ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
การตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งทางการเมือง จำเป็นจะต้องมองประเด็นปัญหาให้ถูกต้อง เที่ยงตรงและชัดเจน เพราะหากมองประเด็นปัญหาคลาดเคลื่อนหรือคลุมเครือ ก็จะส่งผลให้การตัดสินใจผิดพลาดไปด้วย สิ่งสำคัญในระยะนี้คือการทำความเข้าใจกับสถานการณ์การเมืองให้ชัดเจน
ภาพรวมของสถานการณ์การเมืองในขณะนี้คือ การต่อสู้เพื่อสถาปนารัฎฐาธิปัตย์ หรือการสถาปนาอำนาจสูงสุดระหว่างฝ่ายมวลมหาประชาชน กับระบอบทักษิณ ไม่ใช่เป็นการรณรงค์หาเสียงแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งเข้าไปบริหารประเทศ แต่อย่างใด
การสถาปนารัฎฐาธิปัตย์ของรัฐสมัยใหม่มีรูปแบบหลักอย่างน้อย 4 ประการคือ 1) การใช้กำลังอาวุธ 2) การใช้สิทธิพลเมืองก่อการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติอหิงสา 3) การผสมผสานระหว่างสิทธิพลเมืองกับพลังอำนาจทางทหาร และ4) การใช้สิทธิเลือกตั้ง
รูปแบบแรก การสถาปนารัฐฎาธิปัตย์โดยใช้กำลังอาวุธมีสองประเภทหลักคือ การรัฐประหารโดยกองทหารประจำการ กับ การปฏิวัติโดยกองกำลังประชาชนติดอาวุธ
การรัฐประหารมักเกิดขึ้นเมื่อมีความขัดแย้งเกี่ยวกับผลประโยชน์และอำนาจภายในกลุ่มชนชั้นนำที่ปกครองประเทศ โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างผู้นำรัฐบาลกับผู้นำกองทัพ เช่น ผู้นำรัฐบาลอาจเตรียมการปลดผู้นำกองทัพ แต่เกิดการรั่วไหลของข่าวสาร จึงทำให้ผู้นำกองทัพช่วงชิงการกระทำก่อน โดยการยึดอำนาจล้มล้างรัฐบาล กรณีแบบนี้เกิดในประเทศไทยหลายครั้ง
ในยุคปัจจุบัน การรัฐประหารโดยกองทัพแต่เพียงหน่วยเดียวไม่เป็นที่ยอมรับทั้งจากนานาชาติและประชาชนภายในประเทศ สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งคือ หากประเทศใดมีการสถาปนารัฏฐาธิปัตย์ด้วยวิธีนี้ ประเทศตะวันตกก็จะประณาม งดการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและทหาร และลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตลงไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศตะวันตกจะกำหนดท่าทีแบบมีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมดต่อการรัฐประหารของแต่ละประเทศ บางครั้งประเทศตะวันอาจวางเฉยต่อการรัฐประหารก็ได้ หากผู้กระทำการรัฐประหารสามารถรักษาและตอบสนองประโยชน์แก่ประเทศตะวันตกเหล่านั้นได้ นั่นหมายความว่าท่าทีของประเทศตะวันตกต่อการรัฐประหารขึ้นอยู่กับการประเมินผลประโยชน์ที่พวกเขาได้รับจากการรัฐประหารนั่นเอง
สำหรับประชาชน ในอดีตไม่มีปฏิกิริยาใดมากนักต่อการรัฐประหาร บางครั้งประชาชนอาจสนับสนุนการรัฐประหาร ด้วยเหตุผลที่ว่าคณะรัฐประหารขจัดรัฐบาลที่ประชาชนเห็นว่าทุจริตคอรัปชั่นออกไป แต่ในไม่ช้าประชาชนก็พบความจริงว่า ผู้บริหารประเทศที่มาจากการรัฐประหารก็มีพฤติกรรมที่ไม่แตกต่างกันกับรัฐบาลเก่าที่ถูกขับไล่ออกไปมากนัก ระยะหลังประชาชนจึงไม่ไว้วางใจการรัฐประหารที่ทำโดยทหาร และมีแนวโน้มต่อต้านมากขึ้น
สำหรับการปฏิวัติโดยกองกำลังประชาชนติดอาวุธ มักเกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับประชาชน ในหลายประเทศ เมื่อรัฐบาลมีพฤติกรรมการใช้อำนาจเยี่ยงทรราช ประชาชนก็จะลุกขึ้นมาต่อสู้ ลักษณะของพฤติกรรมทรราชที่เด่นชัดคือ การใช้อำนาจรัฐและอำนาจเถื่อนปราบปราม จับกุม เข่นฆ่าประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล จนกระทั่งประชาชนเกิดความรู้สึกไม่มีความมั่นคงปลอดภัยในการดำรงชีวิต และมีการบริหารประเทศที่ทุจริต ฉ้อฉล โกงกิน ดูดกลืนทรัพยากรของสังคม สร้างความร่ำรวย แก่กลุ่มเครือญาติและพวกพ้อง จนสร้างผลกระทบต่อการดำรงชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ด้านเศรษฐกิจของประชาชนในวงกว้าง
การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก บางประเทศประชาชนประสบชัยชนะ แต่บางประเทศประชาชนอาจพ่ายแพ้ ด้านระยะเวลาของการต่อสู้ บางประเทศใช้เวลายาวนาน บางประเทศใช้เวลาสั้น ส่วนท่าทีของประเทศตะวันตกต่อการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธของประชาชนมีความไม่แน่นอน บางกรณีสนับสนุน บางกรณีก็คัดค้าน ขึ้นอยู่กับการประเมินว่าฝ่ายใดจะตอบสนองประโยชน์ต่อตนเองมากกว่ากัน เช่น สหรัฐเมริกาไม่สนับสนุนขบวนการซาปาติสต้า ในรัฐเชียปาส ประเทศเม็กซิโก แต่สนับสนุนกองกำลังประชาชนในประเทศลิเบีย เป็นต้น
รูปแบบที่สอง การสถาปนารัฏฐาธิปัตย์โดยการใช้สิทธิพลเมืองก่อการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติอหิงสา เป็นวิธีการที่ประชาชนใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาลที่ทุจริตฉ้อฉล ความสำเร็จของวิธีการนี้มีเงื่อนไขที่สำคัญ 2 ประการ คือ ประการแรก ผู้นำรัฐบาลที่ประชาชนขับไล่ ต้องมีความชั่วร้ายของจิตใจในระดับที่ไม่ถึงขั้นทรราช เมื่อประชาชนรวมตัวขับไล่ได้ระยะเวลาหนึ่ง รัฐบาลก็อาจใช้กำลังสลายประชาชนบ้าง แต่อยู่ในขอบเขตที่จำกัด อาจมีผู้บาดเจ็บ ถูกจับกุม หรือเสียชีวิตบ้างแต่จำนวนน้อย แต่หากประชาชนยืนหยัดขับไล่อย่างต่อเนื่อง ในที่สุดรัฐบาลก็ยอมลาออกไป และให้ประชาชนสถาปนารัฎฐาธิปัตย์ขึ้นมา สำหรับเงื่อนไขประการที่สองคือ การมีลักษณะพิเศษเชิงอำนาจทางสังคมดำรงอยู่ และใช้อำนาจนั้นคลี่คลายความขัดแย้ง กรณีนี้เกิดขึ้นในบางประเทศที่มีประมุขของประเทศซึ่งมาจากรากฐานประเพณีดั้งเดิมของสังคมและบารมีสูง เมื่อความขัดแย้งประมุขของประเทศก็เข้าไปคลี่คลายความขัดแย้ง ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ
รูปแบบที่สาม การสถาปนารัฎฐาธิปัตย์ที่มาจากการผสมผสานระหว่างการใช้สิทธิพลเมืองกับพลังอำนาจทางทหาร รูปแบบนี้เกิดขึ้นค่อนข้างบ่อยในยุคสมัยปัจจุบัน กระบวนเปลี่ยนแปลงเริ่มขึ้นจากการที่ประชาชนไม่อาจอดทนกับการบริหารประเทศเยี่ยงทรราชของผู้ปกครองได้ จึงได้ลุกขึ้นมาต่อต้าน และมีผู้คนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ประชาชนใช้แนวทางสันติอหิงสาเป็นหลักในการต่อสู้ ขณะที่ผู้ปกครองทรราชพยายามใช้ความรุนแรง โดยใช้กองกำลังตำรวจ ทหารรับจ้างจากต่างชาติ และกลุ่มอันธพาลเพื่อปราบปรามประชาชน จนทำให้มีคนจำนวนมากถูกจับกุม ถูกทำร้ายบาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิต
เมื่อรัฐบาลทรราชปราบปรามประชาชนจนถึงจุดหนึ่ง ก็ทำให้กองกำลังทหารเกิดความตระหนักและสำนึกถึงพันธกิจที่มีต่อบ้านเมืองและประชาชน กองทัพจึงเลือกยืนข้างประชาชน และเข้าดำเนินการช่วยเหลือประชาชนโดยขจัดรัฐบาลทรราชให้พ้นจากอำนาจโดยเร็ว เงื่อนไขสำคัญของการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้คือกองทัพจะต้องมีนายทหารที่มีความเสียสละ กล้าหาญ และยึดมั่นในผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลักอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้จึงเป็นการปฏิวัติประชาชน โดยการสนับสนุนของกองทัพ หลังการเปลี่ยนแปลงมักเกิดการปฏิรูปประเทศกันอย่างขนานใหญ่ เพื่อวางรากฐานการพัฒนาประเทศให้มีความก้าวหน้าต่อไป มีหลายประเทศที่เปลี่ยนแปลงโดยใช้รูปแบบนี้ แต่ในประเทศไทยยังไม่มี
รูปแบบที่สี่ การสถาปนารัฎฐาธิปัตย์ โดยใช้การเลือกตั้งทั่วไป รูปแบบนี้มีใช้ในหลายประเทศ เงื่อนไขสำคัญของรูปแบบนี้คือ การมีการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรมระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ และการใช้สิทธิเลือกตั้งต้องเป็นเสรีและต้องลงคะแนนโดยลับ แต่หากประเทศใดที่มี “การเลือกตั้งจอมปลอม” เพราะระบบและกระบวนการเลือกตั้งถูกควบคุมโดยรัฐบาล ไม่มีการแข่งขันอย่างเสรีระหว่างพรรคการเมือง มีการซื้อสิทธิขายเสียงทั้งทางตรงและทางอ้อม มีการบีบบังคับ และการลงคะแนนถูกตรวจสอบได้โดยหัวคะแนนหรือนักการเมือง รัฎฐาธิปัตย์ที่ได้มาย่อมขาดความชอบธรรม และมักถูกต่อต้านคัดค้านจากประชาชน
สถานการณ์ของสังคมไทยในขณะนี้เป็นการต่อสู้เพื่อสถาปนารัฎฐาธิปัตย์ ระหว่างรูปแบบการใช้สิทธิพลเมืองของประชาชน กับการเลือกตั้งแบบจอมปลอม
ฝ่ายประชาชนยืนยันว่า จะต้องสถาปนารัฏฐาธิปัตย์ขึ้นใหม่ โดยใช้สิทธิพลเมืองปฏิวัติประชาชนอย่างอหิงสา ทั้งนี้เพราะประชาชนรับรู้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาลทรราชย์ ขาดความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิงในการบริหารประเทศทั้งทางนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ อันเป็นผลสืบเนื่องจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ บริหารประเทศโดยไม่ยึดหลักนิติธรรม ละเมิดกฎหมายและรัฐธรรมนูญ กระทำการให้ได้มาซึ่งอำนาจที่ไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ และยังมีการทุจริตโกงกินสร้างความเสียแก่ประเทศอย่างเหลือคณานับ
ฝ่ายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เมื่อถูกประชาชนใช้สิทธิพลเมืองเดินขบวนขับไล่ ก็พยายามสร้างความชอบธรรมขึ้นมาใหม่ โดยยุบสภาและประกาศให้มีการเลือกตั้ง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรคาดหวังว่าการเลือกตั้งจะทำให้ตนเองสามารถสถาปนารัฏฐาธิปัตย์ใหม่ขึ้นมาได้ แต่ประชาชนรู้ทันว่า การเลือกตั้งที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กำหนดขึ้นมาเป็น “การเลือกตั้งจอมปลอม” เต็มไปด้วยการทุจริตฉ้อฉล ไม่อาจเป็นวิธีการอันชอบธรรมเพื่อใช้สร้างรัฏฐาธิปัตย์ใหม่ขึ้นมาได้ ประชาชนจึงประกาศปฏิเสธการเลือกตั้งจอมปลอมนี้และไม่ยอมตกอยู่ในเกมการเมืองที่กำหนดโดยรัฐบาลทรราชย์
การเลือกตั้งจอมปลอมเป็นการเลือกตั้งที่ไร้ประสิทธิผล เพราะว่า แม้จะมีการลงคะแนน แต่ไม่ทำให้เกิดสภาผู้แทนราษฎรและรัฐบาลได้ สิ่งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากระหว่างที่คณะกรรมการเลือกตั้งเปิดรับสมัคร มีเขตเลือกตั้งถึง 28 เขตที่ไม่มีผู้สมัคร และยังมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นระหว่างการเลือกตั้งล่วงหน้า และการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. ที่เป็นปัญหาจนไม่สามารถเลือกตั้งในบางเขตได้ และไม่สามารถนับคะแนนการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อได้ ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้หลังการเลือกตั้งจะมีจำนวนผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.ไม่ครบตามที่กำหนดไว้เป็นเงื่อนไขสำหรับการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรในนัดแรก จึงทำให้ประชุมสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ ไม่อาจเลือกนายกรัฐมนตรีได้ และไม่อาจจัดตั้งรัฐบาลได้
ยิ่งกว่านั้นการที่คณะกรรมการเลือกตั้งพยายามที่จะเปิดสมัครและเลือกตั้งใหม่ในเขตที่ยังไม่มีผู้สมัครภายหลังวันที่ 2 ก.พ. ก็กลายเป็นปมปัญหาที่อาจขัดรัฐธรรมนูญได้ จนทำให้การเลือกตั้งจอมปลอม กลายเป็นการเลือกตั้งที่โมฆะไปในที่สุด
สำหรับประชาชนแล้ว พวกเขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า ไม่ไปเลือกตั้งจอมปลอมในวันที่ 2 ก.พ. เพื่อเป็นการแสดงออกทางการเมืองว่าพวกเขาไม่ต้องการรัฐบาลทรราชย์และระบอบทักษิณอีกต่อไป
ประชาชนไม่กลัวว่าจะเสียสิทธิทางการเมืองใดๆ ที่มาจากการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพราะประชาชนทราบดีว่า การต่อสู้เพื่อสถาปนารัฏฐาธิปัตย์จะมากังวลกับการเสียสิทธิเล็กๆน้อยๆไม่ได้ สิทธิที่ประชาชนกำลังแสดงออกคือสิทธิพลเมืองอันยิ่งใหญ่ ที่ใช้ขับไล่รัฐบาลทรราชยิ่งลักษณ์ ขจัดระบอบทักษิณ และสถาปนารัฎฐาธิปัตย์ของภาคประชาชนขึ้นมาอย่างแท้จริง เพื่อที่จะเปิดทางไปสู่ปฏิรูปประเทศอันรุ่งโรจน์ต่อไปในอนาคต