"กำนันสุเทพ" บุก สป.กห.ไล่"ยิ่งลักษณ์" ชี้แจงทหารนายกฯหมดความชอบธรรมบริหารประเทศ ไม่ให้ใช้สถานที่ทำงาน พร้อมประกาศยกระดับโจมตีธุรกิจของตระกูลชินวัตร ตัดท่อน้ำเลี้ยงทั้งหมด บอกนักลงทุนล่วงหน้าเทขายหุ้นก่อนเจ๊ง ขณะที่ นายกฯล่องหนอยู่ในเซฟเฮ้าส์ ด้าน"พล.อ.อภิชาต" ย้ำทหารทำตามหน้าที่ "เป็ดเหลิม" ง่อย เมื่อศาลแพ่งสั่งห้าม ศรส. นำประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงมาใช้บังคับกับกลุ่มผู้ชุมนุม 9 ข้อ อีกทั้งห้ามสลายการชุมนุม
ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศ หน้าสำนักงานกระทรวงกลาโหม (สป.กห.) เมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ ในช่วงเช้า มวลชนกลุ่มกปปส.ได้ทยอยเดินทางมาชุมนุมหน้าสำนักงาน ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. ประกาศจะนำมวลชน มาปิดล้อม ไล่ล่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่จะมาทำงานที่นี่
ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มีทหาร 3 กองร้อย และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร ภาค 1 จำนวน 8 กองร้อย พร้อมเพิ่มเครื่องบินสอดแนมไร้คนขับ (ยูเอวี) 1 ฝูง จำนวน 4 ลำ รถดับเพลิง เทศบาลนครปากเกร็ด จ.นนทบุรี อีกทั้งมีการติดตั้งลำโพง ขยายเสียง ด้านหน้าอาคาร เพื่อสื่อสารให้ชัดเจน ขณะที่ ออฟฟิส โดยรอบสำนักงานปลัดกลาโหม สั่งปิดตัวอาคาร และให้พนักงานบางส่วนหยุดทำงาน อาทิ ตึกธนาคารกสิกรไทย
นอกจากนี้ ภายในเมืองทองธานี มีการจัดงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนระดับชาติ ครั้งที่ 63 ซึ่งจะมีนักเรียนมาร่วมงานถึง 25,000 คน และงานเฟอร์นิเจอร์บางกอกเอ็กซ์โป นอกจากนี้พบว่า มีการโรยตะปูเรือใบ ที่ถนนแจ้งวัฒนะ ด้านหน้าเมืองทองธานี ขณะที่ผูัชุมนุมเริ่ม ทยอยมามากขึ้น
ต่อมาเวลา 10.10 น. พล.ต.สุรชาติ จิตต์แจ้ง หัวหนัาส่วนประชาสัมพันธ์ และสารสนเทศ สำนักรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม แถลงชี้แจงทำความเข้าใจว่า วันนี้นายกรัฐมนตรี และครม.ทุกคน ไม่มีภารกิจมาปฏิบัติงานที่ สป.กห. เนื่องจากนายกฯ มีความตระหนักถึงความเดือดร้อน ความยุ่งยาก และความตึงเครียดที่จะเกิดขึ้น ต่อข้าราชการ สป.กห. และหน่วยงานต่างๆ รวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบ
ส่วนที่มีการโรยตะปูเรือใบ บนถนนแจ้งวัฒนะ ด้านหน้าเมืองทองธานี จุดประสงค์เพื่อขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ ขอให้ประชาชนที่สัญจรไปมา ได้ใช้ความระมัดระวัง
*****สุเทพเข้าเจรจาผู้นำทหาร
กระทั่งเวลา12.00 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. พร้อมด้วยแกนนำ อาทิ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ได้เดินทางมาถึง สป.กห. และเข้าเจรจากับ พล.อ.อภิชาต แสงรุ่งเรือง ผู้อำนวยการ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศพลังงานทหาร (ศอพท.) พร้อมด้วย พล.ท.อดุลยเดช อินทะพงษ์ เจ้ากรมการเงินกลาโหม โดย พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า การเข้ามาในสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นการทำงานตามปกติ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของทหาร ซึ่งไม่เคยสั่งการให้ใช้กำลังทหารดำเนินการกับผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ทหารที่มาประจำการที่นี่ ก็ไม่ได้ติดอาวุธ
นายสุเทพ กล่าวว่า ที่ตนมาในครั้งนี้ เนื่องจากมวลมหาประชาชนได้ประกาศชัดเจนว่า จะต้องขจัดระบอบทักษิณ ให้หมดไปจากประเทศไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นชิ้นส่วนสุดท้ายของระบอบทักษิณ ที่อยู่ในประเทศนี้ ต้องออกไป เหตุผลคือ ระบอบทักษิณ เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งช่วงที่ได้ทำงานร่วมกัน มีหลักฐานที่แสดงอาการว่ามุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งคนไทยรับไม่ได้อยู่แล้ว
ส่วนเรื่องที่น่ากลัวที่สุดคือ การทุจริต คอร์รัปชัน โครงการรับจำนำข้าว มีการทุจริตเป็นจำนวน 7-8 แสนล้านบาท ขาดทุนแน่นอนอยู่ที่ 4-5 แสนล้านบาท แถมชาวนาไม่ได้รับเงินค่าข้าว ขณะที่การการโกงกัน ไม่ได้โกงกันร้อยละ 5-10 แต่โกงกันร้อยละ 30-40 จะเหลืออะไรมาพัฒนาประเทศ
ขณะเดียวของฝากถึง พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม ด้วยว่า ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมาทำงานที่นี่ ประชาชนก็จะมาล้อมทุกวัน และอาจจะต้องอยู่ 24 ชั่วโมง มีการย้ายเวทีมาอยู่ที่นี่ เพราะต้องการให้ออกไป
***ยกระดับโจมตีธุรกิจของตระกูลชินวัตร
นายสุเทพ ยังได้ประกาศจะยกรับการชุมนุมพุ่งเป้าโจมตีธุรกิจของตระกูลชินวัตรทั้งหมด โดยเฉพาะ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC)โดยเตือนให้นักลงทุนรีบขายหุ้นบริษัทเหล่านี้ออกให้หมด
"จากนี้ไปเราจะยกระดับการชุมนุม ถ้ายังดื้อด้านจะโจมตีธุรกิจของตระกูลชินวัตร จะตัดท่อน้ำเลี้ยงของตระกูลชินวัตรทั้งหมด ขอให้นักลงทุนที่ถือหุ้นของบริษัทเหล่านี้รีบขายหุ้นออกให้หมดก่อนที่หุ้นจะเจ๊ง แล้วอย่ามาโกรธกัน เพราะเราเตือนล่วงหน้าแล้ว"นายสุเทพ กล่าว
**ทหารยันต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
ด้านพล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ทหารเป็นทหารของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประชาชน สิ่งที่เราดูแลตามหน้าที่ คือดูแลตึกสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่บังเอิญตึกนี้มีห้องทำงานของ รมว.กลาโหม ซึ่งมีบางงานที่ รมว.กลาโหม ต้องมาลงนาม ยืนยันว่า ถ้าเกิดนายกฯ อยู่ก็จะบอกว่าอยู่ ถ้าจะมาจับตัว ขอกันเลยว่า เข้ามาไม่ได้ ทหารสั่งให้ไปตาย ก็ตายได้ตามหน้าที่
หลังการเจรจา พล.อ.อภิชาต ยังให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ที่บอกว่า ทหารยอมไม่ได้หากเข้ามาจับตัวนายกฯนั้น หมายความว่า หากมีการรุกล้ำเข้ามาในตัวอาคาร ก็ต้องพูดคุยกันแบบทหาร และคิดว่านายสุเทพ ก็เข้าใจว่าทหารทำตามหน้าที่ และที่ประกาศจะจับตัวนายกฯ เพียงแต่ตนมาคุยกับนายสุเทพว่า นายกฯไม่ได้อยู่ในนี้ และกระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยงานที่ต้องทำงานตลอดเวลา ที่ผ่านมานายกฯ เข้ามาทำงานในฐานะ รมว.กลาโหม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายสุเทพ จะเดินออกจากห้อง ได้มีข้าราชการทหารในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มอบเงินใส่ซองสีน้ำตาลให้กับนายสุเทพ พร้อมกับบอกว่า ขอมอบเงินสมทบช่วยชาวนาด้วย
**"ปู"ย่องเงียบรพ.ตำรวจเยี่ยมผู้บาดเจ็บ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึงรัฐมนตรี ไม่ได้ไปปฏิบัติภารกิจที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่ได้ติดตามสถานการณ์ และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ในเซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ขณะที่คนใกล้ชิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ ที่สะพานผ่านฟ้า นายกฯรูัสึกเสียใจต่อเหตุการณ์ ทำให้ตัดสินใจไม่เข้ามาปฎิบัติหน้าที่ยัง สป.กห. เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุกระทบกระทั่ง อย่างไรก็ตามช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายกฯได้เดินทางเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ที่โรงพยาบาลตำรวจ
** "เหลิม"ลั่นใครบุกศรส.จับแม่งเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดี ซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์รักษาสงบ (ศรส.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศรส. ได้เดินจากห้องทำงานไปตรวจเยี่ยมกำลังพลที่มาดูแลความสงบภายในสโมสรตำรวจ หลังจากที่นายสุเทพ ประกาศจะนำมวลชนมาปิดล้อมทางเข้าออก เมื่อมาถึงอาคารสโมสรตำรวจด้านหน้า ร.ต.อ.เฉลิม ได้ขึ้นปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงกับกำลังพล ว่า สถานที่แห่งนี้คือ สถานที่ราชการ เป็นทรัพย์สมบัติแผ่นดิน ใครทำความผิดบุกรุกสถานที่ราชการถือเป็นความผิดซึ่งหน้า
"หากใครบุกรุก จับแม่งมันเลย เราไม่กลัวม็อบที่มีอาวุธสงคราม แต่เกรงว่าพี่น้องสุจริตชนที่ถูกนายสุเทพ หลอกลวงมาจะได้รับอันตรายมากกว่า เทพเอ๊ย ฟังแล้วอย่ามายุ่งกับสโมสรตำรวจ มาแล้วให้ผ่านไป ด่าผมได้ แต่อย่าด่าสถาบันตำรวจ "
หลังจากกล่าวจบ ร.ต.อ.เฉลิม ได้เดินแวะเยี่ยมกำลังพลครู่หนึ่ง ก่อนกลับเข้าห้องทำงานในตึก บช.ปส. ทันที
**"เทือก"ท้า"เหลิม"ชกกันตัวต่อตัว
ขณะที่บรรยากาศด้านหน้าสโมสรตำรวจ หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิม ปราศรัยจบไม่ถึง 5 นาที ขบวนของนายสุเทพ ก็เดินทางมาถึง โดยบรรดาแกนนำประกอบด้วย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายชุมพล จุลใส โดยนายพุทธิพงษ์ และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ได้สลับกันขึ้นปราศรัยโจมตีการทำหน้าที่ของศรส. ขณะที่นายสุเทพ ได้ขึ้นปราศรัยว่า รัฐบาลหมดความชอบธรรม ตั้งแต่วันที่ปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ชอบธรรมทางกฎหมาย และไม่ชอบธรรมทางการเมือง เพื่อให้ตำรวจทราบว่า ประชาชนไม่ต้องการระบอบทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชั่วร้ายไม่ต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้ตำรวจตรึกตรอง เราทำเพื่อลูกหลาน จะได้ตอบลูกหลานได้ว่า ไม่ได้รับใช้ทรราช ตนเคยเป็นรองนายกฯ ดูแลตำรวจไม่เคยสั่งให้ตำรวจทำสิ่งชั่วร้าย
“เหลิมนายกับเรา มาชกกันตัวต่อตัวหน้าตำรวจนี้ ถ้าแพ้ กูมอบตัว ถ้ากูน็อคมึง มึงมาคลานตามกู ว่าไงเหลิม มาพบกับกำนันแก่ๆ อย่างกูมั้ยเหลิม”นายสุเทพ กล่าว
ภายหลังนายสุเทพปราศรัย เสร็จสิ้น ขบวนผู้ชุมนุม กปปส.ได้เดินเคลื่อนขบวนออกไปยัง ตึกชินวัตร 3 ต่อทันที โดยใช้เวลาอยู่ที่หน้าสโมสรตำรวจประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
**ศาลสั่งห้ามสลายการชุมนุม
เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ศาลแพ่ง ถนนรัชดาฯ ได้อ่านคำพิพากษาในคดี ที่นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส.และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิด จากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล และออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยมิชอบและยังไม่มีเหตุจำเป็น ซึ่งผู้ฟ้องขอให้ศาล สั่งเพิกถอนการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และห้ามใช้กำลังสลายการชุมนุม
โดยวันนี้ นายถาวร ฝ่ายโจทก์ ไม่ได้เดินทางมาศาล มีเพียง นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ มาฟังคำพิพากษา ส่วนฝั่งจำเลยมี ผู้รับมอบฉันทะ จากจำเลยที 2 ที่ 3 มาศาล
ศาลพิเคราะห์ จากคำเบิกความของโจทก์ จำเลย แล้วเห็นว่า กฎหมายให้อำนาจฝ่ายบริหารในการออก พรก.ฉุกเฉิน เมื่อเห็นว่า สถานการณ์บ้านเมือง อยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่การออก พรก. ฉุกเฉิน ดังกล่าว ต้องมีผลบังคับใช้กับ คนทุกกลุ่ม แต่ศาลเห็นว่า การออกประกาศ ของจำเลย นั้น เป็นการบังคับใช้ กับ ผู้ชุมนุม ที่มาชุมนุมตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ ศาลจึงสั่งห้ามจำเลย 9 ข้อ
1. ห้ามจำเลย มีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม
2. ห้ามจำเลยยึดอายัด สินค้า อุปโภค บริโภค ที่ใช้ในการสนับสนุนการชุมนุม ของโจทก์ และผู้ชุมนุม
3.ห้ามจำเลย ตรวจค้น รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ของผู้ชุมนุม
4.ห้ามจำเลย ห้าม ผู้ชุมนุมซื้อขายสิค้า เครื่องอุปโภค บริโภคที่ใช้ในการชุมนุม
5.ห้ามจำเลย ปิดการจราจรเส้นทางคมนาคม
6.ห้ามจำเลย สั่งห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
7.ห้ามจำเลย สั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ตามที่จำเลยกำหนดไว้ในประกาศ
8.ห้ามจำเลย สั่งผู้ชุมนุมห้ามใช้อาคาร
9.ห้ามจำเลย มีคำสั่งห้ามบุคคล เข้า และ ออก พื้นที่การชุมนุม
ส่วน ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ศาลแพ่ง ไม่มีคำสั่ง เพิกถอนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ในองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 5 คน มีผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 2 คน มีความเห็นแย้ง โดยเห็นว่า ควรจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศ และข้อกำหนดทุกฉบับที่อาศัยอำนาจตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 57 เนื่องจาก เห็นว่าข้อกำหนดดังกล่าว เป็นการออกมาเพื่อมุ่งใช้บังคับบุคคลบางกลุ่ม คือโจทก์และผู้ชุมนุม ซึ่งในการชุมนุมศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่า การชุมนุมของโจทก์และผู้ชุมนุม เป็นการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ รวมทั้งมีเหตุผลมาจากความไม่ไว้วางใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ที่เป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงเป็นการลิดรอนสิทธิของโจทก์และผู้ชุมนุมตามกฎหมาย
นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายถาวร เสนเนียม แกนนำกปปส.กล่าวว่า คำพิพากษาศาลแพ่งเสียงข้างมากชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลมีอำนาจในการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะเป็นอำนาจโดยเฉพาะของฝ่ายบริหาร แต่การบังคับใช้ โดยอาศัยผลของ ม.9,11 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่สามารถบังคับใช้กับกลุ่มผู้ชุมนุมได้ เนื่องจากเป็นการออกมาชุมนุมและต่อสู้เพื่อเรียกร้องเมื่อรัฐบาลที่มีปัญหาคอรัปชั่นและการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงการไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ การแก้ไขร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม การทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังนั้น การที่รัฐบาลมาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อวันที่ 21 ม.ค.57 และข้อกำหนดมตรา 9,11 นั้น นำมาดำเนินการไม่ได้โดยเฉพาะห้ามสลายการชุมนุม
ทั้งนี้มีผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 2 เสียง จาก 5 เสียงมีความเห็นแย้งว่า ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ควรเพิกถอนไป เท่ากับว่าคำพิพากษาในวันนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นหหมัน เพียงให้อำนาจฝ่ายบริหารออกประกาศได้ แต่ไม่สามารถใช้กับผู้ชุมนุมได้ กรณีดังกล่าวชี้ว่าการใช้อำนาจบริหารยังมีการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจจากฝ่ายตุลาการอยู่ ซึ่งผลคำพิพากษาวันนี้จะนำไปประกอบกับคำร้องที่เคยยื่นต่อศาลแพ่งกรณีที่รัฐบาลฝ่าฝืนอำนาจศาล ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าพื้นที่สลายการชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าเมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาบางส่วนในความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะมีผลเป็นอย่างไร นายสวัสดิ์กล่าวว่า เมื่อศาลเหตุว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเป็นหมั้น การออกหมายจับในข้อฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จึงต้องยกเลิก ทีมทนายความจะยื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายจับกรณีดังกล่าวต่อศาลอาญาต่อไป
ด้านนายเจษฎา อนุจารี หนึ่งในทีมทนายความ กปปส. กล่าวว่า ผลคำพิพากษาหากคู่ความติดใจจะอุทธรณ์ก็สามารถทำได้ภายใน 30 วันตามกฎหมาย ซึ่งคำสั่งของศาลที่ห้ามรัฐบาลใช้ประกาศและข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีอยู่หลายข้อที่ทางโจทก์ได้ยื่นขอต่อศาล ส่วนข้อที่เหลือรัฐบาลยังคงสามารถกระทำตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ แต่ก็เป็นข้อที่ไม่มีจำเป็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ฝ่ายจำเลยทั้งสามคงมีเพียงผู้แทนมาฟังคำพิพากษาเท่านั้น ส่วนฝ่ายโจทก์มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งและทีมทนายความมาฟังคำพิพากษา จนแน่นห้องพิจารณาคดี
**“เฉลิม”อ้างไม่รู้สึกว่าถูกลดอำนาจ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. กล่าวภายหลังศาลแพ่งมีคำวินิจฉัยไม่เพิกถอนประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ออกข้อห้ามสลายการชุมนุมว่า ขอขอบคุณศาลที่เข้าใจการบริหารราชการของรัฐบาล ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ฝากขอบคุณศาลเช่นเดียวกัน ส่วนข้อห้ามสลายการชุมนุม แม้ศาลไม่สั่ง ศรส. ก็ไม่ปฏิบัติอยู่แล้ว หากเป็นการชุมนุมสงบ เปิดเผย ปราศจากอาวุธ ไม่บุกรุกยึดสถานที่ราชการ แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ เนื่องจากผู้ชุมนุมไม่ได้ชุมนุมอย่างสงบ ซึ่งตรงนี้สามารถชี้แจงศาลได้
อย่างไรก็ตาม คำนิวิจฉัยดังกล่าวถือว่าศาลสั่งโดยชอบแล้ว และคงมีข้อห่วงใยไม่อยากให้สลายการชุมนุม ทั้งนี้ การที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าวทำให้ศรส.ทำงานง่ายขึ้น ไม่รู้สึกว่าสูญเสียสถานะ หรือถูกลดอำนาจ และแม้พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ถูกเพิกถอน ศรส.ก็จะไม่ฮึกเหิม ส่วนหากสถานการณ์ยืดเยื้อไปถึงเดือนมี.ค.จะต้องต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายกฯ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังศาลมีคำวินิจฉัยแล้ว จะยังมีปฏิบัติตรวจการค้นเหมือนเมื่อวันที่ 18 ก.พ.อีกหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ถ้ามีแหล่งซ่องสุมที่ไหนก็ต้องดำเนินการ อย่างรอบทำเนียบฯมีรายงานว่าอาวุธเต็มไปหมด การ์ดก็มีอาวุธติดตัวทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม การขอเปิดสถานที่ราชการยังคงเดินหน้าต่อ เพราะเป็นคนละเรื่องกับการชุมนุม
ผอ.ศรส.กล่าวว่า ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อไปนานแค่ไหน ตนไม่สามารถประเมินได้ แต่เชื่อว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.จะล้มรัฐบาลไม่สำเร็จ หากสำเร็จจะไปกราบตักนายสุเทพ อย่างไรก็ตาม ตนได้อ่านบทวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์แคนาดาที่วิเคราะห์ว่าจุดจบของนายสุเทพจะถูกฆาตกรรม
เมื่อถามว่า จะเปิดเผยผู้ที่อยู่เบื้องหลังนายสุเทพได้เมื่อไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า “ไม่อยากพูดเดี๋ยวบ่อนแตก”
ผู้สื่อข่าวรายงาน บรรยากาศ หน้าสำนักงานกระทรวงกลาโหม (สป.กห.) เมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ ในช่วงเช้า มวลชนกลุ่มกปปส.ได้ทยอยเดินทางมาชุมนุมหน้าสำนักงาน ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. ประกาศจะนำมวลชน มาปิดล้อม ไล่ล่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่จะมาทำงานที่นี่
ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มีทหาร 3 กองร้อย และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร ภาค 1 จำนวน 8 กองร้อย พร้อมเพิ่มเครื่องบินสอดแนมไร้คนขับ (ยูเอวี) 1 ฝูง จำนวน 4 ลำ รถดับเพลิง เทศบาลนครปากเกร็ด จ.นนทบุรี อีกทั้งมีการติดตั้งลำโพง ขยายเสียง ด้านหน้าอาคาร เพื่อสื่อสารให้ชัดเจน ขณะที่ ออฟฟิส โดยรอบสำนักงานปลัดกลาโหม สั่งปิดตัวอาคาร และให้พนักงานบางส่วนหยุดทำงาน อาทิ ตึกธนาคารกสิกรไทย
นอกจากนี้ ภายในเมืองทองธานี มีการจัดงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนระดับชาติ ครั้งที่ 63 ซึ่งจะมีนักเรียนมาร่วมงานถึง 25,000 คน และงานเฟอร์นิเจอร์บางกอกเอ็กซ์โป นอกจากนี้พบว่า มีการโรยตะปูเรือใบ ที่ถนนแจ้งวัฒนะ ด้านหน้าเมืองทองธานี ขณะที่ผูัชุมนุมเริ่ม ทยอยมามากขึ้น
ต่อมาเวลา 10.10 น. พล.ต.สุรชาติ จิตต์แจ้ง หัวหนัาส่วนประชาสัมพันธ์ และสารสนเทศ สำนักรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม แถลงชี้แจงทำความเข้าใจว่า วันนี้นายกรัฐมนตรี และครม.ทุกคน ไม่มีภารกิจมาปฏิบัติงานที่ สป.กห. เนื่องจากนายกฯ มีความตระหนักถึงความเดือดร้อน ความยุ่งยาก และความตึงเครียดที่จะเกิดขึ้น ต่อข้าราชการ สป.กห. และหน่วยงานต่างๆ รวมถึงประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบ
ส่วนที่มีการโรยตะปูเรือใบ บนถนนแจ้งวัฒนะ ด้านหน้าเมืองทองธานี จุดประสงค์เพื่อขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ ขอให้ประชาชนที่สัญจรไปมา ได้ใช้ความระมัดระวัง
*****สุเทพเข้าเจรจาผู้นำทหาร
กระทั่งเวลา12.00 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. พร้อมด้วยแกนนำ อาทิ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายเอกนัฎ พร้อมพันธุ์ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ได้เดินทางมาถึง สป.กห. และเข้าเจรจากับ พล.อ.อภิชาต แสงรุ่งเรือง ผู้อำนวยการ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศพลังงานทหาร (ศอพท.) พร้อมด้วย พล.ท.อดุลยเดช อินทะพงษ์ เจ้ากรมการเงินกลาโหม โดย พล.อ.อภิชาต กล่าวว่า การเข้ามาในสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นการทำงานตามปกติ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของทหาร ซึ่งไม่เคยสั่งการให้ใช้กำลังทหารดำเนินการกับผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ทหารที่มาประจำการที่นี่ ก็ไม่ได้ติดอาวุธ
นายสุเทพ กล่าวว่า ที่ตนมาในครั้งนี้ เนื่องจากมวลมหาประชาชนได้ประกาศชัดเจนว่า จะต้องขจัดระบอบทักษิณ ให้หมดไปจากประเทศไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นชิ้นส่วนสุดท้ายของระบอบทักษิณ ที่อยู่ในประเทศนี้ ต้องออกไป เหตุผลคือ ระบอบทักษิณ เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งช่วงที่ได้ทำงานร่วมกัน มีหลักฐานที่แสดงอาการว่ามุ่งร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งคนไทยรับไม่ได้อยู่แล้ว
ส่วนเรื่องที่น่ากลัวที่สุดคือ การทุจริต คอร์รัปชัน โครงการรับจำนำข้าว มีการทุจริตเป็นจำนวน 7-8 แสนล้านบาท ขาดทุนแน่นอนอยู่ที่ 4-5 แสนล้านบาท แถมชาวนาไม่ได้รับเงินค่าข้าว ขณะที่การการโกงกัน ไม่ได้โกงกันร้อยละ 5-10 แต่โกงกันร้อยละ 30-40 จะเหลืออะไรมาพัฒนาประเทศ
ขณะเดียวของฝากถึง พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม ด้วยว่า ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังมาทำงานที่นี่ ประชาชนก็จะมาล้อมทุกวัน และอาจจะต้องอยู่ 24 ชั่วโมง มีการย้ายเวทีมาอยู่ที่นี่ เพราะต้องการให้ออกไป
***ยกระดับโจมตีธุรกิจของตระกูลชินวัตร
นายสุเทพ ยังได้ประกาศจะยกรับการชุมนุมพุ่งเป้าโจมตีธุรกิจของตระกูลชินวัตรทั้งหมด โดยเฉพาะ บมจ. แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC)โดยเตือนให้นักลงทุนรีบขายหุ้นบริษัทเหล่านี้ออกให้หมด
"จากนี้ไปเราจะยกระดับการชุมนุม ถ้ายังดื้อด้านจะโจมตีธุรกิจของตระกูลชินวัตร จะตัดท่อน้ำเลี้ยงของตระกูลชินวัตรทั้งหมด ขอให้นักลงทุนที่ถือหุ้นของบริษัทเหล่านี้รีบขายหุ้นออกให้หมดก่อนที่หุ้นจะเจ๊ง แล้วอย่ามาโกรธกัน เพราะเราเตือนล่วงหน้าแล้ว"นายสุเทพ กล่าว
**ทหารยันต้องทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
ด้านพล.อ.อภิชาต กล่าวว่า ทหารเป็นทหารของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประชาชน สิ่งที่เราดูแลตามหน้าที่ คือดูแลตึกสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่บังเอิญตึกนี้มีห้องทำงานของ รมว.กลาโหม ซึ่งมีบางงานที่ รมว.กลาโหม ต้องมาลงนาม ยืนยันว่า ถ้าเกิดนายกฯ อยู่ก็จะบอกว่าอยู่ ถ้าจะมาจับตัว ขอกันเลยว่า เข้ามาไม่ได้ ทหารสั่งให้ไปตาย ก็ตายได้ตามหน้าที่
หลังการเจรจา พล.อ.อภิชาต ยังให้สัมภาษณ์ด้วยว่า ที่บอกว่า ทหารยอมไม่ได้หากเข้ามาจับตัวนายกฯนั้น หมายความว่า หากมีการรุกล้ำเข้ามาในตัวอาคาร ก็ต้องพูดคุยกันแบบทหาร และคิดว่านายสุเทพ ก็เข้าใจว่าทหารทำตามหน้าที่ และที่ประกาศจะจับตัวนายกฯ เพียงแต่ตนมาคุยกับนายสุเทพว่า นายกฯไม่ได้อยู่ในนี้ และกระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยงานที่ต้องทำงานตลอดเวลา ที่ผ่านมานายกฯ เข้ามาทำงานในฐานะ รมว.กลาโหม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายสุเทพ จะเดินออกจากห้อง ได้มีข้าราชการทหารในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มอบเงินใส่ซองสีน้ำตาลให้กับนายสุเทพ พร้อมกับบอกว่า ขอมอบเงินสมทบช่วยชาวนาด้วย
**"ปู"ย่องเงียบรพ.ตำรวจเยี่ยมผู้บาดเจ็บ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึงรัฐมนตรี ไม่ได้ไปปฏิบัติภารกิจที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่ได้ติดตามสถานการณ์ และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ในเซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ขณะที่คนใกล้ชิดน.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ ที่สะพานผ่านฟ้า นายกฯรูัสึกเสียใจต่อเหตุการณ์ ทำให้ตัดสินใจไม่เข้ามาปฎิบัติหน้าที่ยัง สป.กห. เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเหตุกระทบกระทั่ง อย่างไรก็ตามช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายกฯได้เดินทางเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ที่โรงพยาบาลตำรวจ
** "เหลิม"ลั่นใครบุกศรส.จับแม่งเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สโมสรตำรวจ ถ.วิภาวดี ซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์รักษาสงบ (ศรส.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.ศรส. ได้เดินจากห้องทำงานไปตรวจเยี่ยมกำลังพลที่มาดูแลความสงบภายในสโมสรตำรวจ หลังจากที่นายสุเทพ ประกาศจะนำมวลชนมาปิดล้อมทางเข้าออก เมื่อมาถึงอาคารสโมสรตำรวจด้านหน้า ร.ต.อ.เฉลิม ได้ขึ้นปราศรัยผ่านเครื่องขยายเสียงกับกำลังพล ว่า สถานที่แห่งนี้คือ สถานที่ราชการ เป็นทรัพย์สมบัติแผ่นดิน ใครทำความผิดบุกรุกสถานที่ราชการถือเป็นความผิดซึ่งหน้า
"หากใครบุกรุก จับแม่งมันเลย เราไม่กลัวม็อบที่มีอาวุธสงคราม แต่เกรงว่าพี่น้องสุจริตชนที่ถูกนายสุเทพ หลอกลวงมาจะได้รับอันตรายมากกว่า เทพเอ๊ย ฟังแล้วอย่ามายุ่งกับสโมสรตำรวจ มาแล้วให้ผ่านไป ด่าผมได้ แต่อย่าด่าสถาบันตำรวจ "
หลังจากกล่าวจบ ร.ต.อ.เฉลิม ได้เดินแวะเยี่ยมกำลังพลครู่หนึ่ง ก่อนกลับเข้าห้องทำงานในตึก บช.ปส. ทันที
**"เทือก"ท้า"เหลิม"ชกกันตัวต่อตัว
ขณะที่บรรยากาศด้านหน้าสโมสรตำรวจ หลังจากที่ ร.ต.อ.เฉลิม ปราศรัยจบไม่ถึง 5 นาที ขบวนของนายสุเทพ ก็เดินทางมาถึง โดยบรรดาแกนนำประกอบด้วย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายชุมพล จุลใส โดยนายพุทธิพงษ์ และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ได้สลับกันขึ้นปราศรัยโจมตีการทำหน้าที่ของศรส. ขณะที่นายสุเทพ ได้ขึ้นปราศรัยว่า รัฐบาลหมดความชอบธรรม ตั้งแต่วันที่ปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ชอบธรรมทางกฎหมาย และไม่ชอบธรรมทางการเมือง เพื่อให้ตำรวจทราบว่า ประชาชนไม่ต้องการระบอบทักษิณ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชั่วร้ายไม่ต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้ตำรวจตรึกตรอง เราทำเพื่อลูกหลาน จะได้ตอบลูกหลานได้ว่า ไม่ได้รับใช้ทรราช ตนเคยเป็นรองนายกฯ ดูแลตำรวจไม่เคยสั่งให้ตำรวจทำสิ่งชั่วร้าย
“เหลิมนายกับเรา มาชกกันตัวต่อตัวหน้าตำรวจนี้ ถ้าแพ้ กูมอบตัว ถ้ากูน็อคมึง มึงมาคลานตามกู ว่าไงเหลิม มาพบกับกำนันแก่ๆ อย่างกูมั้ยเหลิม”นายสุเทพ กล่าว
ภายหลังนายสุเทพปราศรัย เสร็จสิ้น ขบวนผู้ชุมนุม กปปส.ได้เดินเคลื่อนขบวนออกไปยัง ตึกชินวัตร 3 ต่อทันที โดยใช้เวลาอยู่ที่หน้าสโมสรตำรวจประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
**ศาลสั่งห้ามสลายการชุมนุม
เมื่อวันที่ 19 ก.พ. ศาลแพ่ง ถนนรัชดาฯ ได้อ่านคำพิพากษาในคดี ที่นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส.และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร เป็นจำเลยที่ 1-3 เรื่องละเมิด จากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล และออกข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยมิชอบและยังไม่มีเหตุจำเป็น ซึ่งผู้ฟ้องขอให้ศาล สั่งเพิกถอนการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และห้ามใช้กำลังสลายการชุมนุม
โดยวันนี้ นายถาวร ฝ่ายโจทก์ ไม่ได้เดินทางมาศาล มีเพียง นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ มาฟังคำพิพากษา ส่วนฝั่งจำเลยมี ผู้รับมอบฉันทะ จากจำเลยที 2 ที่ 3 มาศาล
ศาลพิเคราะห์ จากคำเบิกความของโจทก์ จำเลย แล้วเห็นว่า กฎหมายให้อำนาจฝ่ายบริหารในการออก พรก.ฉุกเฉิน เมื่อเห็นว่า สถานการณ์บ้านเมือง อยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่การออก พรก. ฉุกเฉิน ดังกล่าว ต้องมีผลบังคับใช้กับ คนทุกกลุ่ม แต่ศาลเห็นว่า การออกประกาศ ของจำเลย นั้น เป็นการบังคับใช้ กับ ผู้ชุมนุม ที่มาชุมนุมตามสิทธิของรัฐธรรมนูญ ศาลจึงสั่งห้ามจำเลย 9 ข้อ
1. ห้ามจำเลย มีคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม
2. ห้ามจำเลยยึดอายัด สินค้า อุปโภค บริโภค ที่ใช้ในการสนับสนุนการชุมนุม ของโจทก์ และผู้ชุมนุม
3.ห้ามจำเลย ตรวจค้น รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง ของผู้ชุมนุม
4.ห้ามจำเลย ห้าม ผู้ชุมนุมซื้อขายสิค้า เครื่องอุปโภค บริโภคที่ใช้ในการชุมนุม
5.ห้ามจำเลย ปิดการจราจรเส้นทางคมนาคม
6.ห้ามจำเลย สั่งห้ามชุมนุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
7.ห้ามจำเลย สั่งห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ตามที่จำเลยกำหนดไว้ในประกาศ
8.ห้ามจำเลย สั่งผู้ชุมนุมห้ามใช้อาคาร
9.ห้ามจำเลย มีคำสั่งห้ามบุคคล เข้า และ ออก พื้นที่การชุมนุม
ส่วน ประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ศาลแพ่ง ไม่มีคำสั่ง เพิกถอนแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ในองค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 5 คน มีผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 2 คน มีความเห็นแย้ง โดยเห็นว่า ควรจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนประกาศ และข้อกำหนดทุกฉบับที่อาศัยอำนาจตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 57 เนื่องจาก เห็นว่าข้อกำหนดดังกล่าว เป็นการออกมาเพื่อมุ่งใช้บังคับบุคคลบางกลุ่ม คือโจทก์และผู้ชุมนุม ซึ่งในการชุมนุมศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่า การชุมนุมของโจทก์และผู้ชุมนุม เป็นการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธ รวมทั้งมีเหตุผลมาจากความไม่ไว้วางใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ที่เป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงเป็นการลิดรอนสิทธิของโจทก์และผู้ชุมนุมตามกฎหมาย
นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายถาวร เสนเนียม แกนนำกปปส.กล่าวว่า คำพิพากษาศาลแพ่งเสียงข้างมากชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลมีอำนาจในการออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะเป็นอำนาจโดยเฉพาะของฝ่ายบริหาร แต่การบังคับใช้ โดยอาศัยผลของ ม.9,11 แห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่สามารถบังคับใช้กับกลุ่มผู้ชุมนุมได้ เนื่องจากเป็นการออกมาชุมนุมและต่อสู้เพื่อเรียกร้องเมื่อรัฐบาลที่มีปัญหาคอรัปชั่นและการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงการไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ การแก้ไขร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรม การทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังนั้น การที่รัฐบาลมาประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เมื่อวันที่ 21 ม.ค.57 และข้อกำหนดมตรา 9,11 นั้น นำมาดำเนินการไม่ได้โดยเฉพาะห้ามสลายการชุมนุม
ทั้งนี้มีผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 2 เสียง จาก 5 เสียงมีความเห็นแย้งว่า ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ควรเพิกถอนไป เท่ากับว่าคำพิพากษาในวันนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นหหมัน เพียงให้อำนาจฝ่ายบริหารออกประกาศได้ แต่ไม่สามารถใช้กับผู้ชุมนุมได้ กรณีดังกล่าวชี้ว่าการใช้อำนาจบริหารยังมีการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจจากฝ่ายตุลาการอยู่ ซึ่งผลคำพิพากษาวันนี้จะนำไปประกอบกับคำร้องที่เคยยื่นต่อศาลแพ่งกรณีที่รัฐบาลฝ่าฝืนอำนาจศาล ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าพื้นที่สลายการชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าเมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่ศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาบางส่วนในความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะมีผลเป็นอย่างไร นายสวัสดิ์กล่าวว่า เมื่อศาลเหตุว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเป็นหมั้น การออกหมายจับในข้อฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จึงต้องยกเลิก ทีมทนายความจะยื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายจับกรณีดังกล่าวต่อศาลอาญาต่อไป
ด้านนายเจษฎา อนุจารี หนึ่งในทีมทนายความ กปปส. กล่าวว่า ผลคำพิพากษาหากคู่ความติดใจจะอุทธรณ์ก็สามารถทำได้ภายใน 30 วันตามกฎหมาย ซึ่งคำสั่งของศาลที่ห้ามรัฐบาลใช้ประกาศและข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีอยู่หลายข้อที่ทางโจทก์ได้ยื่นขอต่อศาล ส่วนข้อที่เหลือรัฐบาลยังคงสามารถกระทำตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ แต่ก็เป็นข้อที่ไม่มีจำเป็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ฝ่ายจำเลยทั้งสามคงมีเพียงผู้แทนมาฟังคำพิพากษาเท่านั้น ส่วนฝ่ายโจทก์มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งและทีมทนายความมาฟังคำพิพากษา จนแน่นห้องพิจารณาคดี
**“เฉลิม”อ้างไม่รู้สึกว่าถูกลดอำนาจ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศรส. กล่าวภายหลังศาลแพ่งมีคำวินิจฉัยไม่เพิกถอนประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ออกข้อห้ามสลายการชุมนุมว่า ขอขอบคุณศาลที่เข้าใจการบริหารราชการของรัฐบาล ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ฝากขอบคุณศาลเช่นเดียวกัน ส่วนข้อห้ามสลายการชุมนุม แม้ศาลไม่สั่ง ศรส. ก็ไม่ปฏิบัติอยู่แล้ว หากเป็นการชุมนุมสงบ เปิดเผย ปราศจากอาวุธ ไม่บุกรุกยึดสถานที่ราชการ แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์ เนื่องจากผู้ชุมนุมไม่ได้ชุมนุมอย่างสงบ ซึ่งตรงนี้สามารถชี้แจงศาลได้
อย่างไรก็ตาม คำนิวิจฉัยดังกล่าวถือว่าศาลสั่งโดยชอบแล้ว และคงมีข้อห่วงใยไม่อยากให้สลายการชุมนุม ทั้งนี้ การที่ศาลมีคำสั่งดังกล่าวทำให้ศรส.ทำงานง่ายขึ้น ไม่รู้สึกว่าสูญเสียสถานะ หรือถูกลดอำนาจ และแม้พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ถูกเพิกถอน ศรส.ก็จะไม่ฮึกเหิม ส่วนหากสถานการณ์ยืดเยื้อไปถึงเดือนมี.ค.จะต้องต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายกฯ
ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังศาลมีคำวินิจฉัยแล้ว จะยังมีปฏิบัติตรวจการค้นเหมือนเมื่อวันที่ 18 ก.พ.อีกหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ถ้ามีแหล่งซ่องสุมที่ไหนก็ต้องดำเนินการ อย่างรอบทำเนียบฯมีรายงานว่าอาวุธเต็มไปหมด การ์ดก็มีอาวุธติดตัวทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม การขอเปิดสถานที่ราชการยังคงเดินหน้าต่อ เพราะเป็นคนละเรื่องกับการชุมนุม
ผอ.ศรส.กล่าวว่า ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อไปนานแค่ไหน ตนไม่สามารถประเมินได้ แต่เชื่อว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส.จะล้มรัฐบาลไม่สำเร็จ หากสำเร็จจะไปกราบตักนายสุเทพ อย่างไรก็ตาม ตนได้อ่านบทวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์แคนาดาที่วิเคราะห์ว่าจุดจบของนายสุเทพจะถูกฆาตกรรม
เมื่อถามว่า จะเปิดเผยผู้ที่อยู่เบื้องหลังนายสุเทพได้เมื่อไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า “ไม่อยากพูดเดี๋ยวบ่อนแตก”