ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ในที่สุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็มีมติเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2557 เกี่ยวกับคดีทุจริตโครงการจำนำข้าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยที่ประชุมป.ป.ช.มีมติเอกฉันท์เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ ให้ไต่สวนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากพบว่าอาจมีมูลความผิดกรณีละเว้นต่อหน้าที่ที่จะยุติความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว แม้จะมีข้อท้วงติงแล้วแต่ละเลยไม่ยับยั้ง ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาจะดำเนินการต่อไป
นอกจากนั้น ป.ป.ช.ยังมีมติเอกฉันท์ให้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งข้าราชการกระทรวงพาณิชย์รวม 15 คน กรณีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวซึ่งจากการสอบสวนพบว่าบริษัทค้าข้าว ทุกรายจ่ายเงินให้กรมการค้าต่างประเทศไม่พบการส่งข้าวออกนอกราชอาณาจักร จึงไม่ใช่การค้าแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ทั้งยังพบการกระทำผิดเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวพันกับสรรพากรอีกด้วย
“เราได้ดำเนินการแบบตรงไปตรงมา ได้ลงมติกัน ไม่ใช่ว่าลงมติกันแบบชักจูงกันไปลงมติ แล้วผมก็ไม่มีสิทธิไปชักจูงใจ และใครก็มาชักจูงเราไม่ได้ เราใช้เหตุผล อ้างอิงหลักฐานชนิดที่เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกด้าน”นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวยืนยัน
หากย้อนกลับไปดูการ การระบายข้าวแบบรัฐต่อ รัฐ (จีทูจี) ที่ส่อทุจริต “สำนักข่าวอิศรา” ได้ประมวลข้อมูลและหลักฐานความไม่ชอบมาพากลเรื่องนี้ว่าถูกเปิดประเด็นขึ้นมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ของนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงปลายปี 2555 โดยมีไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การตรวจสอบพบพิรุธในการขายข้าวจำนวน 7.32 ล้านตัน ให้กับบริษัทต่างประเทศในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี โดยบริษัทจากจีนชื่อ “GSSG IMP AND EXPORT CORP” อยู่ที่เมืองกวางเจา เข้ามาทำสัญญาค้าข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ 5 ล้านตัน แต่ปรากฏว่าผู้ที่มีอำนาจของบริษัท คือ "นายรัฐนิธ โสติกุล" และมอบอำนาจให้นายนิมล รักดี ชาว อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เป็นผู้ดำเนินการแทน
จากการตรวจสอบพบว่านายรัฐนิธ มีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” อายุ 32 ปี เพิ่งผ่านการเรียนหลักสูตรวุฒิบัตรผู้ช่วยและผู้ปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภารุ่นที่ 6 รวมทั้งเป็นนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้า และเป็นผู้ช่วยส.ส.ในลำดับที่ 3 ของนางรพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (ภรรยานายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง) เมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารของนายรัฐนิธ พบว่า มีเงินอยู่ในบัญชีเพียงแค่ 64.63 บาท ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับผู้มีอำนาจติดต่อซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทย
ส่วนนายนิมล รักดี ปรากฏข้อมูลว่า มีชื่อในวงการว่า "เสี่ยโจว" เป็นมือขวา “เสี่ยเปี๋ยง” หรือนายอภิชาติ จันทร์สกุลพรเจ้าของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งผูกขาดการซื้อข้าวจากโครงการรับจำนำข้าว ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ นายนิมล เคยถูกป.ป.ช.ชี้มูลการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในนามบริษัทเพรสซิเด้นท์ อะกริเทรดดิ้ง สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งการอ้างว่า ขายข้าวแบบจีทูจี ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการประมูลให้ได้ราคาพิเศษ ไม่มีการระบายข้าวจริง เป็นการตั้งบริษัทผีมารับข้าว เพื่อนำข้าวไปเร่ขายให้กับโรงสี อาจจะได้ส่วนต่างสูง ตันละ 3,000 บาท บางล๊อตสูงถึง 5,000 บาท
นายแพทย์ วรงค์ ระบุว่า "ในการตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ มีคนส่งข้อมูลเป็นบัญชีข้าวของรัฐบาลมาให้ดู เป็นบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ เลข 385009504-5 ซึ่งข้อมูลช่วงวันที่ 28 ก.ย.- 15 ต.ค. 2555 ที่รัฐบาลคุยโวว่า จะมีการขายข้าวแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พบว่ามีการถอนเงินจากธนาคารใหญ่ในหลายลักษณะ ทั้ง แคชเชียร์เช็ค การถอนเงิน หรือการโอนเงินจากธนาคารใหญ่"
“หากเป็นการค้าแบบจีทูจี จะต้องมีการเปิดแอล/ซี แต่ครั้งนี้กลับไม่พบว่ามีการเปิดแอล/ซี แสดงว่าไม่มีการค้าข้าวให้ต่างประเทศจริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนจากธนาคารใหญ่ เช่น มีการโอนเงิน รวม 72 รายการ จากธนาคารใหญ่ 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกร และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมเป็นมูลค่า 4,960 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกจากบัญชีกรมการค้าต่างประเทศ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท”
เมื่อไม่มีการค้าข้าวแบบจีทูจีจริง แต่รัฐบาลกลับเปิดโอกาสให้บริษัทสยามอินดิก้า เอาข้าวของรัฐบาลไปเร่ขายให้กับโรงสี ในลักษณะของไปเงินมา มีการพบแคชเชียร์เช็ค ออกในนามของ นายสมคิด เรือนสุภา ที่ซื้อแคชเชียร์เช็ค จำนวนกว่า 500 ล้านบาท และเมื่อตรวจสอบที่อยู่ของนายสมคิด ตามที่แจ้งที่อยู่เลขที่ 191 ซอยดำเนินกลาง เขตพระนคร พบว่า ไม่มีสภาพเป็นบ้านของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ และจากการสอบถามประชาชนบ้านใกล้เคียงทราบว่า นายสมคิด ได้ย้ายไปอยู่บ้านของภรรยา ที่เขตบางแค และเมื่อตรวจสอบพบว่าเป็นเพียงบ้านไม้ 2 ชั้น ตั้งอยู่ริมคลอง เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า สมคิด เป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้าเพราะนายสมคิด ได้รับมอบอำนาจจากเสี่ยเปี๋ยง ไปจดทะเบียนตั้งบริษัทสยามอินดิก้า เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2547
ตามไปตรวจสอบข้อมูลต่อ พบข้อมูลบัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-03796-9 โดยบัญชีดังกล่าวมีผู้มีอำนาจลงนาม จำนวน 5 คน อาทิ นิมล เรืองวัน กฤษณา
นอกจากนั้นยังมีชื่อของนางเรืองวัน เปิดบัญชีไว้กว่า 100 บัญชีและมีการตั้งกองทุนชื่อว่า KTAM เพื่อไว้ซุกเงิน ลักษณะที่ตรวจพบว่า เมื่อมีการโอนเงินมาช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายก็มีการถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมดในรูปแบบของเงินสด ตามที่หมอวรงค์ได้ข้อมูล คือ บัญชีนิมล พบว่ามีการโอนจากธนาคารกสิกร ไป ธนาคารกรุงไทย หลายรายการในช่วงปี 2555 ได้แก่ เมื่อวันที่ 27 ก.ย. จำนวน 260 ล้านบาท วันที่ 28 ก.ย. จำนวน 99 ล้านบาท วันที่ 3 ต.ค. จำนวน 485 ล้านบาท วันที่ 5 ต.ค. โอน 306 ล้านบาท และวันที่ 9 ต.ค. โอน 405 ล้านบาท โดยการโอนเงินลักษณะนี้ อาจเข้าข่ายการฟอกเงินและมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน
เมื่อป.ป.ช.ออกมาฟันขบวนการทุจริตจำนำข้าวให้เห็นกันเป็นเบื้องต้นแล้ว ต้องรอลุ้นว่าถึงที่สุดแล้วจะเอาบรรดาโคตรโกงเข้าคุกเข้าตะรางได้ถึงหัวหน้าใหญ่หรือไม่
แต่ที่ตายหยังเขียดไม่ต้องรอลุ้นก็คือ ชาวนาที่ถูกหลอกว่าจะได้รับเงินจำนำข้าวที่ค้างอยู่ตั้งแต่ปลายปี 2556 ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ สุดท้ายก็กินแห้ว โดยเฉพาะชาวนาในเขตภาคเหนือตอนล่างทั้ง จ.พิษณุโลก พิจิตร กำแพงเพชร และนครสวรรค์ ที่ชุมนุมปิดถนนนครสวรรค์-พิษณุโลก บริเวณแยกปลวกสูง จ.พิจิตร เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ผ่านมา เรียกร้องให้รัฐบาลจ่ายหนี้ค่าข้าวที่ค้างไว้และมีการรับปากกันเป็นมั่นเหมาะ พอถึงเวลาจ่ายจริงรัฐบาลก็ไม่มีเงิน
เอาเพียงนครสวรรค์จังหวัดเดียวที่มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 67,456 ครัวเรือน ได้ใบประทวน 64,016 ราย ปริมาณข้าว 655,545.24 ตัน วงเงิน 10,188.45 ล้านบาท ธ.ก.ส.นครสวรรค์ ได้รับจัดสรร 2,407 ล้านบาท จ่ายให้เกษตรกร 8,831 ราย เงิน 1,620 ล้านบาท และอีก 787 ล้านบาทจ่ายให้เสร็จในวันที่ 17ม.ค. ส่วนเกษตรกรอีก 55,185 ราย คิดเป็น 86.21% ค้างจ่าย 8,568 ล้านบาท ยังไม่รู้จะได้เงินวันไหน ชาวนาขายข้าวแล้วไม่ได้เงิน นี่เป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของประเทศไทยเลยก็ว่าได้
ความ ฉิบหาย ความล้มเหลวของโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ จากการใช้เงินเม็ดเงินมหาศาลไปรับจำนำข้าวโดยอ้างเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ของชาวนาให้ลืมตาอ้าปากได้กลับกลายเป็นการสร้างปัญหาให้กับชาวนา และไม่รู้ว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ซึ่งมีสภาพเป็นรัฐบาลรักษาการจะแก้ปัญหา ที่เกิดขึ้นในได้อย่างไร วันนี้ชาวนาทั่วประเทศจึงถูกลอยแพให้เคว้งคว้างไม่รู้อนาคต
เว็บไซต์ “ไทยพับลิก้า” รายงานข้อมูลจากสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ธ.ก.ส. (สร.ธ.ก.ส.) ว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยใช้เงินในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตั้งแต่ฤดูการผลิต 2554/55 จนถึงฤดูการผลิต 2556/57 ณ วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นจำนวนเงินประมาณ 718,790.7 ล้านบาท แบ่งเป็นการใช้เงินของฤดูการผลิต 2554/55 กับ 2555/56 ประมาณ 688,673 ล้านบาท และเป็นการใช้เงินของฤดูการผลิต 2556/57 ณ วันที่ 1 มกราคม 2557 ประมาณ 30,177.7 ล้านบาท
ขณะที่ ณ วันที่ 4 ม.ค. 2557 ธ.ก.ส. ได้รับเงินจากการระบายขายข้าวและมันสำปะหลัง จำนวน 178,793.3 ล้านบาท และจากงบประมาณปี 2557 จำนวน 62,200.7 ล้านบาท ดังนั้น รวมมีเงินสำหรับชำระคืนเงินกู้ในโครงการจำนำข้าวไปแล้วประมาณ 240,993.9 ล้านบาท ยังเหลือภาระหนี้คงค้างอีก 477,796.7 ล้านบาท
จากข้อมูลของ สร.ธ.ก.ส. จะเห็นว่า หากยึดกรอบวงเงินเดิมสำหรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือกต้องไม่เกิน 500,000 ล้านบาท จะเห็นว่ามีเม็ดเงินให้ดำเนินการได้อีกเพียง 22,203.2 ล้านบาทเท่านั้น (วงเงิน 500,000 - 477,796.7) ซึ่งไม่น่าจะเพียงพอในการจ่ายเงินให้กับชาวนาในฤดูการผลิต 2556/57 ส่วนทางแก้จะกู้เพิ่ม 1.3 แสนล้าน ที่จะต้องขอความเห็นจาก กกต. เสียก่อน ก็ปิดประตูตาย ครั้นจะเอาเงินฝากของธ.ก.ส.ไปหมุนเวียนใช้จ่ายก็ไม่ได้เพราะแบงก์ไม่ให้แล้ว
หากนับใบประทวนที่ต้องจ่ายเงินให้ในโครงการรับจำนำข้าวฤดูการผลิต 2556/57 ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2556 ถึง 11 ม.ค. 2557 มีจำนวน 1.7 ล้านสัญญา และปริมาณรับจำนำข้าวเปลือกที่ส่งมอบจำนวน 10.8 ล้านตัน นั้น รัฐบาลเพิ่งมีปัญญาจ่ายเงินให้ชาวนาได้เพียง 289,563 ส่วนใบประทวนที่เหลืออยู่อีกประมาณ 1.4 ล้านสัญญา และปริมาณข้าวเปลือกที่ส่งมอบยังเหลืออีกจำนวน 6.5 ล้านตัน ก็มีโอกาสจะไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าว
นั่นหมายความว่า ชาวนาที่ถือใบประทวนอยู่ในมือตอนนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะไม่ได้เงินจำนำข้าว เพราะรัฐบาลมีเงินไม่พอจ่าย เป็นฝันร้ายของชาวนาที่ยังไม่รู้ชะตากรรม และขบวนการที่สร้างความทุกข์ให้ชาวนาก็กำลังถูกเวรกรรมไล่ล่า