ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ผ่านไปสัปดาห์กว่า ที่รัฐบาลรักษาการยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พร้อมจัดตั้ง “ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ”(ศรส.) ขึ้นมาควบคุมม็อบกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ และรองรับการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่กำลังจะมาถึง
โดยมอบหมายให้ “เป็ดเหลิม”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปลี่ยนบทบาทจาก“จับกัง 1” กลับมาใหญ่ด้านความมั่นคงอีกครั้ง ในบทบาท ผอ.ศรส.
แต่ที่มีพิรุธหน่อยคือการยึด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก”รองนายกรัฐมนตรี ดูแลอยู่ ถ่ายโอนมาให้ “ทาสแม้วเบอร์ 1” อย่าง “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล”รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ควบคุมดูแลแทน
ทำเอาชาวบ้านงงเป็นไก่ตาแตก มีอย่างที่ไหน ดึงเอาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากอดีตอธิบดีกรมตำรวจ มาให้ "ตาแป๊ะ" ที่ไหนก็ไม่รู้ กำกับดูแล
และหากย้อนไปในช่วงจัดทีม ตั้ง “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”นั้น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ได้รับคาดหมายให้เป็น“คนสูงในหมู่คนเตี้ย”ในครม.แถว 3 ของ “คนเครือข่ายชินวัตร”เมื่อรัฐบาลต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ ชื่อของ พล.ต.อ.ประชา ถูกโยนเข้าวงประชุมคนแรก
เมื่อปลายปี 2554 จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ก็เป็น พล.ต.อ.ประชา ที่ขณะนั้นดำรงตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม แต่ได้รับมอบหมายให้ดูแลน้ำท่วมนั่งเก้าอี้ “ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย”(ผอ.ศปภ.) รับศึกรอบด้านแทน ยิ่งลักษณ์
ชาวบ้ายก็งงมาหนนึงแล้วกับบทบาท "อินทรีอีสาน" มารับมือมวลน้ำ เม้าส์กันให้เเซ่ดว่า หนนั้น "ลิ่วล้อแม้ว" ที่นั่งหน้าสลอนใน ครม. บ่ายหน้าหนีไม่กล้าปะทะกับมวลน้ำ จนพล.ต.อ.ประชา ต้องยกมือขันอาสารับบทผอ.ศอฉ. แบบจับผลัดจับผลู
หลังเสร็จศึกน้ำท่วม พล.ต.อ.ประชา ได้รับเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญจากคนใน พรรคเพื่อไทย ถึงความกล้าหาญครั้งนั้น ที่ยอมเป็นหนังหน้าไฟ ถูกประชาชนก่นด่าอยู่หลายเดือน
ทว่าศึกขัดแย้งขั้วการเมืองกับ กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ที่นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. นั้นยิ่งใหญ่นัก
พล.ต.อ.ประชา เน้นการเจรจาไม่ใช้ยาแรงเข้าดำเนินการกับผู้ชุมนุม แม้แต่การแถลงข่าว แต่ละคำพูดของ พล.ต.อ.ประชา ยังต้องตรวจสอบอย่างดี เพราะไม่ต้องการให้ไปปลุกระดมผู้ชุมนุมมากนัก หลักทำงานของพล.ต.อ.ประชา จึงขัดใจ “นายใหญ่”ทักษิณ ชินวัตร
ทำให้ พล.ต.อ.ประชา ต้องดูเด้งถึง 2 ครั้ง เด้งครั้งที่ หนึ่ง ถูกปลดออกจากตำแหน่งดูแล “ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย”(ศอ.รส.) เด้งที่สอง ถูกปลดฟ้าแลบ ออกจากผู้ควบคุมดูแล สำนักงานตำรวจแห่งช่าติ
โดยหลังจากมีการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 21 มกราคม ก่อนที่จะออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พล.ต.อ.ประชา ประชุมร่วมกับครม.ไม่จบ เพราะได้ปลีกตัวออกมาก่อน เมื่อปะหน้าผู้สื่อข่าว พล.ต.อ.ประชา แก้เก้อด้วยการบอกว่า "ปวดฟัน ไปหาหมอฟันก่อน"
ปิดฉาก “อินทรีอีสาน” ผู้ยอมเป็นตัวเลือกให้ “นายใหญ่-น้องปู”ใช้ อย่างไม่เป็นทางการ
ข้ามฝั่งมายังโครงสร้างของ “ศรส.”คำถามคือ เมื่อ “นายใหญ่-น้องปู”มอบหมายให้ “ขี้ข้าเหลิม”มีอำนาจสั่งการเด็ดขาดในฐานะ ผอ.ศรส. แล้วทำไมไม่ให้ ดูแล สตช.ไปด้วย แต่กลับมอบให้ “ขี้ข้าปึ้ง”ดูแลแทน
วงเปิด เล่าว่า “นายใหญ่-น้องปู”ไม่ค่อยไว้วางใจให้ “ขี้ข้าเหลิม”มีอำนาจดูแลทั้งหมด ขอให้มีคนเข้าไปคานอำนาจเอาไว้บ้าง เพราะรู้มือกันอยู่ว่าเป็นคนใจร้อน ปากไว อาจจะผลีผลาม พลาดท่าเสียทีได้
จึงส่ง “ขี้ข้าปึ้ง”เข้าไปคอยสแกนข้อมูล จากหน่วยข่าว-หน่วยกำลัง ประเมินทุกอย่าง และรวมกันตัดสินใจกับเฉลิม ทั้งที่ในทางปฏิบัติหากจะสั่งการกันจริงๆ ตำรวจ น่าจะฟังคำสั่งของ เฉลิม มากกว่า สุรพงษ์ ด้วยซ้ำ
ดังนั้นการที่มอบหมายให้ “สุรพงษ์”นั่งเก้าอี้ ประธานที่ปรึกษาศรส. ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งนี้ คือ การควบคุม “ขี้ข้าเหลิม”โดยตรง
วงใน เล่ากันว่า “นายใหญ่-บรรดากุนซือ” ต้องการกันท่า ไม่ให้ “ยิ่งลักษณ์”ต้องมาแปดเปื้อน ถูกกล่าวหาว่าเป็น“ฆาตรกรมือเปื้อนเลือด” จึงไม่ให้ “ยิ่งลักษณ์”เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับ ศรส.
แม้แต่ศูนย์บัญชาการ ศรส. ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดี หากไม่จำเป็นจริงๆ “ยิ่งลักษณ์”จะไม่มีทางเดินเข้ามาสั่งการ-ดูแล-ตรวจเยี่ยม เป็นอันขาด
เพราะหากต้องสู้คดีในภายภาคหน้า ก็จะอ้างได้ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะไม่เคยเข้ามาประชุม
แต่มีเสียงลือกันว่า การปรากฏตัวของ “สุรพงษ์”ในวงประชุม ศรส. นั้นเปรียบเสมือนเป็นการปรากฏตัวของ ยิ่งลักษณ์ ร่างกายของ สุรพงษ์ คือเงาของยิ่งลักษณ์
เพราะภายหลังการประชุมเสร็จ ขี้ข้าปึ้ง จะรายงานยิ่งลักษณ์ ทุกประเด็น เพื่อใช้ในการประกอบการตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง
จะเห็นได้ว่า นโยบายหลายอย่างของ ศรส. ไม่มีความเป็นเอกภาพ
วันที่ 26 มกราคม “สุรพงษ์”ให้สัมภาษณ์ว่า จะดำเนินการกับ“ศิลปิน-ดารา”ที่ร่วมชุมนุมกับ กปปส. ทำให้ถูกกระแสต้านจากเกือบทุกภาคส่วน
วันที่ 27 มกราคม “ธาริต เพ็งดิษฐ์”แถลงข่าวไปอีกทางว่า ศรส.ไม่มีมติให้ดำเนินการใดๆ กับ ศิลปิน-ดารา
หนำซ้ำภายหลังการประชุม ศรส. เสร็จ “สุรพงษ์”ไม่เคยแถลงข่าวที่ศูนย์แถลงข่าวของ ศรส. แต่กลับต้องไปแถลงข่าวที่ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพราะต้องรีบไปรายงานให้ ยิ่งลักษณ์ ทราบผลการประชุม ศรส. ก่อน
อีกนัยยะหนึ่งของ สุรพงษ์ คือไม่อยากใช้ฉากหลังแถลงข่าวเป็น ศรส. เพราะจะได้อ้างว่า เป็นแค่ประธานที่ปรึกษา ไม่มีส่วนในการตัดสินใจ
ความสับสนในการทำงานของ ศรส. จึงเกิดขึ้นโดยปริยาย เพราะอำนาจที่ “ขี้ข้าเหลิม”ได้มา ไม่ได้มีอำนาจเต็มแบบเบ็ดเสร็จ จะสั่ง ตำรวจ ก็ต้องเกรงใจ“ขี้ข้าปึ้ง”
การทำงานในภาพรวมสัปดาห์แรกของ ศรส. จึงตะกุกตะกัก ซ้ายที ขวาที ไม่มีใครสั่งใครได้ อย่างเต็มปาก
ที่สำคัญ “ขี้ข้าเหลิม”ยังรักษามาตรฐานในการเรียกแขก เมื่อขู่สังหาร“สุเทพ”ขู่ส่งหน่วยจู่โจมขอคืนพื้นที่หน่วยงานราชการ
และยังรักษามาตรฐานมาประชุม ศรส. สายเหมือนเดิม เริ่มประชุม10.00 น. จะมาถงประมาณ 11.00 น. แถมยังมาแถลงข่าวก่อนเข้าประชุมอีก ซึ่งกว่าจะได้เข้าประชุมก็ 11.30 น. วงประชุม ศรส. ประชุมเสร็จ 12.00 น. ทำให้ “เหลิม”เข้าประชุมแค่ 30 นาที
การทำงานของ“ศรส.”ยังสับสนกันเอง คงยากยิ่งที่จะแก้ปัญหาการชุมนุมของ กปปส. มีแค่ออกมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ เพราะหากไม่ทำอะไรทั้ง “รัฐบาล-คนเสื้อแดง”จะออกมาด่าเอา
งานนี้ “ขี้ข้าเหลิม”ที่หวังลอยตัวเหนือปัญหา ต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออก