ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การออกมาเคลื่อนไหวของ นักวิชาการเครือข่าย 2 เอา 2 ไม่เอา โดยชูธง “คัดค้านรัฐประหาร คัดค้านความรุนแรงทุกรูปแบบ เคารพการใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ปฏิรูปบนวิถีทางประชาธิปไตย” ที่ฟังผิวเผินแล้วเหมือนดูดีมีความหวัง แต่เมื่อเลือกก้าวในจังหวะสถานการณ์ “Shutdown” กรุงเทพฯ แถมหัวขบวนเสื้อแดงยังฉวยโอกาสปลุกสาวกให้ถอดเสื้อแดงใส่เสื้อขาวจุดเทียนหนุนเลือกตั้ง 2 ก.พ. สอดรับกันพอดี จึงมีบรรดา “มวลมหานักวิชาการ” ลุกขึ้นมาซัดเปรี้ยงนักวิชาการเครือข่าย 2 เอา 2 ไม่เอาว่าเป็นพวกเจ้าเล่ห์ โลกสวย ลิ้นสองแฉก
ว่ากันตามหลักการแล้ว คำแถลงการณ์ของเครือข่ายนักวิชาการ 2 เอา 2 ไม่เอา นั้น เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมชวนให้น้ำหูน้ำตาไหล ทั้ง 1. คัดค้านการรัฐประหาร : พวกเราคัดค้านความพยายามแก้ไขวิกฤตการเมืองด้วยวิถีทางนอกระบบ การรัฐประหารไม่สามารถยุติความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างกลุ่มการเมืองและประชาชนฝ่ายต่างๆ ได้ และจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรงระหว่างผู้ก่อรัฐประหารกับประชาชน และระหว่างประชาชนด้วยกันเอง จนนำไปสู่สงครามกลางเมืองและโศกนาฏกรรมที่มิอาจเยียวยา
2. คัดค้านการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ : พวกเราคัดค้านการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะมาจากประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ เราขอยืนยันว่าสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและจัดกิจกรรมทางการเมืองโดยสันติ เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคน ที่ไม่ควรถูกคุมคามด้วยความรุนแรงและบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว นอกจากนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อรักษากฎหมายและความสงบสุขของสังคม จะต้องเป็นไปตามหลักสากล ไม่กระทำเกินกว่าเหตุ และระมัดระวังอย่างถึงที่สุดไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชน
3. เคารพการใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ : การเลือกตั้งเป็นสิทธิทางการเมืองของประชาชนทุกคน ที่ไม่มีใครหรือกลุ่มใดสามารถละเมิดได้ และต้องดำเนินไปตามกรอบรัฐธรรมนูญและวิถีทางประชาธิปไตย ทั้งนี้ควรทำให้การเลือกตั้งเป็นกระบวนการแก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติ
4. สนับสนุนการปฏิรูปบนวิถีทางประชาธิปไตย : ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการปฏิรูปที่ประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีควบคู่ไปกับการเลือกตั้ง การปฏิรูปโดยมอบอำนาจเบ็ดเสร็จให้กับคนบางกลุ่มไม่สามารถเป็นหลักประกันว่าจะทำให้ระบบการเมืองตอบสนองต่อประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นได้อย่างแท้จริง การปฏิรูปจึงต้องอยู่บนวิถีทางประชาธิปไตย เช่น ผ่านกระบวนการทางรัฐสภา การทำประชามติ รวมถึงการติดตาม ตรวจสอบ กดดัน รัฐบาลจากการเลือกตั้งโดยภาคประชาสังคม เป็นต้น
“พวกเราเห็นว่าพรรคการเมืองทุกพรรคต้องแสดงเจตจำนงและให้สัญญาประชาคมที่จะผลักดันให้เกิดการปฏิรูปอย่างจริงจัง โดยไม่กีดกันคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เคารพในความแตกต่างหลากหลาย สร้างกลไกที่ประชาชนมีส่วนร่วม มีกลไกตรวจสอบติดตามเพื่อสร้างความไว้วางใจระหว่างฝ่ายการเมืองกับประชาชน และลดเงื่อนไขที่จะนำสังคมไปสู่ภาวะเผด็จการเสียงข้างมากและเผด็จการเสียงข้างน้อย ทั้งนี้ เครือข่ายฯ จะดำเนินการจัดเวทีพลเมืองปฏิรูปประเทศไทย (Civic Reform Forum) เพื่อสร้างบทสนทนาเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ประชาชนมีส่วนร่วมต่อไป”
นอกจากนั้น วาทะของนายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่ไม่อยากเห็นประเทศตกลงไปในปากปล่องภูเขาไฟที่กำลังพวยพุ่ง ยังสะท้อนถึงความห่วงใยดังที่ว่า "เวลานี้สังคมไทยกำลังเดินอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟ จึงต้องมีสติ ไม่ให้ตัวเองพลัดตกหลุมไปได้ สภาพบ้านเมืองตอนนี้ไปคนละทิศละทาง ประชาชนว้าเหว่ เหมือนไม่มีคนคุ้มครอง ดังนั้นหากประชาชนป้องกันตัวเองจะเป็นเรื่องน่ากลัว ตอนเรายังมีเวลาหลีกเลี่ยงสภาพเช่นนั้น แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงนอกระบบขึ้นมาจริงๆ จะไม่มีใครคุมสถานการณ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนทำรัฐประหาร หรือภาคประชาชน ตอนนั้นจะรู้ว่าใครมีปฏิกิริยาอย่างไร จะเป็นสภาพที่อันตราย และกอบกู้ได้ยากลำบาก"
กล่าวได้ว่า บรรดานักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคม องค์กรพัฒนาเอกชนที่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์นี้ล้วนแต่ “บิ๊กเนม” และมีผลงานอันเอกอุทั้งสิ้น จึงนับว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองและคาดว่าจะมีผู้คนในสังคมเห็นด้วยขยายวงออกไปอย่างกว้างขวาง แต่ช้าก่อน... แถลงการณ์ข้ามวันไม่ทันไร ตัวแทนของบรรดามวลมหานักวิชาการที่หลอมรวมเข้ากับมวลมหาประชาชนก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ตั้งคำถามถึงความนัยที่ซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังการออกมาเคลื่อนไหวทันควัน
ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน ชำแหละเครือข่ายนักวิชาการดังกล่าวเป็นสองพวก หนึ่ง พวกนักวิชาการโลกสวยที่มองเห็นความเลวร้ายของระบอบทักษิณและความเลวร้ายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คัดค้านคอร์รัปชั่น คัดค้านโครงการรับจำนำข้าว คัดค้านนิรโทษกรรมสุดซอย แต่ห่วงว่าการประท้วงของมวลมหาประชาชนอาจนำไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นนองเลือดโดยไม่ยอมรับรู้ว่าใครเป็นต้นชนวนการก่อเหตุ ที่สำคัญนักวิชาการพวกนี้ไม่เคยลงไปคลุกคลี สัมผัส ร่วมชุมนุมกับมวลมหาประชาชนจึงไม่เข้าใจความมุ่งมั่นและความรู้สึกของพวกเขาอย่างแท้จริง
สอง พวกนักวิชาการลิ้นสองแฉก ที่ไม่เชื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งให้การสนับสนุนหัวปักหัวปำแก่นักการเมือง กลุ่มการเมืองและพรรคการเมืองที่มีความเชื่อคล้ายๆ กันจนมองข้ามความเลวร้ายที่นักการเมืองเหล่านี้ทำไว้กับชาติบ้านเมือง ซ้ำแก้ต่างให้โดยอาศัยการตีความตามตัวอักษรโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินว่าพรรคการเมืองเดิมๆ ทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญซ้ำแล้วซ้ำเล่าพวกนี้ก็จะตะแบงว่าศาลตัดสินภายใต้อิทธิพลของอำนาจนอกระบบและเข้าข้างกันสืบไป
เครือข่ายนักวิชาการเหล่านี้ ยังฉวยโอกาสเสนอตัวเป็นคนกลาง หรือมิฉะนั้นก็ช่วยยืดอายุรัฐบาลรักษาการออกไปโดยอ้างเหตุผลไม่ต้องการเห็นความรุนแรง โดยไม่ตระหนักว่าความรุนแรงทั้งหลายที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2552 และ 2553 ถึงปัจจุบันเกิดจากชายชุดแดง ชายชุดดำ และตำรวจเป็นหลัก ไม่ได้เกิดจากมวลมหาประชาชนที่เคลื่อนไหวอย่างสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธแต่อย่างใด เพราะความรุนแรงนั้นไม่มีใครต้องการให้เกิด ผู้ชุมนุมก็ไม่ต้องการ ฝ่ายทหารก็ยืนยันรับไม่ได้หากเกิดเหตุรุนแรงพร้อมใช้ชีวิตป้องกัน และจะวางตัวเป็นกลาง
“เครือข่าย 2 เอา และ 2 ไม่เอา จึงไม่ควรออกมาตะแบงอีกต่อไป เพราะเรารู้ดีว่าพวกคุณเป็นนักวิชาการ โลกสวยและนักวิชาการลิ้นสองแฉกที่ออกมาทำหน้าที่ชักใบให้เรือเสียเท่านั้นเอง....เมื่อนักวิชาการโลกสวยเข้าใจ ความจริงดังกล่าวมาแล้ว โปรดหันมาร่วมสนับสนุนมวลมหาประชาชนเสียเถิด และปล่อยให้นักวิชาการลิ้นสองแฉกมีอันเป็นไปตามกรรมที่พวกเขาก่อไว้เองในที่สุด”
นอกเหนือจากนั้น ผศ.ดร.สมบัติ กุสุมาวลี จากคณะพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ นิด้า ยังกะเทาะความเจ้าเล่ห์ทางวิชาการกรณี “2 เอา 2 ไม่เอา” ด้วยว่า แม้แถลงการณ์นี้มีหลักการที่สวยงามมาก 4 ข้อ ที่หากใครปฏิเสธสมควรประณามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในภาวะสังคมมีความปกติสุข แต่การออกมาในช่วงที่บ้านเมืองไม่ปกติในยามที่ กปปส.ประกาศกิจกรรม Bangkok Shutdown ทำให้เชื่อว่าแถลงการณ์เต็มไปด้วยอคติ แฝงความเจ้าเล่ห์ ซ่อนเร้นสมมติฐานที่มุ่งโจมตีอีกฝ่ายหนึ่ง และเป็นการหลอกเอาผู้บริสุทธิ์ทางวิชาการบางคนเข้าไปเป็นพรรคพวกอย่างน่าเวทนา
ดังเช่นข้อแรก การคัดค้านรัฐประหาร ถามว่าใครเห็นด้วยกับรัฐประหารบ้าง แน่นอนไม่มีใครเห็นด้วย แล้วทำไมจึงนำเรื่องนี้มาชูเป็นประเด็น ใช่หรือไม่ว่าเครือข่ายนี้กำลังพยายามชี้นำยัดเยียดให้สังคมคิดไปว่า พวก กปปส. และมวลมหาประชาชนคือกลุ่มที่เรียกร้องต้องการการรัฐประหาร? นี่เป็นความพยายามบิดเบือนประเด็น แสร้งแปลงความหมายของ “การปฏิวัติประชาชน” ไปเป็น “การรัฐประหาร” ใช่หรือไม่? การทำเช่นนี้ยังถือเป็นการฉวยโอกาส ตีกิน ทำตัวเป็นฮีโร่ ชี้นำให้เกิดการตีความ พยายามติดป้ายตีตราอย่างเนียนๆ ว่า พวก กปปส.และมวลมหาประชาชนกำลังเรียกร้องหรือเปิดทางให้กองทัพออกมาทำรัฐประหาร การออกมาแถลงเช่นนี้แทนที่จะสร้างสรรค์กลับปั่นหัวผู้คนต่างกลุ่มให้เกิดความเข้าใจผิด และเปิดช่องชี้นำให้เกิดความรุนแรงมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
ความเจ้าเล่ห์ถัดมาคือประเด็นคัดค้านการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ซึ่งเรื่องนี้มีใครบ้างที่ไม่เห็นด้วย แน่นอนย่อมไม่มีใครต้องการความรุนแรง แต่จะออกแถลงการณ์มาสั่งสอนประชาชนทำไม ใช่หรือไม่ที่เครือข่ายนี้กำลังพยายามสอดใส่ชี้นำความคิดของผู้คนไปทางที่ว่า พวก กปปส. และมวลมหาประชาชน นี่แหละที่มีแนวโน้มที่จะใช้ความรุนแรง ใช่หรือไม่? เป็นความพยายาม “โยนขี้” ให้พวกกปปส.และมวลมหาประชาชนใช่หรือไม่ ที่ผ่านมาเกิดเหตุความรุนแรงหลายครั้งหลายคราวทั้งเผาบ้านเผาเมืองช่วงการชุมนุมทางการเมือง ปี 2553 ฯลฯ แล้วพากันไปมุดหัว ปิดปากอยู่ที่ไหน ทำไมเพิ่งมาเสนอหน้าออกแถลงการณ์ตอนที่ กปปส.กำลังจะชุมนุมใหญ่ มีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่?
ความเจ้าเล่ห์ทางวิชาการ ประการที่สาม การเคารพการใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่ชัดเจนว่าเครือข่ายฯกำลังใช้ประเด็นการเลือกตั้งมาเล่นงาน ทำลายความน่าเชื่อถือ ความชอบธรรมของกลุ่ม กปปส.และมวลมหาประชาชน ที่กำลังมุ่งขัดขวางการเลือกตั้ง 2 ก.พ. ซึ่งว่าตามความจริงแล้วระดับสติปัญญาของนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางสังคมที่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ย่อมรู้ดีว่ากลุ่ม กปปส. และมวลมหาประชาชน ไม่ใช่ไม่ต้องการการเลือกตั้ง แต่ทำไมจึงไม่อยากให้มีเลือกตั้ง 2 ก.พ. และทั้งๆ ที่เครือข่ายฯ เน้นว่าควรทำให้การเลือกตั้งเป็นกระบวนการแก้ความขัดแย้งอย่างสันติ คำถามคือ การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 2 ก.พ.นี้ จะช่วยแก้ความขัดแย้งอย่างสันติจริงหรือ ใช่มีแต่จะนำความขัดแย้งรุนแรงมาสู่สังคมไทยเพราะการดันทุรังเลือกตั้ง 2 ก.พ.นี้ต่างหาก
ความเจ้าเล่ห์ทางวิชาการ ประการที่สี่ การสนับสนุนการปฏิรูปแบบวิถีประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครไม่เห็นด้วยเช่นกัน แต่แถลงการณ์ข้อนี้ กลับชัดเจนว่า เครือข่ายฯ กำลังมุ่งเล่นงานกลุ่ม กปปส. และมวลมหาประชาชน โดยเฉพาะข้อความที่ว่า “การปฏิรูปโดยมอบอำนาจเบ็ดเสร็จให้กับคนบางกลุ่มไม่สามารถเป็นหลักประกันว่าจะทำให้ระบบการเมืองตอบสนองต่อประชาชน” ถือได้ว่าเป็นข้อความที่เป็นการมุ่งโจมตีแนวคิด “สภาประชาชน” ของกลุ่ม กปปส. อย่างมีนัยสำคัญ
“ผมเองคิดว่า ท่านนักวิชาการรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ ในกลุ่ม “เครือข่าย 2 เอา 2 ไม่เอา” ก็ไม่ใช่พวกอ่อนเยาว์ไร้ประสบการณ์ เขี้ยวเล็บของท่านล้วนโง้งยาวและแหลมคม แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเกิดอะไรขึ้น ท่านจึงเกิดอาการหน่อมแน้ม ไร้เดียงสา โลกสวยงามขึ้นมาในบัดดล เห็นบรรดานักการเมืองและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นพวกใสซื่อบ้องแบ้วร่วมใจพร้อมกันสัญญาที่จะเข้ามาทำการปฏิรูปประเทศไทยมิให้เกิดการเหลื่อมล้ำ ไร้การทุจริตคอรัปชั่น บริการฉับไว รับใช้ประชาชน อยู่ภายใต้การตรวจสอบของประชาสังคมอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว หลายปีที่ผ่านมา ท่านไม่รู้จัก ไม่รับรู้ ไม่เห็นฤทธิ์เดชเล่ห์เหลี่ยม วิชามารขั้นเทพใดๆ ของพวกนี้เลยหรือ?”
ผศ.ดร.สมบัติ ยังมองเห็นเช่นเดียวกันกับศ.ดร.อภิชัย ที่ว่า เครือข่ายฯ จะขอเข้ามามีบทบาทโดย “เครือข่ายจะดำเนินการจัดเวทีพลเมืองปฏิรูปประเทศไทย (Civic Reform Forum) เพื่อสร้างบทสนทนาเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ประชาชนมีส่วนร่วมต่อไป” พูดง่ายๆ คือ กปปส. จงถอยออกไป เรา ‘กลุ่มเครือข่าย 2 เอา 2 ไม่เอา’ มาแล้ว จงให้เครือข่าย 2 เอา 2 ไม่เอาทำเรื่องปฏิรูปเอง เรา ‘กลุ่มเครือข่าย 2 เอา 2 ไม่เอา’ คือผู้เชี่ยวชาญ (เจ้าพ่อ) แห่งการปฏิรูปที่ประชาชนมีส่วนร่วมตัวจริงเสียงจริง ส่วนพวก กปปส. ที่เคลื่อนไหวกันอยู่ตอนนี้ มันคือ ปฏิรูปเทียม “แหม หมกเม็ดได้อย่างร้ายกาจจริงๆ นะเธอ”
ซ้ำยังมีข้อสังเกต “โปสเตอร์เชิญชวน” ของกลุ่มนี้ ที่ว่า “อย่าให้ใครแย่งสิทธิของเราไป 2 กุมภาต้องมีเลือกตั้ง” ช่างคล้ายประกาศโฆษณาของรัฐบาลรักษาการณ์ปัจจุบัน จนมีคำถามต่อว่า หรือว่า... กลุ่มเครือข่าย 2 เอา 2 ไม่เอา แท้จริงแล้วคือ “โฆษกรัฐบาลสายวิชาการ”
ในช่วงจังหวะการออกมาเคลื่อนไหวของเครือข่ายฯ ประจวบเหมาะกับการที่กลุ่มเสื้อแดงเตรียมเคลื่อนโหมกระแสหนุนเลือกตั้ง 2 ก.พ.พอดิบพอดี เมื่อมีเครือข่ายนักวิชาการออกมา กลุ่มเสื้อแดงก็แปลงร่างใส่เสื้อขาวร่วมเกาะขบวนจุดเทียนหนุนเลือกตั้งตามคำสั่งของ “ป้าธิดา” ที่ประกาศชัดว่าให้ชาวเสื้อแดงไปสวมเสื้อขาวสนับสนุนการจุดเทียนเรียกร้องเลือกตั้ง และแกนนำคนสำคัญอย่างนายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ขึ้นเหนือนำหน้าจุดเทียน เช่นเดียวกับนายขวัญชัย ไพรพนา ที่อุดรธานี และพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ แดงแปลงร่าง แอ๊บขาวก็ออกมากันอย่างคึกคัก
อย่าบอกว่าเสื้อแดง เสื้อขาว ไม่เกี่ยวกัน เพราะใครๆ ก็รู้ว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าของผลงานการสร้างขบวนการคนชุดขาวขึ้นมาดังปรากฏหลักฐานภาพถ่ายเซเล็บแดงเอย ชาวเฟซแดงเอย รวมทั้งครอบครัวตำรวจถูกเกณฑ์เปลี่ยนชุดขาวไปจุดเทียนเป็นทิวแถว นั่นเพราะว่าสถานการณ์ตอนนี้พลังสีแดงเอาไม่อยู่แล้ว มีแต่ต้องเชิญชวนคนกลางๆ ที่เขาอึดอัดกับแนวคิดวิธีการของกำนันสุเทพออกมาส่งเสียง ครั้นจะชูธงแดงเชิญคนกลางๆ มาร่วมเขาก็ไม่มาเพราะภาพลักษณ์ของสีแดงมันหนักไปทางบู๊ดุเดือดไล่ฟาดฟัน
แต่ไม่ว่ารัฐบาลรักษาการและพรรคเพื่อไทยจะดิ้นรนอย่างไรก็ตาม ในสายตาของนักวิชาการขาประจำ เสื้อกั๊กเจ้าเก่า ศ.พิเศษ ธีรยุทธ บุญมี วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ขณะนี้โอกาสที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะชนะมีน้อยมากเพราะระบอบทักษิณเริ่มเสื่อมลง ประชานิยมของทักษิณก็เป็น “ประชาซาเล๊ง” แต่มวลมหาประชาชนก็ไม่อาจได้รับชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เนื่องจากการปฏิรูปโครงสร้างที่เลวร้ายและวางรากฐานใหม่ให้ประเทศเป็นเรื่องยาก ใช้เวลา กลุ่มธุรกิจใหญ่และชนชั้นนำเมืองไทยรู้ดี พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครทำได้ จึงไม่เชื่อหรือศรัทธาพลังประชาชน และมวลมหาประชาชนจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นนำทางเศรษฐกิจสังคมไทย เพราะคนเหล่านั้นไม่มีความกล้าพอจะเป็นผู้นำหรือริเริ่มการเปลี่ยนแปลงระดับปฏิรูปหรือปฏิวัติด้วยตัวเอง
ถึงกระนั้น เสื้อกั๊กเจ้าเก่าก็ยังสนับสนุนและขอเป็นส่วนหนึ่งของ “สันติภิวัฒน์” ของมวลมหาประชาชน โดยไม่เสแสร้ง ตะแบง ชักใบให้เรือเสีย ในช่วงสถานการณ์ที่ กปปส.และมวลมหาประชาชน กำลังเดินหน้า “ปฏิวัติประชาชน” อย่างเอาจริงเอาจังในเวลานี้