ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คำย่อ “สปป.”ปรากฏอยู่ในข่าวระดับทอล์กออกเดอะทาวน์ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อมีกลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนคาดผ้าที่ศีรษะพร้อมข้อความ “สปป.ลานนา” พร้อมกับโบกธงสีขาว-แดง ขณะไปต้อนรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา
โดยในวันนั้น ผู้สื่อข่าวได้สอบถามคนเสื้อแดงที่ร่วมขบวนเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “สปป.ลานนา” ได้รับการชี้แจงว่า “หมายถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลานนา” ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงในขณะนั้น ที่มีการติดป้ายผ้าพื้นสีแดงพร้อมข้อความว่า “ประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม กูขอแยกเป็นประเทศล้านนา” ปรากฏขึ้นในหลายจังหวัดภาคเหนือ อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา พิษณุโลก
รวมทั้งยังสอดคล้องกับกรณีที่คนเสื้อแดงได้จัดชุมนุม “ลั่นกลองรบ” ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 23 ก.พ. โดยมีแนวคิดที่จะตั้งกองกำลังของตัวเองที่อ้างว่าเป็นอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ(อพปช.) โดยมีการเปิดรับสมัครในจังหวัดภาคอีสานพร้อมกับมีการสวนสนามแสดงพลังกันอย่างเอิกเกริก
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 1 มี.ค. เว็บไซต์หนังสือพิมพ์คมชัดลึก ได้รายงานข่าว อ้างคำให้สัมภาษณ์ของนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่ยืนยันว่า ทางกลุ่มมีการพูดคุยหารือเรื่องการแบ่งแยกเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนล้านนา (สปป.ล้านนา) มาเป็นเวลากว่า 6 เดือน และโอกาสที่จะแบ่งแยกเป็นไปได้สูง ตามเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1.การดูถูกความเป็นมนุษย์จากคนอีกกลุ่มในประเทศ โดยอ้างถึงการที่กลุ่ม กปปส.มักจะด่าคนเสื้อแดงว่าโง่เง่า 2.การไม่เคารพกฎหมายและมีการเหลื่อมล้ำทางกฎหมายเกิดขึ้น และ 3.ไม่ปกครองตามระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้ หากวันใด กปปส.มีการปิดประเทศอีก หรือก่อรัฐประหารขึ้นมา ทางพวกตนก็พร้อมจะแยกตัวออกมา โดยจะเป็นการแบ่งแยกการปกครองเหมือนกับจีนแผ่นดินใหญ่กับฮ่องกง 1 ประเทศ 2 ระบอบการปกครอง ซึ่ง สปป.ล้านนา คือกลุ่มคนที่เคารพระบอบประชาธิปไตยอันมีในหลวงทรงเป็นพระประมุข ไม่เหยียดหยามดูถูก หรือเหยียบย่ำศักดิ์ศรีใคร เชื่อว่าหากแบ่งจริงอย่างน้อยประชาชนร้อยละ 80 ของ 8 จังหวัดภาคเหนือ หรือประชาชน 4 ล้านคนจากประชากร 6 ล้านคนในภาคเหนือจะออกมาแสดงตัว
พฤติกรรมของคนเสื้อแดงดังกล่าวทำให้ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 สั่งการให้ มทบ.33 จทบ.พะเยา และเชียงใหม่ เข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อกลุ่มที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113, 114 และ 116 อันเป็นความผิดฐานกบฏและความผิดต่อความมั่นคง
ไม่เฉพาะในระดับมวลชนรากหญ้า แต่ระดับตัวเป้งอย่างนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ถูกแจ้งความที่ จ.พิษณุโลกและขอนแก่น ในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113, 114, 116 และ 119 และผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 ที่ว่าประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ กรณีที่นายจารุพงศ์ ขึ้นปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 23 ก.พ. 57 ที่หอประชุมลิปตพัลลภ จ.นครราชสีมา ต่อเนื่อง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดยมีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอการปราศรัยมามอบแก่พนักงานสอบสวน ซึ่งนายจารุพงศ์ได้ปราศรัยในเชิงสนับสนุนการแบ่งแยกประเทศ และขู่ว่าคนไทยมีอาวุธปืน 10 ล้านกระบอก อย่าดูถูกประชาชน
หลังจากถูกแจ้งความดำเนินคดี นายเพชรวรรตได้รีบเปิดโต๊ะแถลงข่าว กลับลำว่าตนเองและกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ไม่ได้มีความคิดแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด ที่พูดถึงการแบ่งการปกครองเป็น 2 ระบบนั้น เป็นแค่การพูดถึงความเป็นไปได้ในทางวิชาการเท่านั้น รวมทั้งพวกตนเองไม่เกี่ยวข้องกับการขึ้นป้ายขอแบ่งประเทศและกลุ่มที่โพกผ้า“สปป.ลานนา”แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน ก็ถึงเวลาออกโรงของคนกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกตัวเองว่า “สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย” หรือ “สปป.”ที่ออกแถลงการณ์ช่วยแก้ตัวให้กลุ่มคนเสื้อแดงที่โพกผ้า “สปป.ลานนา”ว่า ไม่ได้หมายถึงสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลานนา แต่หมายถึง “สมัชชาปกป้องประชาธิปไตยลานนา”ต่างหาก ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2556 เพื่อสนับสนุนแนวทางของ สปป. คือ สนับสนุนให้เกิดการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ไม่มีนโยบายแบ่งแยกดินแดนใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมกับเยาะเย้ยกองทัพบกว่า ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ ให้รอบด้านมากยิ่งขึ้น โดยอ้างว่า ข่าวแบ่งแยกดินแดนนั้นมาจากสื่อที่มีพฤติกรรมบิดเบือนข้อมูลเป็นนิจศีล
แต่ในแถลงการณ์ฉบับเดียวกัน สปป.กลับให้ท้ายกลุ่มคนที่คิดจะแยกภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือออกจากกรุงเทพฯ และภาคใต้ โดยอ้างว่าแม้ความคิดเห็นดังกล่าวยากที่จะเป็นจริงได้และไม่ใช่วิถีทางที่จะช่วยแก้ไขวิกฤติ แต่ สปป. เห็นว่าทัศนะดังกล่าวมีความสำคัญไม่น้อย เพราะมันสะท้อนความรู้สึกคับแค้นใจของประชาชนจำนวนมากต่อความอยุติธรรมทางการเมืองที่ดำเนินต่อเนื่องมานับตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 เป็นความอยุติธรรมที่เกิดจากการไม่เคารพในสิทธิทางการเมืองอันเท่าเทียมกันของประชาชน การทำลายระบอบประชาธิปไตย นิติรัฐ นิติธรรมโดยกลุ่มผู้มีอำนาจตามอำเภอใจ
ท่าทีของกลุ่ม สปป.ต่อกรณีนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายแต่อย่างใด นั่นเพราะสมาชิกของกลุ่ม สปป.ที่ก่อตั้งเมื่อ 10 ธ.ค.2556 หลักๆ ก็คือนักวิชาการที่ได้ชื่อว่าเป็นพวก“หางเครื่อง”ของระบอบทักษิณนั่นเอง อันประกอบด้วยกลุ่ม “คณะนิติราษฎร”ที่ออกมาเสนอความคิดเห็นทางวิชาการแบบ “เข้าทางตีน”ของ นช.ทักษิณโดยตลอด และกลุ่ม “ครก.112” ที่เคยเสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อให้มีการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันเบื้องสูงได้
นักวิชการกลุ่มนี้ นำโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อาจารย์สอนประวัติศาสตร์ที่ยังเพ้อฝันขอแยกจังหวัดธนบุรีออกจากกรุงเทพฯ และมีกิจวัตรประจำวันคอยโพสต์เฟซบุ๊กยกก้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย และโจมตี กปปส.ว่าเป็นฝ่ายอนาธิปไตยล้มการเลือกตั้ง
นอกจากนั้น ก็มี นิธิ เอียวศรีวงศ์ ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน และเป็นผู้สร้างวาทะกรรม “อำมาตย์-ไพร่”ให้เครือข่ายลริวารทักษิณนำไปปั่นหัวคนรากหญ้าจนถึงขั้นจะแบ่งประเทศอยู่ในขณะนี้ รวมถึง เกษียร เตชะพีระ นักวิชาการจอมฟูมฟายเพ้อเจ้อ ส่วนคนอื่นๆ ก็มี วรเจตน์ ภาคีรัตน์,ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำนิติราษฎร พนัส ทัศนียานนท์,สุรชาติ บำรุงสุข,พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ นักวิชาการม้าใช้ของระบอบทักษิณ โดยมีการดึงนักวิชาการฝ่ายกลางๆ เข้ามาแซมบ้าง เช่น ผาสุก พงษ์ไพจิตร,ประภาส ปิ่นตบแต่ง เป็นต้น (อ่าน แถลงการณ์และรายชื่อสมาชิกกลุ่ม"สมัชชาปกป้องประชาธิปไตย)
แม้จะมีความพยายามปฏิเสธจาก สปป.ว่าพวกตนไม่ใช่เครื่องมือของระบอบทักษิณ แต่เมื่อดูจากแนวทางของกลุ่มที่สนับสนุนการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.แล้ว ก็ชัดเจนว่า เป็นการสนับสนุนพิธีกรรมการกลับสู่อำนาจของระบอบทักษิณ
นอกจากนั้น การกระทำตลอดเวลาเกือบ 3 เดือนของการตั้ง สปป.ก็ล้วนแต่เป็นไปเพื่อปกป้องระบอบทักษิณ อาทิ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.56 เมื่อ ก.ก.ต.เสนอให้รัฐบาลเลื่อนการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.ออกไปก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง สปป.ก็ออกแถลงการณ์โจมตี ก.ก.ต.ว่าไม่เลื่อมใสการเลือกตั้ง และเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.ตามเดิม
หรือ เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา หลังจากคณบดีแพทยศาสตร์ 8 มหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลรักษาการเสียสละด้วยการลาออก เพื่อหลีกเลี่ยงความแตกแยกรุนแรงและการสูญเสีย พร้อมกับนำประเทศไทยไปสู่การปฏิรูป สปป.โดย เกษียร เตชะพีระ ก็ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า รัฐบาลไม่สามารถลาออกได้ เพราะต้องอยู่รักษาการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และโยนความผิดว่า หากการเลือกตั้ง 2 ก.พ.เกิดความรุนแรงก็มาจากกลุ่ม กปปส.ไม่ใช่รัฐบาล แถมเยาะเย้ยพรรคประชาธิปัตย์ว่า ที่ไม่ลงเลือกตั้ง ก็เพราะกลัวแพ้
เห็นได้ชัดว่าเนื้อความในแถลงการณ์ของ สปป.ดังกล่าวเป็นชุดคำพูดที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมทั้งเครือข่ายบริวารทักษิณคนอื่นๆ อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ใช้เป็นข้ออ้างในการอยู่ในอำนาจรักษาการมาตลอด 3 เดือนที่ผ่านมานั่นเอง
ดังนั้น ถึงแม้ว่า สปป.โดยเกษียร เตชะพีระ เจ้าเก่า เคยออกแถลงการณ์เมื่อ 31 ธ.ค.56 ปฏิเสธว่าพวกตนไม่ใช่นักวิชาการของระบอบทักษิณ ก็คงจะมีแต่คนไร้สมองเท่านั้นที่จะเชื่อ