ASTV ผู้จัดการรายวัน – สภาธุรกิจตลาดทุน หวังรัฐบาลเร่งยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินก่อนกำหนด 60 วัน หวั่นฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน จนย้ายหนีไปลงทุนต่างแดน หลังกองทุนและกลุ่มธุรกิจต่างประเทศเลื่อนแผนธุรกิจในไทยหมด ชี้สถานการณ์การเมืองเริ่มกระทบภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยว ส่วนหุ้นไทยวานนี้ปิดบวก 17 จุด โบรกฯคาดปัญหาการเมืองยืดเยื้อต่อเนื่อง ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยหลังรัฐบาลมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองไม่มีความรุนแรง แล้วรัฐบาลมีการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ดังกล่าวก่อนครบกำหนด 60 วันได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะจากที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลทำให้นักลงทุนต่างประเทศ ที่เดิมมีแผนจะเข้ามาเยี่ยมชมกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (Company Visit) ได้มีการยกเลิกออกไป เพราะความไม่มั่นใจจากสถานการณ์ที่ดเกิดขึ้น
“ตอนนี้กองทุนต่างประเทศบางแห่ง ที่มีเกณฑ์ไม่ให้พนักงานเดินทางมายังประเทศที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็หยุดการเดินทางมาไทย เช่นเดียวกับนักธุรกิจต่างประเทศที่จะเข้ามาเจรจาการลงทุนในไทย ต้องมีการเลื่อนออกไปเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อนเช่นกัน”
นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พบว่ามีวิวัฒนาการของระบบการปกครองที่เคยเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ นั่นคือ แม้จะก่อให้เกิดความตึงเครียดในสังคมไทย แต่ส่วนดีที่สุดคือเริ่มมองเห็น ความตื่นตัวยอยากมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ในความเห็นพ้องของทุกภาคส่วนที่ต้องการป้องกัน ต่อต้าน และเอาผิดเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพ.ร.ก.ฉุกเฉิน สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เห็นว่าจะซ้ำเติมความไม่มั่นใจของนักลงทุนและการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน จึงขอให้พิจารณาใช้ด้วยความระมัดระวัง ส่วนมุมมองต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะสั้น เห็นว่าจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจจริง อาทิ การท่องเที่ยวซึ่งมีธุรกิจบริการและอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกหลายกลุ่ม รวมถึงภาคการเงินและการลงทุนในระยะสั้น ก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย เพราะพบว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางมากกว่าวิกฤตในครั้งก่อนๆ
“นักลงทุนที่มีความเข้าใจเรื่องการลงทุนอย่างแท้จริง จะสามารถมองเห็นโอกาสในวิกฤต จึงเชื่อว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่นักลงทุนระยะยาวสามารถสรรหากิจการที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสในการเติบโต และเข้าลงทุนได้ในราคาที่เหมาะสม โดยรวมเราอยากเห็นสถานการณ์ความขัดแย้งในบ้านเมืองยุติลงโดยเร็ว ด้วยความสันติ แต่จะด้วยวิธีการใดนั้นทุกฝ่ายควรจะเข้าใจว่าไม่มีใครได้ทั้งหมด และไม่มีใครทนเสียอะไรได้ทุกอย่าง ดังนั้นการทำความเข้าใจในความคิด ความรู้สึกของประชาชนที่คิดต่างกันจึงเป็นสิ่งดีที่สุดที่จะทำให้สันติเกิดขึ้น”
ส่วนกรณีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลดลงแรงแม้รัฐบาลมีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น มองว่าเกิดจากตลาดหุ้นได้ตอบรับกับสถานการณ์ทางการเมืองไปพอสมควรแล้ว จากการชุมนุมที่ยืดเยื้อมาหลายเดือนแต่ไม่ได้มีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างที่ตลาดกังวล ดังนั้น นักลงทุนบางกลุ่มที่เห็นโอกาสในช่วงวิกฤตนี้เข้ามาลงทุน
ด้านนางวรวรรณ ธาราภูมิ ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลงแรงน่าจะมาจากการเข้ามาหุ้นของนักลงทุนสถาบันในประเทศ เพราะพบว่ามใบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม 2-3แห่งตั้งกองทุนทริกเกอร์ฟันด์เข้ามาลงทุนในหุ้น รวมทั้งมีนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามาลงทุนในหุ้นที่สนใจเพราะมีราคาที่ถูกลง จึงเกิดแรงซื้อเข้ามาผลักดันดัชนี
“มองว่าไม่มีความจำเป็นที่รัฐต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และจากนี้หากรัฐบาลจะมีการประกาศมาตรการอะไรออกมาควรพิจารณาให้รอบคอบก่อน เพราะแค่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ อีกทั้งถ้าสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศหันไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่น ซึ่งจะกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดบอนด์ ในช่วงระยะสั้น”
***ตลท.เตรียมโรดโชว์สิงคโปร์-ออสเตรเลีย **
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) 2 ประเทศ คือ สิงคโปร์ และออสเตรเลีย เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งตามแผนปกติแล้วตลาดหลักทรัพย์จะมีการไปโรดโชว์ต่างประเทศประมาณปีละ 7 ครั้ง แต่จากสถานการณ์การเมืองในครั้งนี้ ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีที่จะเดินหน้าผลักดันเกณฑ์การจดทะเบียนของบริษัทต่างประเทศให้เรียบร้อย
หุ้นไทยรีบาวด์ปิดบวก17จุด
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (23 ม.ค.) ปิดที่ระดับ1,308.34 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น +17.85 จุด หรือ +1.38 มูลค่าการซื้อขายกว่า 36,853.76 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,312.18 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,288.71 จุด ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวบวกขึ้นมาตามเทคนิค โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสะสมหุ้นไทยกว่า 1,859.05 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยกังวล พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เทขายสูงสุดกว่า 2,788.52 ล้านบาท จากความกังวลของสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
อย่างไรก็ดี ภาวะการลงทุนวานนี้ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยคาดว่าแกว่งตัวขึ้นลงระหว่าง 1,285 จุด ถึง 1,300 จุด จากแรงเก็งกำไรต่อหุ้นกลุ่มธนาคารที่ยังคงโดดเด่น หลัง กนง. ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย RP1 วัน บวกกับงบการเงินไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ของกลุ่มธนาคารออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ชดเชยกับการชะลอตัวของสินเชื่อในครึ่งปีนี้ และราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาก่อนหน้านี้ กลายเป็นตัวแปรช่วยจำกัดคือความเสี่ยงขาลง หรือ downside risk ของดัชนี SET INDEX ช่วงสั้นๆ นี้
ขณะเดียวกัน ปัจจัยที่เป็นประเด็นสำคัญต่อการลงทุนยังคงเป็นปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะยิ่งเข้าใกล้วันเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 26 ม.ค. ยิ่งมีความเสี่ยงต่อความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะที่ ศรส. เตรียมประกาศรายละเอียด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในวันที่ 27 ม.ค. แม้ว่าภาพการเมืองที่สะท้อนออกมาถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ บวกกับการคงอัตราดอกเบี้ย RP1 วันของ กนง. แต่กลับกดดันให้ต่างชาติ ขายสุทธิเพียงเล็กน้อย เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรทยอยซื้อสะสมในหุ้นปัจจัยพื้นฐานหลักเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสถานการณ์ความผันผวนทางการเมือง
**จับตาศาลรธน.ตีความเลือกตั้ง**
ทางด้านนายธีรศักดิ์ ธนวรากุล นักวิเคราะห์เทคนิคตราสารทุน และตราสารอนุพันธ์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้จากแรงซื้อที่เข้ามาไม่ได้มีปริมาณมาก จากความกังวลปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินที่ส่งผลต่อความกังวลของนักลงทุน ตลอดจนถึงการคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดไว้ เพราะฉะนั้นแนวต้านที่ 1,300 จุด อาจจะยังไม่สามารถผ่านได้ ในขณะที่การปรับตัวลดลงของ SET INDEX จะเป็นไปในลักษณะค่อยๆแกว่งตัวออกด้านข้าง อย่างไรก็ดีกลุ่มที่นักลงทุนจะต้องจับตามองและอาจเข้าไปเก็งกำไรผลประกอบการที่กำลังจะประกาศออกมาได้แก่กลุ่มพลังงาน และ กลุ่มสื่อสาร
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(24 ม.ค.) ดัชนี SET INDEX ยังคงผันผวนต่อเนื่อง นักลงทุนควรให้จับตาดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะมีคำตัดสินให้มีการจัดการเลือกตั้งต่อไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ได้หรือไม่ หรือมีการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปอีกไม่เกิน 4 เดือน โดยภาพรวมมองว่าตลาดยังพอรับได้ และอาจจะมีการปรับตัวขึ้นต่อ แต่หากคำตัดสินวินิจฉัยออกมาว่าให้เลื่อนวันเลือกตั้งออกไปหลังเดือนมิถุนายน คาดว่าดัชนีSET INDEX อาจปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า 1,280 จุดได้ โดยมีแนวรับที่ประมาณ 1,300 จุด และกรอบแนวต้าน 1,350 จุด
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ในฐานะประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยหลังรัฐบาลมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่า หากสถานการณ์ทางการเมืองไม่มีความรุนแรง แล้วรัฐบาลมีการประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ดังกล่าวก่อนครบกำหนด 60 วันได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะจากที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่งผลทำให้นักลงทุนต่างประเทศ ที่เดิมมีแผนจะเข้ามาเยี่ยมชมกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย (Company Visit) ได้มีการยกเลิกออกไป เพราะความไม่มั่นใจจากสถานการณ์ที่ดเกิดขึ้น
“ตอนนี้กองทุนต่างประเทศบางแห่ง ที่มีเกณฑ์ไม่ให้พนักงานเดินทางมายังประเทศที่มีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็หยุดการเดินทางมาไทย เช่นเดียวกับนักธุรกิจต่างประเทศที่จะเข้ามาเจรจาการลงทุนในไทย ต้องมีการเลื่อนออกไปเพื่อรอดูสถานการณ์ก่อนเช่นกัน”
นายไพบูลย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น พบว่ามีวิวัฒนาการของระบบการปกครองที่เคยเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ นั่นคือ แม้จะก่อให้เกิดความตึงเครียดในสังคมไทย แต่ส่วนดีที่สุดคือเริ่มมองเห็น ความตื่นตัวยอยากมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ในความเห็นพ้องของทุกภาคส่วนที่ต้องการป้องกัน ต่อต้าน และเอาผิดเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของพ.ร.ก.ฉุกเฉิน สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เห็นว่าจะซ้ำเติมความไม่มั่นใจของนักลงทุนและการทำมาค้าขาย การใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน จึงขอให้พิจารณาใช้ด้วยความระมัดระวัง ส่วนมุมมองต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในระยะสั้น เห็นว่าจะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจจริง อาทิ การท่องเที่ยวซึ่งมีธุรกิจบริการและอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกหลายกลุ่ม รวมถึงภาคการเงินและการลงทุนในระยะสั้น ก็จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย เพราะพบว่าปัจจุบันเศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางมากกว่าวิกฤตในครั้งก่อนๆ
“นักลงทุนที่มีความเข้าใจเรื่องการลงทุนอย่างแท้จริง จะสามารถมองเห็นโอกาสในวิกฤต จึงเชื่อว่า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่นักลงทุนระยะยาวสามารถสรรหากิจการที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสในการเติบโต และเข้าลงทุนได้ในราคาที่เหมาะสม โดยรวมเราอยากเห็นสถานการณ์ความขัดแย้งในบ้านเมืองยุติลงโดยเร็ว ด้วยความสันติ แต่จะด้วยวิธีการใดนั้นทุกฝ่ายควรจะเข้าใจว่าไม่มีใครได้ทั้งหมด และไม่มีใครทนเสียอะไรได้ทุกอย่าง ดังนั้นการทำความเข้าใจในความคิด ความรู้สึกของประชาชนที่คิดต่างกันจึงเป็นสิ่งดีที่สุดที่จะทำให้สันติเกิดขึ้น”
ส่วนกรณีที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลดลงแรงแม้รัฐบาลมีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น มองว่าเกิดจากตลาดหุ้นได้ตอบรับกับสถานการณ์ทางการเมืองไปพอสมควรแล้ว จากการชุมนุมที่ยืดเยื้อมาหลายเดือนแต่ไม่ได้มีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างที่ตลาดกังวล ดังนั้น นักลงทุนบางกลุ่มที่เห็นโอกาสในช่วงวิกฤตนี้เข้ามาลงทุน
ด้านนางวรวรรณ ธาราภูมิ ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยไม่ปรับตัวลงแรงน่าจะมาจากการเข้ามาหุ้นของนักลงทุนสถาบันในประเทศ เพราะพบว่ามใบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม 2-3แห่งตั้งกองทุนทริกเกอร์ฟันด์เข้ามาลงทุนในหุ้น รวมทั้งมีนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามาลงทุนในหุ้นที่สนใจเพราะมีราคาที่ถูกลง จึงเกิดแรงซื้อเข้ามาผลักดันดัชนี
“มองว่าไม่มีความจำเป็นที่รัฐต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และจากนี้หากรัฐบาลจะมีการประกาศมาตรการอะไรออกมาควรพิจารณาให้รอบคอบก่อน เพราะแค่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ อีกทั้งถ้าสถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศหันไปลงทุนในตลาดหุ้นอื่น ซึ่งจะกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดบอนด์ ในช่วงระยะสั้น”
***ตลท.เตรียมโรดโชว์สิงคโปร์-ออสเตรเลีย **
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) 2 ประเทศ คือ สิงคโปร์ และออสเตรเลีย เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่นักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งตามแผนปกติแล้วตลาดหลักทรัพย์จะมีการไปโรดโชว์ต่างประเทศประมาณปีละ 7 ครั้ง แต่จากสถานการณ์การเมืองในครั้งนี้ ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ถือว่าเป็นจังหวะที่ดีที่จะเดินหน้าผลักดันเกณฑ์การจดทะเบียนของบริษัทต่างประเทศให้เรียบร้อย
หุ้นไทยรีบาวด์ปิดบวก17จุด
ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ (23 ม.ค.) ปิดที่ระดับ1,308.34 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น +17.85 จุด หรือ +1.38 มูลค่าการซื้อขายกว่า 36,853.76 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,312.18 จุด และลดลงต่ำสุดที่ 1,288.71 จุด ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ปรับตัวบวกขึ้นมาตามเทคนิค โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสะสมหุ้นไทยกว่า 1,859.05 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยกังวล พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เทขายสูงสุดกว่า 2,788.52 ล้านบาท จากความกังวลของสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
อย่างไรก็ดี ภาวะการลงทุนวานนี้ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยคาดว่าแกว่งตัวขึ้นลงระหว่าง 1,285 จุด ถึง 1,300 จุด จากแรงเก็งกำไรต่อหุ้นกลุ่มธนาคารที่ยังคงโดดเด่น หลัง กนง. ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย RP1 วัน บวกกับงบการเงินไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 ของกลุ่มธนาคารออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ชดเชยกับการชะลอตัวของสินเชื่อในครึ่งปีนี้ และราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาก่อนหน้านี้ กลายเป็นตัวแปรช่วยจำกัดคือความเสี่ยงขาลง หรือ downside risk ของดัชนี SET INDEX ช่วงสั้นๆ นี้
ขณะเดียวกัน ปัจจัยที่เป็นประเด็นสำคัญต่อการลงทุนยังคงเป็นปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น และยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะยิ่งเข้าใกล้วันเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 26 ม.ค. ยิ่งมีความเสี่ยงต่อความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะที่ ศรส. เตรียมประกาศรายละเอียด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในวันที่ 27 ม.ค. แม้ว่าภาพการเมืองที่สะท้อนออกมาถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ บวกกับการคงอัตราดอกเบี้ย RP1 วันของ กนง. แต่กลับกดดันให้ต่างชาติ ขายสุทธิเพียงเล็กน้อย เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ดี นักลงทุนควรทยอยซื้อสะสมในหุ้นปัจจัยพื้นฐานหลักเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสถานการณ์ความผันผวนทางการเมือง
**จับตาศาลรธน.ตีความเลือกตั้ง**
ทางด้านนายธีรศักดิ์ ธนวรากุล นักวิเคราะห์เทคนิคตราสารทุน และตราสารอนุพันธ์ บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้จากแรงซื้อที่เข้ามาไม่ได้มีปริมาณมาก จากความกังวลปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉินที่ส่งผลต่อความกังวลของนักลงทุน ตลอดจนถึงการคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดไว้ เพราะฉะนั้นแนวต้านที่ 1,300 จุด อาจจะยังไม่สามารถผ่านได้ ในขณะที่การปรับตัวลดลงของ SET INDEX จะเป็นไปในลักษณะค่อยๆแกว่งตัวออกด้านข้าง อย่างไรก็ดีกลุ่มที่นักลงทุนจะต้องจับตามองและอาจเข้าไปเก็งกำไรผลประกอบการที่กำลังจะประกาศออกมาได้แก่กลุ่มพลังงาน และ กลุ่มสื่อสาร
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(24 ม.ค.) ดัชนี SET INDEX ยังคงผันผวนต่อเนื่อง นักลงทุนควรให้จับตาดูคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะมีคำตัดสินให้มีการจัดการเลือกตั้งต่อไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ได้หรือไม่ หรือมีการเลื่อนวันเลือกตั้งออกไปอีกไม่เกิน 4 เดือน โดยภาพรวมมองว่าตลาดยังพอรับได้ และอาจจะมีการปรับตัวขึ้นต่อ แต่หากคำตัดสินวินิจฉัยออกมาว่าให้เลื่อนวันเลือกตั้งออกไปหลังเดือนมิถุนายน คาดว่าดัชนีSET INDEX อาจปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า 1,280 จุดได้ โดยมีแนวรับที่ประมาณ 1,300 จุด และกรอบแนวต้าน 1,350 จุด