้อง แต่ไปปกป้องกบฏ ก็เป็นเรื่องของคนที่รักนายกฯ ต้องออกมาปกป้อง เพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตย
“วันนี้อารมณ์ กำลัง ความรุนแรง แก้ปัญหาของประเทศได้ เพราะคุยกันดีๆ ไม่ได้แล้ว ผมขอกำลังสนับสนุนถ้ามีเอามา ผมก็จะฝึกเหมือนกัน ผมไม่ใช่คนก้าวร้าวรุนแรง แต่ผมเป็นคนจริงจัง”
“ผมบอกเลยนะวันนี้ไม่มีใครกลัวใคร ผมขออนุญาตยืมคำของท่านคึกฤทธิ์ ปราโมช มาพูดนะ กูไม่กลัวมึง”นายวุฒิพงษ์กล่าว
ดังนั้น จงอย่าแปลกใจถ้าวันดีคืนดีมีประชาชนพร้อมใจกันทำหนังสือเพื่อ “ถวายฎีกา” ให้ปลด พล.อ.ประยุทธ์พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เนื่องจากรับไม่ได้กับท่าทีอันเชื่องช้าและมะงุมมะงาหราในการปกป้องประเทศ ราวกับเป็น “ไส้ศึก” ที่ “สปป.ล้านนา” ส่งเข้ามาเพื่อปฏิบัติภารกิจลับในการแบ่งแยกประเทศอย่างไรอย่างนั้น
และถ้าจะว่าไปแล้ว จุดยืนของ พล.อ.ประยุทธ์ก็มิได้แตกต่างอะไรจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.เลยแม้แต่น้อย เพราะเห็นชัดแจ้งแล้วว่า ยุทธศาสตร์ของการชุมนุมได้ตกผลึกทางความคิดเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า ให้เป็นไปตามทฤษฎีมะม่วงหล่น โดยให้กระบวนการยุติธรรมเป็น “ไม้” ในการสอยมะม่วงที่เน่าแล้วเน่าอีกคาต้นลูกนั้น
ส่วนวิธีพิเศษที่ พล.อ.ประยุทธ์อ้างถึงนั้น เชื่อขนมกินได้ว่าไม่ใช่การทำรัฐประหารโดยกองทัพภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ หากแต่น่าจะเป็นวิธีพิเศษที่สังคมกำลังเฝ้าจับตามองอย่างไม่กระพริบโดยการรู้เห็นเป็นใจของทุกขั้วการเมือง นั่นคือ “การเจรจา”