วานนี้ (17ก.พ.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง เป็นประธานจัดประชุมรับฟังและนำเสนอความคิดเห็น เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการเลือกตั้งส.ส. โดยมีตัวแทนจากรัฐบาล พรรคเพื่อไทย นักวิชาการ อาทิ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัยเกษม นิติศิริ รมว.ยุติธรรม นายพีรพันธุ์ พาลุสุข รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายคณิน บุญสุวรรณ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นางนันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ และผู้อำนวยการเลือกตั้ง 8 จังหวัดภาคใต้ ที่ยังมีปัญหาในการจัดการ เลือกตั้ง
โดยนายพงศ์เทพ ได้แสดงความกังวลว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ มีพรรคการเมืองอีกกว่า 50 พรรค ที่ส่งผู้สมัคร แต่เหตุจึงเชิญผู้แทนเฉพาะพรรคเพื่อไทยมาประชุม ซึ่งนายสมชัย ชี้แจงว่า เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นผู้มีส่วนได้เสียหลัก หากเชิญหลายฝ่ายมาพูดคุย เวลาอาจไม่เพียงพอ ซึ่งข้อสรุปที่ได้จะนำเสนอต่อที่ประชุมกกต.ต่อไป โดยนายสมชัยได้นำเสนอ 7 ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. จนทำให้กกต.ไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้ เช่น ใน 28 เขตเลือกตั้ง 8 จังหวัดภาคใต้ ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะทำอย่างไรให้ไม่มีการขัดขวาง การจัดพิมพ์และกระจายบัตรถูกขัดขวาง การไม่สามารถจัดหากรรมการประจำหน่วยได้ การเกิดปัญหาอุปสรรคในวันเลือกตั้ง อุปกรณ์ไม่มา กรรมการประจำหน่วยลาออก การไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานความมั่นคง ในการเข้ามาช่วยจัดการเลือกตั้ง และการประกาศผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน ต้องได้คะแนนครบ 93,952 หน่วยเลือกตั้งก่อน แล้วจึงประกาสผลได้ กรณียังจัดการเลือกตั้งในส่วนที่ขาดอีก 10,284 หน่วยเลือกตั้งไมได้ จะทำอย่างไร ไม่เช่นนั้นจะเปิดประชุมสภาไม่ได้
**บีบกกต.ต้องแหกกฎ กติกา
ซึ่งที่ประชุมได้นำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหากรณี 28 เขตเลือกตั้งว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการขัดขวาง ควรมีการเปิดรับสมัครนอกเขตเลือกตั้ง นอกเขตจังหวัด หรืออาจใช้ค่ายทหารเป็นสถานที่รับสมัคร และให้ถือว่า ผู้ที่ไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจในวันรับสมัคร เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่การจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้ง และการจัดส่งบัตรเลือกตั้งลงยังพื้นที่ มองว่าเป็นปัญหาการบริหารภายในของ กกต. ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดพิมพ์ การขนส่ง ซึ่งจะต้องดำเนินการโดยลับ โดยการขนส่ง อาจขอความร่วมมือหน่วยราชการช่วยดำเนินการ เช่น การขอเครื่องบินของกองทัพในการขนส่งก็ได้ แต่ก็ต้องคงระบบการตรวจสอบการการป้องกันการปลอมบัตรไว้อย่างเข้มข้น
สำหรับปัญหาการขาดคนเป็นกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง หรือ กปน. เห็นว่า ให้สามารถรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งเป็น กปน. ประกาศเปิดรับอาสาสมัครเป็นกปน. รวมถึงให้มีการดำเนินการเอาผิดทางวินัยกับ กปน. หรือ กกต.เขต ที่ละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ การกระจายบัตร อุปกรณ์ ก็ควรเพิ่มจุดกระจายบัตร ทำในลักษณะ ลับ ลวง พราง พร้อมให้หน่วยงานทหารเข้ามาสนับสนุน ทำเป็นลักษณะกองกำลังเพื่อให้เกิดความสำเร็จ
ส่วนกรณีวันเลือกตั้งเกิดอุปสรรค เช่น บัตรไม่มา อุปกรณ์ไม่ครบ เห็นว่า กกต.ควรมีชุดอุปกรณ์สำรอง ทั้งหีบ ทั้งบัตรสำรอง และจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว เอาไว้นำส่งไปยังหน่วยเลือกตั้งที่มีปัญหา
** ใช้กม.จัดการผู้ขัดขวางอย่างเด็ดขาด
พล.ต.สุวัฒน์ เรืองสกุล ประธานกกต. นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ที่ภาคใต้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เพราะมีการส่งสัญญาณขัดขวางการเลือกตั้งจาก กปปส. ส่วนกลาง ซึ่งการดำเนินคดีกับผู้ที่ขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้ผู้ที่คิดจะทำผิดเกิดความเกรงกลัว แต่ที่ไม่กลัวกันอยู่เวลานี้ เพราะเขาเห็นว่า ขนาดแกนนำ กปปส.ในส่วนกลางถูกออกหมายจับ แต่ในทางปฏิบัติ ก็ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด ดังนั้นถ้าจะให้การจัดการเลือกตั้งสำเร็จ เห็นว่าจะต้องมีการ บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด
ขณะที่นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาระดับชาติ เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง การจะให้เลิกขัดขวางการเลือกตั้งเห็นว่า กกต.ควรใช้ มาตรา 26 (3) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว. เรียกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกผู้ที่มีแนวโน้มจะขัดขวางการเลือกตั้ง โดยเฉพาะแกนนำ กลุ่ม กปปส. อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มาชี้แจงต่อ กกต. และให้ยืนยันว่า กปปส. จะไม่ขัดขวางการเลือกตั้ง
ส่วนความร่วมมือของฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ที่ในการเลือกตั้ง วันที่ 2 ก.พ. แม้ระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ จะมีหนังสือยืนยันว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับกกต.ในการจัดการเลือกตั้งทุกอย่าง แต่กลับมีปัญหาในระดับปฏิบัติ ที่ปฏิเสธการให้ความร่วมมือ อย่างเช่น การขอทหารมาร่วมเป็น กปน. การปฏิบัติไม่ให้ใช้ค่ายทหารเป็นสถานที่เก็บบัตรเลือกตั้ง ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า ในช่วง มีพ.ร.ฎ.เลือกตั้ง กกต.มีอำนาจมากกว่าหน่วยงานไหน เพราะกฎหมายให้กกต. ใช้อำนาจรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 และ 236 ที่กำหนดให้กกต. ต้องจัดการเลือกตั้งโดยสุจริต เที่ยงธรรม ประกอบมาตรา 20 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. มีหนังสือสั่งการไปยังผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานราชการ ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผบ.ตร. ให้ช่วยเหลืองานจัดการเลือกตั้งของ กกต. หากไม่ปฏิบัติ มีโทษ
ขณะที่ในส่วนของการประกาศผล ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 125 คนนั้น ที่ประชุม ส่วนหนึ่ง เห็นว่า กกต.อาจจะออกประกาศการคิดคำนวนสัดส่วน ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อใหม่ โดยกำหนดให้สามารถคำนวนได้ แม้ยังไม่สามารถเลือกตั้งครบทุกเขตเลือกตั้งได้ แต่ในส่วนของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย เห็นว่าตามกฎหมายระบุชัดว่า ให้เอาคะแนนที่ทุกพรรคการเมืองได้รับจากทุกเขตเลือกตั้ง มาคิดคำนวน ดังนั้นจำเป็นต้องรอให้มีการเลือกตั้งครบทุกหน่วย ทำเขตเลือกตั้ง ทั้ง 375 เขตทั่วประเทศก่อน กกต.จึงควรเร่งไขปัญหานี้ ด้วยการจัดการเลือกตั้งในส่วนที่เหลืออีก 10,284 หน่วยโดยเร็ว
นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเลือกตั้ง 2 ก.พ.ที่ผ่านมา เหมือนเป็นปัญหาใหญ่ เพราะกกต.ต้องเลือกตั้ง 375 เขตทั่วประเทศ แต่ตอนนี้จังหวัดที่มีปัญหาเหลือน้อย เป็นไปได้หรือไม่ ที่ กกต.แต่ละคนจะแบ่งพื้นที่จังหวัดที่มีปัญหาอยู่ในการดูแล รวมทั้งเห็นว่า กกต.จำเป็นที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายกับบุคคลที่ขัดขวางการเลือกตั้งให้มีความเด็ดขาด มากกว่านี้
** เลือกตั้งเม.ย.ช้าไป ต้องเลือกเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาเพิ่มเติมในกรณีที่ กกต.กำหนดเลือกตั้งทดแทนวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้ง และวันเลือกตั้ง ในวันที่ 20 เม.ย. และ 27 เม.ย. โดยที่ประชุมเห็นว่า วันที่กกต.กำหนดนั้น ไม่เหมาะสม ล่าช้าเกินไป รวมทั้งเกินกว่ากรอบเวลา 30 วัน ที่มาตรา 127 ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ภายใน 30วัน นับแต่วันเลือกตั้งให้มีการเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อให้ ส.ส.ได้ประชุมกันเป็นครั้งแรก ซึ่ง กกต.ก็ได้พยายามอธิบายว่า ที่ กกต.
กำหนดวันที่ 20 เม.ย. และ 27 เม.ย. มาจากการประเมินความพร้อมของ กกต.จังหวัด รวมถึงมองว่า ในเดือนมี.ค. ทางกกต.จะต้องจัดการเลือกตั้ง ส.ว. จึงไม่อยากให้มีการสอดแทรกการจัดการเลือก ส.ส.เพราะหากมีการขัดขวาง ก็อาจทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ทั้ง ส.ส. และส.ว.
นายคณิน บุญสุวรรณ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กกต.ควรจัดลงคะแนนเลือกตั้งภายในกรอบเวลา 30 วัน ซึ่งถ้าเป็นไปได้ กกต.ควรจัดลงคะแนนเลือกตั้งทดแทนในวันที่ 2 มี.ค.
ด้านนางนันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก กล่าวว่า แนวทางการจัดการเลือกตั้งของกกต.ที่ผ่านมา ทั้งก่อนและหลังวันเลือกตั้ง 2 ก.พ. สังคมมองภาพลักษณ์ กกต.อย่างเคลือบแคลงว่า กกต.มีความมุ่งมั่นที่จะจัดเลือกตั้งให้สำเร็จหรือเปล่า ซึ่งตรงนี้ต้องมีการปรับภาพลักษณ์ให้ชัดว่า หมื่นกว่าหน่วยเลือกตั้งนั้น กกต.มีความกระตือรือร้น ที่จัดการเลือกตั้งให้สำเร็จ โดยจะต้องมีแผนงาน และกรอบเวลาในการดำเนินการที่ชัดเจน แต่ ไม่ใช่เนิ่นนานไปจนถึงเดือนเม.ย. ทำไมเดือน มี.ค. จึงจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ได้ ทำไมไม่เอาอย่างสหรัฐอเมริกา ที่เวลาเลือกตั้งเขาสามารถเลือกตั้งทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ในคราวเดียวกันได้ ดังนั้นในวันที่ 30 มี.ค. ที่จะเลือกส.ว.เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะเลือก ส.ส.ไปด้วยเลย
“กกต. ต้องกระตือรือร้น ที่จะจัดการเลือกตั้งให้เสร็จโดยเร็ว ไม่ใช่จะมามัวแต่จะไปถามหมอดู แล้วหมอดูบอก และปัญหาอีกอย่างคือ หลังการเลือกตั้ง ผู้สมัคร พรรคการเมือง กฎหมายกำหนดให้ต้องยื่นบัญชีค่าใช้จ่ายเลือกตั้งภายใน 90 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง ตรงนี้จะมีความชัดเจนอย่างไร เพราะถ้าเลยไปก็จะทำให้เขาถูกยุบพรรคได้ หรือ กกต.จะปล่อยให้พรรคถูกยุบจนเหลือพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว”
ด้านนายสมชัย ก็กล่าวสรุปว่า การจะจัดการลงคะแนนเลือกตั้งให้ทันกรอบเวลา 30 วัน คงเป็นไปได้ยาก แม้ขณะนี้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี จะยืนยันแล้วว่า จะมีหนังสือตอบกลับมายัง กกต.ว่าไม่ให้ด้วยกับที่ กกต.เสนอให้รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.ให้อำนาจกกต. ในการกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้ง 28 เขต ที่ไม่ผู้สมัครโดยเร็ว อย่างช้าไม่เกินวันพุธที่ 19 ก.พ. ซึ่งกกต.ก็จะได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่อย่างเร็วที่สุดที่ กกต.ส่งได้ก็คือ ภายในวันที่ 21 ก.พ. ซี่งศาลรัฐธรรมนูญ น่าจะมีคำวินิจฉัยได้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งก็เป็นช่วงสุดท้ายของเดือนก.พ. การเตรียมในเรื่องการสมัคร หาเสียง คงทำไม่ทัน วันที่ 2 มี.ค. ดังนั้นที่ กกต.พิจารณาได้ อาจเป็นข้อเสนอที่ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. วันเดียวกันเลือกตั้ง ส.ว.คือวันที่ 30 มี.ค
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาการจัดการเลือกตั้งในครั้งนี้ ทางฝ่ายสำนักงานจะนำไปพิจารณาร่วมกับข้อกฎหมายว่า จะสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้แค่ไหน อย่างไร หากประเด็นไหนที่อยู่ในอำนาจที่กกต. สามารถดำเนินการได้ ก็จะมีมติ และนำมาใช้ปฏิบัติ ส่วนประเด็นไหนที่ต้องแก้ไขพระราชบัญญัติหรือรัฐธรรมนูญ ก็ถือเป็นข้อจำกัดที่ กกต.ไม่อาจพิจารณาได้ โดยทุกประเด็นที่เสนอนั้น กกต.จะมีคำตอบว่า ทำได้ ไม่ได้ อย่างไร หลังการประชุมพุธที่ 19 ก.พ.
โดยนายพงศ์เทพ ได้แสดงความกังวลว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ มีพรรคการเมืองอีกกว่า 50 พรรค ที่ส่งผู้สมัคร แต่เหตุจึงเชิญผู้แทนเฉพาะพรรคเพื่อไทยมาประชุม ซึ่งนายสมชัย ชี้แจงว่า เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นผู้มีส่วนได้เสียหลัก หากเชิญหลายฝ่ายมาพูดคุย เวลาอาจไม่เพียงพอ ซึ่งข้อสรุปที่ได้จะนำเสนอต่อที่ประชุมกกต.ต่อไป โดยนายสมชัยได้นำเสนอ 7 ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. จนทำให้กกต.ไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้ เช่น ใน 28 เขตเลือกตั้ง 8 จังหวัดภาคใต้ ไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง จะทำอย่างไรให้ไม่มีการขัดขวาง การจัดพิมพ์และกระจายบัตรถูกขัดขวาง การไม่สามารถจัดหากรรมการประจำหน่วยได้ การเกิดปัญหาอุปสรรคในวันเลือกตั้ง อุปกรณ์ไม่มา กรรมการประจำหน่วยลาออก การไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานความมั่นคง ในการเข้ามาช่วยจัดการเลือกตั้ง และการประกาศผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน ต้องได้คะแนนครบ 93,952 หน่วยเลือกตั้งก่อน แล้วจึงประกาสผลได้ กรณียังจัดการเลือกตั้งในส่วนที่ขาดอีก 10,284 หน่วยเลือกตั้งไมได้ จะทำอย่างไร ไม่เช่นนั้นจะเปิดประชุมสภาไม่ได้
**บีบกกต.ต้องแหกกฎ กติกา
ซึ่งที่ประชุมได้นำเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหากรณี 28 เขตเลือกตั้งว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาในการขัดขวาง ควรมีการเปิดรับสมัครนอกเขตเลือกตั้ง นอกเขตจังหวัด หรืออาจใช้ค่ายทหารเป็นสถานที่รับสมัคร และให้ถือว่า ผู้ที่ไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจในวันรับสมัคร เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่การจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้ง และการจัดส่งบัตรเลือกตั้งลงยังพื้นที่ มองว่าเป็นปัญหาการบริหารภายในของ กกต. ที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการจัดพิมพ์ การขนส่ง ซึ่งจะต้องดำเนินการโดยลับ โดยการขนส่ง อาจขอความร่วมมือหน่วยราชการช่วยดำเนินการ เช่น การขอเครื่องบินของกองทัพในการขนส่งก็ได้ แต่ก็ต้องคงระบบการตรวจสอบการการป้องกันการปลอมบัตรไว้อย่างเข้มข้น
สำหรับปัญหาการขาดคนเป็นกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง หรือ กปน. เห็นว่า ให้สามารถรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งเป็น กปน. ประกาศเปิดรับอาสาสมัครเป็นกปน. รวมถึงให้มีการดำเนินการเอาผิดทางวินัยกับ กปน. หรือ กกต.เขต ที่ละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่ การกระจายบัตร อุปกรณ์ ก็ควรเพิ่มจุดกระจายบัตร ทำในลักษณะ ลับ ลวง พราง พร้อมให้หน่วยงานทหารเข้ามาสนับสนุน ทำเป็นลักษณะกองกำลังเพื่อให้เกิดความสำเร็จ
ส่วนกรณีวันเลือกตั้งเกิดอุปสรรค เช่น บัตรไม่มา อุปกรณ์ไม่ครบ เห็นว่า กกต.ควรมีชุดอุปกรณ์สำรอง ทั้งหีบ ทั้งบัตรสำรอง และจัดชุดเคลื่อนที่เร็ว เอาไว้นำส่งไปยังหน่วยเลือกตั้งที่มีปัญหา
** ใช้กม.จัดการผู้ขัดขวางอย่างเด็ดขาด
พล.ต.สุวัฒน์ เรืองสกุล ประธานกกต. นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ที่ภาคใต้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ เพราะมีการส่งสัญญาณขัดขวางการเลือกตั้งจาก กปปส. ส่วนกลาง ซึ่งการดำเนินคดีกับผู้ที่ขัดขวางการเลือกตั้ง ทำให้ผู้ที่คิดจะทำผิดเกิดความเกรงกลัว แต่ที่ไม่กลัวกันอยู่เวลานี้ เพราะเขาเห็นว่า ขนาดแกนนำ กปปส.ในส่วนกลางถูกออกหมายจับ แต่ในทางปฏิบัติ ก็ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายเคร่งครัด ดังนั้นถ้าจะให้การจัดการเลือกตั้งสำเร็จ เห็นว่าจะต้องมีการ บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด
ขณะที่นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาระดับชาติ เกิดจากความขัดแย้งทางการเมือง การจะให้เลิกขัดขวางการเลือกตั้งเห็นว่า กกต.ควรใช้ มาตรา 26 (3) ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. และการได้มาซึ่งส.ว. เรียกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกผู้ที่มีแนวโน้มจะขัดขวางการเลือกตั้ง โดยเฉพาะแกนนำ กลุ่ม กปปส. อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มาชี้แจงต่อ กกต. และให้ยืนยันว่า กปปส. จะไม่ขัดขวางการเลือกตั้ง
ส่วนความร่วมมือของฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ที่ในการเลือกตั้ง วันที่ 2 ก.พ. แม้ระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพ จะมีหนังสือยืนยันว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับกกต.ในการจัดการเลือกตั้งทุกอย่าง แต่กลับมีปัญหาในระดับปฏิบัติ ที่ปฏิเสธการให้ความร่วมมือ อย่างเช่น การขอทหารมาร่วมเป็น กปน. การปฏิบัติไม่ให้ใช้ค่ายทหารเป็นสถานที่เก็บบัตรเลือกตั้ง ซึ่งที่ประชุมเห็นว่า ในช่วง มีพ.ร.ฎ.เลือกตั้ง กกต.มีอำนาจมากกว่าหน่วยงานไหน เพราะกฎหมายให้กกต. ใช้อำนาจรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 และ 236 ที่กำหนดให้กกต. ต้องจัดการเลือกตั้งโดยสุจริต เที่ยงธรรม ประกอบมาตรา 20 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. มีหนังสือสั่งการไปยังผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานราชการ ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผบ.ตร. ให้ช่วยเหลืองานจัดการเลือกตั้งของ กกต. หากไม่ปฏิบัติ มีโทษ
ขณะที่ในส่วนของการประกาศผล ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ 125 คนนั้น ที่ประชุม ส่วนหนึ่ง เห็นว่า กกต.อาจจะออกประกาศการคิดคำนวนสัดส่วน ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อใหม่ โดยกำหนดให้สามารถคำนวนได้ แม้ยังไม่สามารถเลือกตั้งครบทุกเขตเลือกตั้งได้ แต่ในส่วนของรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย เห็นว่าตามกฎหมายระบุชัดว่า ให้เอาคะแนนที่ทุกพรรคการเมืองได้รับจากทุกเขตเลือกตั้ง มาคิดคำนวน ดังนั้นจำเป็นต้องรอให้มีการเลือกตั้งครบทุกหน่วย ทำเขตเลือกตั้ง ทั้ง 375 เขตทั่วประเทศก่อน กกต.จึงควรเร่งไขปัญหานี้ ด้วยการจัดการเลือกตั้งในส่วนที่เหลืออีก 10,284 หน่วยโดยเร็ว
นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเลือกตั้ง 2 ก.พ.ที่ผ่านมา เหมือนเป็นปัญหาใหญ่ เพราะกกต.ต้องเลือกตั้ง 375 เขตทั่วประเทศ แต่ตอนนี้จังหวัดที่มีปัญหาเหลือน้อย เป็นไปได้หรือไม่ ที่ กกต.แต่ละคนจะแบ่งพื้นที่จังหวัดที่มีปัญหาอยู่ในการดูแล รวมทั้งเห็นว่า กกต.จำเป็นที่จะต้องบังคับใช้กฎหมายกับบุคคลที่ขัดขวางการเลือกตั้งให้มีความเด็ดขาด มากกว่านี้
** เลือกตั้งเม.ย.ช้าไป ต้องเลือกเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาเพิ่มเติมในกรณีที่ กกต.กำหนดเลือกตั้งทดแทนวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตเลือกตั้ง และวันเลือกตั้ง ในวันที่ 20 เม.ย. และ 27 เม.ย. โดยที่ประชุมเห็นว่า วันที่กกต.กำหนดนั้น ไม่เหมาะสม ล่าช้าเกินไป รวมทั้งเกินกว่ากรอบเวลา 30 วัน ที่มาตรา 127 ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ภายใน 30วัน นับแต่วันเลือกตั้งให้มีการเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อให้ ส.ส.ได้ประชุมกันเป็นครั้งแรก ซึ่ง กกต.ก็ได้พยายามอธิบายว่า ที่ กกต.
กำหนดวันที่ 20 เม.ย. และ 27 เม.ย. มาจากการประเมินความพร้อมของ กกต.จังหวัด รวมถึงมองว่า ในเดือนมี.ค. ทางกกต.จะต้องจัดการเลือกตั้ง ส.ว. จึงไม่อยากให้มีการสอดแทรกการจัดการเลือก ส.ส.เพราะหากมีการขัดขวาง ก็อาจทำให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ทั้ง ส.ส. และส.ว.
นายคณิน บุญสุวรรณ ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กกต.ควรจัดลงคะแนนเลือกตั้งภายในกรอบเวลา 30 วัน ซึ่งถ้าเป็นไปได้ กกต.ควรจัดลงคะแนนเลือกตั้งทดแทนในวันที่ 2 มี.ค.
ด้านนางนันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก กล่าวว่า แนวทางการจัดการเลือกตั้งของกกต.ที่ผ่านมา ทั้งก่อนและหลังวันเลือกตั้ง 2 ก.พ. สังคมมองภาพลักษณ์ กกต.อย่างเคลือบแคลงว่า กกต.มีความมุ่งมั่นที่จะจัดเลือกตั้งให้สำเร็จหรือเปล่า ซึ่งตรงนี้ต้องมีการปรับภาพลักษณ์ให้ชัดว่า หมื่นกว่าหน่วยเลือกตั้งนั้น กกต.มีความกระตือรือร้น ที่จัดการเลือกตั้งให้สำเร็จ โดยจะต้องมีแผนงาน และกรอบเวลาในการดำเนินการที่ชัดเจน แต่ ไม่ใช่เนิ่นนานไปจนถึงเดือนเม.ย. ทำไมเดือน มี.ค. จึงจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ได้ ทำไมไม่เอาอย่างสหรัฐอเมริกา ที่เวลาเลือกตั้งเขาสามารถเลือกตั้งทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ในคราวเดียวกันได้ ดังนั้นในวันที่ 30 มี.ค. ที่จะเลือกส.ว.เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะเลือก ส.ส.ไปด้วยเลย
“กกต. ต้องกระตือรือร้น ที่จะจัดการเลือกตั้งให้เสร็จโดยเร็ว ไม่ใช่จะมามัวแต่จะไปถามหมอดู แล้วหมอดูบอก และปัญหาอีกอย่างคือ หลังการเลือกตั้ง ผู้สมัคร พรรคการเมือง กฎหมายกำหนดให้ต้องยื่นบัญชีค่าใช้จ่ายเลือกตั้งภายใน 90 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง ตรงนี้จะมีความชัดเจนอย่างไร เพราะถ้าเลยไปก็จะทำให้เขาถูกยุบพรรคได้ หรือ กกต.จะปล่อยให้พรรคถูกยุบจนเหลือพรรคประชาธิปัตย์พรรคเดียว”
ด้านนายสมชัย ก็กล่าวสรุปว่า การจะจัดการลงคะแนนเลือกตั้งให้ทันกรอบเวลา 30 วัน คงเป็นไปได้ยาก แม้ขณะนี้นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี จะยืนยันแล้วว่า จะมีหนังสือตอบกลับมายัง กกต.ว่าไม่ให้ด้วยกับที่ กกต.เสนอให้รัฐบาลออก พ.ร.ฎ.ให้อำนาจกกต. ในการกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้ง 28 เขต ที่ไม่ผู้สมัครโดยเร็ว อย่างช้าไม่เกินวันพุธที่ 19 ก.พ. ซึ่งกกต.ก็จะได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่อย่างเร็วที่สุดที่ กกต.ส่งได้ก็คือ ภายในวันที่ 21 ก.พ. ซี่งศาลรัฐธรรมนูญ น่าจะมีคำวินิจฉัยได้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งก็เป็นช่วงสุดท้ายของเดือนก.พ. การเตรียมในเรื่องการสมัคร หาเสียง คงทำไม่ทัน วันที่ 2 มี.ค. ดังนั้นที่ กกต.พิจารณาได้ อาจเป็นข้อเสนอที่ให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. วันเดียวกันเลือกตั้ง ส.ว.คือวันที่ 30 มี.ค
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาการจัดการเลือกตั้งในครั้งนี้ ทางฝ่ายสำนักงานจะนำไปพิจารณาร่วมกับข้อกฎหมายว่า จะสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้แค่ไหน อย่างไร หากประเด็นไหนที่อยู่ในอำนาจที่กกต. สามารถดำเนินการได้ ก็จะมีมติ และนำมาใช้ปฏิบัติ ส่วนประเด็นไหนที่ต้องแก้ไขพระราชบัญญัติหรือรัฐธรรมนูญ ก็ถือเป็นข้อจำกัดที่ กกต.ไม่อาจพิจารณาได้ โดยทุกประเด็นที่เสนอนั้น กกต.จะมีคำตอบว่า ทำได้ ไม่ได้ อย่างไร หลังการประชุมพุธที่ 19 ก.พ.