ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สถานการณ์การเมือง ณ วินาทีนี้ ต้องบอกว่า กำลังงวดเข้ามาทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งชะตากรรมของ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หลังตัดสินใจใช้กำลังตำรวจหลายหมื่นนายเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เนื่องเพราะความล้มเหลวในการยึดพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุมล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า แสดงให้เห็นว่า “ตำรวจ” ที่เคยเป็นอาวุธที่ทรงพลานุภาพของระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
ขี้ข้าตัวพ่ออย่าง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) ทำได้แค่ “ดีแต่โม้” ไปวันๆ มิได้เก่งกล้าสามารถเหมือนที่คุยโวโอ้อวดกับนายใหญ่แต่ประการใด
การสลายการชุมนุมของตำรวจที่ใช้อาวุธสงครามในปฏิบัติการจนผู้ชุมนุมต้องเสียชีวิตไป 4 ราย คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รัฐบาลและระบอบทักษิณซึ่งหมายมั่นปั้นมือว่าจะยึดทำเนียบรัฐบาลคืนให้จงได้เดินเข้าสู่จุดอับ เพราะแทนที่จะใช้กำลังและอาวุธสงครามครบมือบดขยี้ผู้ชุมนุมให้ย่อยยับคามือภายในวันเดียว กลับถูก “กองกำลังป๊อบคอร์น” ซึ่งเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้ามาให้ความช่วยเหลือหลังจากทนไม่ไหวที่เห็นประชาชนต้องบาดเจ็บและล้มตายด้วยยุทธการตาต่อตาฟันต่อฟันจนตำรวจต้องเปิดตูดวิ่งป่าราบทิ้งโล่ทิ้งกระบองอย่างไม่คิดชีวิต
และแน่นอนว่า เมื่อรัฐซึ่งเป็นองค์กรที่ได้รับใบอนุญาตให้พกพาอาวุธได้ถูกต้องตามกฎหมายมิอาจทำอะไรผู้ชุมนุมได้ ภาวะ “รัฐล้มเหลว” จึงเกิดขึ้นโดยไม่อาจปฏิเสธความจริงได้
นี่คือความพ่ายแพ้ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
นี่คือความพ่ายแพ้ของระบอบทักษิณที่ไม่ต่างอะไรจากมะม่วงที่กำลังจะหล่นลงจากต้นตามทฤษฎีของ “อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี”
ซ้ำร้ายปฏิบัติการดังกล่าวยังทำให้เกิดคำถามตามมามากมายว่า ทำไมถึงต้องสลายการชุมนุมในวันนั้น เพราะไม่ว่าจะใช้อวัยวะเบื้องต่ำหรือเบื้องสูงคิดก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามีเหตุผลอะไร เว้นแต่เสียสติและบ้าบอทำตามหมอดูชาวพม่าที่ให้คำแนะนำเรื่องการแก้ดวง หรือไม่ก็ต้องการทำเพื่อสร้างสถานการณ์ล่อให้ทหารทำ “รัฐประหาร” เพื่อล้มกระดานฝ่าย กปปส.ไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากชัดเจนแล้วว่านักโทษชายหนีคดียอมแพ้ทหารมากกว่าแพ้กปปส. เนื่องจากสามารถใช้เป็นข้ออ้างในการปลุกระดมคนเสื้อแดงและฟ้องชาวโลกได้อีกต่างหาก
นอกจากนั้น เมื่อมองยุทธการที่ตำรวจใช้ในปฏิบัติการผ่านฟ้าก็พบข้อผิดปกติมากมาย เนื่องจากมีคำสั่งให้ตำรวจรวมตัวกันตั้งแต่ตีห้า แต่กว่าจะเข้าสลายการชุมนุมก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงวัน ซึ่งผิดหลักของการสลายการชุมนุม ขณะที่การประสานกำลังกันก็เป็นไปอย่างมั่วซั่วไม่มีเอกภาพ ราวกับว่า ต้องการใช้ตำรวจชั้นผู้น้อยเป็นเหยื่อในสมรภูมิเลือดนี้อีกต่างหาก
สุดท้าย ตำรวจที่ขนอาวุธสงครามมาครบมือ เพื่อสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 ก็คงจะทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และบรรดาตำรวจขี้ข้าทั้งหลายมีสิทธิติดคุกติดตะรางอีกต่างหาก เพราะปรากฏภาพการนำอาวุธสงครามมาใช้ให้เห็นกันชัดๆ ซึ่งแม้จะหาข้ออ้างมาแก้ตัวก็ฟังไม่ขึ้น เพราะไม่มีการสลายการชุมนุมที่ไหนที่ใช้อาวุธสงครามกับประชาชน เว้นรัฐบาลเผด็จการทหาร
ยิ่งเมื่อดูเจตนาของ ศรส.และรัฐบาลที่ระดมตำรวจเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดินด้วยแล้ว ยิ่งเห็นชัดถึงเจตนาว่า รัฐบาลต้องการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม มิใช่เป็นการขอคืนพื้นที่ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล
ขณะที่แนวรบทางด้านกฎหมาย ระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็พ่ายแพ้ไม่เป็นกระบวน เมื่อในวันเดียวกันคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติเป็นเอกฉันท์เรียกนายกฯ นกแก้วเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 นี้ ซึ่งดูทรงแล้วหนีไม่พ้นที่ ป.ป.ช.จะชี้มูลความผิดรัฐบาล รวมทั้งตัวนายกรัฐมนตรี อันนำไปสู่การต้องยุติการปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เมื่อประสานกับกองทัพชาวนาจากนครสวรรค์และอุทัยธานีที่ขนรถอีแต๊ก อีแต๊น รถไถเคลื่อนพลเข้ามาจำนวนนับหมื่นคนเพื่อทวงเงินจากโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ อดีต ส.ส.อุทัยธานี พรรคชาติไทยพัฒนา ของนายบรรหาร ศิลปะอาชา ซึ่งเป็นแกนนำประกาศชัดเจนว่า จะไม่กลับจนกว่าชาวนาจะได้เงิน และเป้าหมายเบื้องต้นที่จะไปคือสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมทั้งขอเจรจากับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ยิ่งทำให้รัฐบาลตกอยู่ในสภาวะหัวชนฝา เพราะคนของพรรคร่วมรัฐบาลเองถึงกับโดดมาเป็นผู้นำ
นี่ไม่นับรวมถึงเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากประเทศ “อิรัก” ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของไทยจ่อเลิกนำเข้าข้าวจากไทย เนื่องจากไม่พอใจในเรื่องของคุณภาพ ที่ประเดประดังเข้ามาสบทมอีกดอกหนึ่ง
หนักไปกว่านั้นคือ ถัดมาอีกเพียงวันเดียวคือวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 ศาลแพ่งก็มีคำวินิจฉัยที่เป็นคุณกับทางผู้ชุมนุมอีกต่างหาก แม้ศาลจะมิได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการประกาศใช้ “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ” แต่ศาลได้มีคำสั่งให้ยกเลิกประกาศของศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) ที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จำนวน 9 ข้อคือ
1. ห้ามจำเลย มีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม
2. ห้ามจำเลยยึดอายัด สินค้า อุปโภค บริโภค ที่ใช้ในการสนับสนุนการชุมนุม ของโจทก์ และผู้ชุมนุม
3.ห้ามจำเลย ตรวจค้น รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ของผู้ชุมนุม
4.ห้ามจำเลย ห้าม ผู้ชุมนุมซื้อขายสิค้า เครื่องอุปโภค บริโภคที่ใช้ในการชุมนุม
5.ห้ามจำเลย ปิดการจราจรเส้นทางคมนาคม
6.ห้ามจำเลย สั่งห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
7.ห้ามจำเลย สั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ตามที่จำเลยกำหนดไว้ในประกาศ
8.ห้ามจำเลย สั่งผู้ชุมนุมห้ามใช้อาคาร
9.ห้ามจำเลย มีคำสั่งห้ามบุคคล เข้า และ ออก พื้นที่การชุมนุม
เรียกว่า ส่งผลทำให้ ศรส.กลายเป็นเป็ดง่อยหรือศูนย์รวมความไร้สมรรถภาพไปในฉับพลันทันที เนื่องเพราะศาลเห็นว่า การชุมนุมในครั้งนี้เป็นไปด้วยความสงบ สันติและอหิงสาตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ดี ในองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 5 คน มีผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 2 คน มีความเห็นแย้ง โดยเห็นว่า ควรจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศ และข้อกำหนดทุกฉบับที่อาศัยอำนาจตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2557 เนื่องจาก เห็นว่าข้อกำหนดดังกล่าว เป็นการออกมาเพื่อมุ่งใช้บังคับบุคคลบางกลุ่ม คือโจทก์และผู้ชุมนุม ซึ่งในการชุมนุมศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่า การชุมนุมของโจทก์และผู้ชุมนุม เป็นการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ รวมทั้งมีเหตุผลมาจากความไม่ไว้วางใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ที่เป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงเป็นการลิดรอนสิทธิของโจทก์และผู้ชุมนุมตามกฎหมาย
เฉกเช่นเดียวกับการทำสงครามเชิงสัญลักษณ์ในศึก “ธนาคารออมสิน” ก็แพ้ไม่เป็นกระบวน เมื่อประชาชนพร้อมใจกันแสดงพลังต่อต้านด้วยการไปถอนเงินรวม 2 วัน 17 ก.พ.-18 ก.พ.ด้วยมูลค่าที่สูงถึง 7 หมื่นล้านบาท กระทั่งทำให้ “นายวรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี” ผู้อำนวยการธนาคารออมสินต้องตัดสินใจลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ขณะที่คนเสื้อแดงที่ประกาศระดมกันไปฝากเงินก็มียอดกระจิดริดชนิดไม่อาจเทียบเคียงกันได้เลยแม้แต่น้อย
ถ้าใช้ทฤษฎีมะม่วงหล่นของ “อาจารย์ธีรยุทธ บุญมี” เข้ามาจับก็ทำให้เห็นชัดเจนว่า วันนี้ ผลมะม่วงพิษกำลังจะใกล้จะหล่นจากต้นมะม่วงเข้าไปทุกทีๆ
แต่ด้วย “ความด้าน” ที่ไร้ขอบเขตจำกัด ทำให้รัฐบาลชุดนี้ยังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และสละอำนาจ เนื่องจากหวั่นเกรงว่าจะต้องประสบชะตากรรมพินาศฉิบหายจากสารพัดสารพันคดีบานทะโร่ที่รอคำพิพากษาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม
ตัดฉากกลับมาทางด้าน “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ“คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ กปปส.กันบ้าง ต้องยอมรับกันว่า ก่อนหน้าเหตุการณ์ 18 กุมภาพันธ์ 2557 นายสุเทพและ กปปส.ก็ทำท่าว่า “มะม่วงจะหล่นมิหล่นแหล่” ไม่แพ้ระบอบทักษิณเช่นกัน เพราะไม่มียุทธการที่จะเผด็จศึกระบอบทักษิณให้เห็นสักทีจนมวลชนลดจำนวนลง แถมยังปรากฏข่าวว่าจ้องจะจบศึกบนโต๊ะเจรจากับระบอบทักษิณอีกต่างหาก แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ 18 กุมภาพันธ์ 2557 นายสุเทพและ กปปส.ก็สามารถพลิกกลับมาถือแต้มต่ออย่างไม่น่าเชื่อ เนื่องจากมี “ตัวช่วย” โผล่ขึ้นมาเป็น “อัศวินขี่ม้าขาว” หลายต่อหลายเหตุการณ์ ต่างกรรมต่างวาระดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
และด้วยแต้มต่อนี้นี่เองทำให้นายสุเทพตัดสินใจเคลื่อนทัพบดขี้รัฐบาลและระบอบทักษิณเพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีให้ “มะม่วงหล่นเร็วขึ้น” ด้วยการนำผู้ชุมนุมไปปิดล้อมสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นสถานที่ที่นายกรัฐมนตรีใช้เป็นสถานที่ทำงานประจำเพื่อไล่ล่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามต่อด้วยอาคารชินวัตร 3 พร้อมประกาศยุทธการสำคัญว่า จะโจมตีธุรกิจของตระกูลชินวัตร พร้อมทั้งเตือนให้นักลงทุนขายหุ้นทิ้ง ซึ่งปรากฏว่าหลังตลาดหลักทรัพย์ได้ปิดทำการในช่วงเย็นวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 หุ้นกลุ่มชินวัตรได้ปรับตัวลงยกแผง กล่าวคือ บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น(INTUCH) ปิดตลาดที่ 73.75 บาท ปรับตัวลดลง 1.00 บาท หรือ 1.34% บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) ปิดตลาดที่ 217.00 บาท ปรับตัวลดลง 2.00 บาท หรือ0.91% บมจ.ไทยคม(THCOM) ปิดตลาดที่ 40.00 บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 0.63% บมจ.ซีเอส ล็อกซอินโฟ(CSL) ปิดตลาดที่ 10.50 บาท ขณะที่ บมจ.เอสซี แอสเอสท คอร์ปอเรชั่น(SC) ปิดตลาดที่ 3.24 บาท ปรับตัวลดลง 0.12 บาท หรือ 3.57% และบมจ.เอ็มลิ้งค์ เอเชีย คอร์ปอเรชั่น(MLINK) ปิดตลาดที่ 3.32 บาท ปรับตัวลดลง 0.10 บาท หรือ 2.92%
ที่น่าสนใจคือ แรงเทขายหุ้นดังกล่าว ทำให้ ADVANCE และ INTUCH ขึ้นมาติด 5 อันดับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด คิดเป็นมูลค่ารวมกัน 3,506.91 ล้านบาท
ถัดมาอีก 1 วันคือวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,303.98 จุดลดลง 17.02 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -1.29% มูลค่าการซื้อขาย 33,673.89 ล้านบาท โดยมีแรงขายในหุ้นบิ๊กแคป และหุ้นสื่อสารตัวใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง โดยนายยศพณ แสงนิล รองผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ยอมรับว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลดลงแรง เนื่องจากปัจจัยลบหลักที่กดดันจากปัญหาเมือง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มของตระกูลชินวัตร ที่กลุ่ม กปปส. เข้าโจมตีตามที่ประกาศไว้ อีกทั้งยังมีคำพิพากษาของศาลแพ่ง ซึ่งสั่ง ศรส. ห้ามกระทำการถึง 9 ข้อ กับกลุ่ม กปปส. ส่งผลให้รัฐบาลจะมีอำนาจในการควบคุมดูแลการชุมนุมลดลง
แน่นอน แม้จะได้ผลในระดับหนึ่ง แต่เชื่อว่าจะเป็นผลทางจิตวิทยาในช่วงสั้นๆ เท่านั้น มิได้สร้างแรงกระทบกระเทือนเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับธนาคารออมสินแต่ประการใด โดยเฉพาะเมื่อนำไปเทียบกับการเอาจริงเอาจังกับการปฏิรูปพลังงานซึ่งจะเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของระบอบทักษิณได้อย่างสิ้นซาก ซึ่งนายสุเทพมิได้ให้ความสำคัญกี่สักมากน้อย
กระนั้นก็ดีคำถามเกิดขึ้นมีอยู่ว่า คำประกาศที่นายสุเทพแถลงต่อหน้ามวลมหาประชาชนเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 ว่าจะเป็นวันแตกหักกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณ รูปธรรมที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ใช่การบุกไปที่สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ธุรกิจในเครือชินวัตร รวมถึงการประกาศไล่ล่านางสาวยิ่งลักษณ์ไปทุกหนทุกแห่งหรือไม่ เพราะเมื่อตรวจสอบการเคลื่อนไหวทั้งวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ก็มิได้เห็นการเคลื่อนไหวอะไรของนายสุเทพและ กปปส.มากไปกว่านี้
ดังนั้น วันแตกหักของนายสุเทพจึงน่าจะเป็นเพียงคำขู่ เป็นเพียงแค่การจัดกิจกรรมเพื่อเหนี่ยวรั้งมวลชนเอาไว้ให้อยู่เท่านั้น มิใช่มีเป้าหมายเพื่อการเผด็จศึกประการใด
นี่คือสิ่งที่นายสุเทพต้องตอบคำถาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกาศไล่ล่านางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีล่วงหน้าว่าจะไปที่นั่นที่นี่ ซึ่งถามคำเดียวว่า แล้วใครจะอยู่รอให้นายสุเทพไปจับตัวง่ายๆ ในสถานที่ที่นายสุเทพประกาศไว้
ขณะที่ประชาชนเองก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจจิตเจตนาของนายสุเทพดีว่า ยังมิได้มียุทธการเผด็จศึกที่เป็นรูปธรรมให้เห็น ด้วยเหตุดังกล่าว ปริมาณผู้ชุมนุมในวันที่นายประกาศนัดทุกครั้งที่ผ่านมาจึงมิได้ยิ่งใหญ่และสร้างความสั่นสะเทือนเหมือนเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 เลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว และมวลชนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อว่า เมื่อไหร่นายสุเทพจะมีทีเด็ดทีขาดให้เห็นอันเป็น “สงคราม” ครั้งสุดท้ายเสียที เพราะไม่เช่นนั้นแล้วการชุมนุมก็จะเป็นเพียงการรวมตัวกันเพื่อรอให้องค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช.หรือศาลรัฐธรรมนูญทำหน้าที่เป็น “หมัดน็อก” เพื่อสอยรัฐบาลให้ร่วงลงมาเท่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือไม่น่าจะใช้ในระยะเวลาอันใกล้
เมื่อประมวลสถานการณ์ทั้งหลายทั้งปวงจากทั้งสองฝั่งคือ ฝั่งกำนันสุเทพและฝั่งระบอบทักษิณแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเบื้องหน้านับจากนี้ไปก็คงพลิกผัน จาก “บนดิน” ลงสู่ “ใต้ดิน” โดยเฉพาะฝ่ายระบอบทักษิณเมื่อไม่สามารถใช้ตำรวจขี้ข้าเพื่อจัดการกับม็อบได้ ภารกิจดังกล่าวย่อมถูกผ่องถ่ายไปสู่มือของ “ชายชุดดำ” เพื่อปฏิบัติการตอบโต้กลุ่มผู้ชุมนุม รวมถึงล้างแค้นเอาคืนกองกำลังป๊อปคอร์นที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ชุมนุมด้วยสงครามจรยุทธ์ โดยตัวอย่างที่เห็นชัดเจน 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557
เหตุการณ์แรกคือ เหตุคนร้ายลอบยิงรถของผู้ชุมนุม กปปส.บนทางด่วนโทลล์เวย์ ใกล้ทางลงถนนลาดพร้าว หลังจากที่ กปปส.ไปชุมนุมกดดันหน้าตึกชินวัตร 3 และกำลังเคลื่อนขบวนกลับ จนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย คือนายสัญญา รอกธยาย อายุ 40 ปี ถูกยิงด้วยอาวุธปืน ไม่ทราบชนิดและขนาด บริเวณขาด้านซ้าย และนายสมเกียรติ พรมทอง อายุ 24 ปี ถูกยิงบริเวณขาขวา
ส่วนเหตุการณ์ที่สองคือ กรณีมีการนำกล่องลึกลับไปวางบริเวณริมฟุตปาธข้างรั้วประตูด้านหลังของกองบัญชาการกองทัพบก ซึ่งแม้จากการตรวจสอบในภายหลังจะพบว่า ไม่ใช่ระเบิดจริง แต่ก็เชื่อได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อสร้างสถานการณ์ และส่งผลทำ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ตัดสินใจทำงานที่กองบัญชากองทัพบกสำรองภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1รอ.) ต่อไป
และเมื่อสถานการณ์เป็นเยี่ยงนี้ เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ระบอบทักษิณที่ตกอยู่ในสภาวะ “หมาจนตรอก” จะไม่หยุดอยู่แค่เพียงเป้าหมายเล็กๆ หากแต่จะคลุ้มคลั่งและบ้าเลือดด้วยการสั่งเด็ดหัว “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการ กปปส. ให้จงได้ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม เพื่อสอยศัตรูทางการเมืองผู้นี้ให้หายไปสู่ปรโลก โดยมีรายงานข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า ขณะนี้ “กองกำลังชุดดำ” ทั้งจากในและต่างประเทศได้วางแผนเพื่อเด็ดหัวนายสุเทพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นี่คือสิ่งที่นายสุเทพจะต้องระวัง ซึ่งก็เชื่อว่า นายสุเทพน่าจะกระสากลิ่นดังกล่าวมาบ้างแล้ว ไม่เช่นนั้นนายสุเทพคงไม่ประกาศยกเลิกนำทัพไปบุกอาคารชินวัตร 3 ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2557 อย่างแน่นอน
สุดท้าย ถึงวินาทีนี้ คงสามารถกล่าวได้ว่า ทฤษฎีมะม่วงหล่นของอาจารย์ธีรยุทธ บุญมี กำลังใกล้เข้ามาทุกที
เพียงแต่ว่า ฝ่ายนายสุเทพหรือฝ่ายระบอบทักษิณจะหล่นก่อนกันเท่านั้น