“พาณิชย์” ยันเดินหน้าจำนำข้าวต่อจนถึงสิ้นสุดโครงการ 28 ก.พ.นี้ แม้ ป.ป.ช.เตรียมไต่สวน “นายกฯ” เหตุประกาศไว้นานแล้ว หยุดไม่ได้ วอน กกต.อนุมัติกู้เงิน 1.3 แสนล้านบาทจ่ายชาวนาโดยด่วน “นิวัฒน์ธำรง” เผยคนที่ถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาต้องชี้แจงเอง เอกชนระบุไม่เหนือความคาดหมาย เหตุรู้ๆ กันอยู่ว่าจีทูจีจีนไม่มีจริง
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์รักษาการ เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะไต่สวนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมรักษาการ กรณีไม่หยุดดำเนินโครงการรับจำนำข้าวทั้งที่สร้างความเสียหายให้ประเทศมหาศาลว่า จนถึงขณะนี้ รัฐบาลยังจำเป็นต้องเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 2556/57 (รอบแรก) อย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นสุดระยะเวลาโครงการวันที่ 28 ก.พ. 2557 เพราะได้ประกาศให้ชาวนาทราบแล้ว คงหยุดไม่ได้
ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช.จะแจ้งข้อกล่าวหาข้าราชการ และอดีตข้าราชการกรมการค้าต่างประเทศ 3 คน ร่วมกับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ มีส่วนพัวพันกับการขายข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้แก่รัฐวิสาหกิจจีนนั้น ผู้ถูกกล่าวหาต้องชี้แจงตามขั้นตอนของ ป.ป.ช. ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีฝ่ายกฎหมายที่จะดูแล และช่วยเหลืออยู่แล้ว ส่วนการขายข้าวจีทูจีให้จีนมีจริงหรือไม่ ตนไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องที่ดำเนินการก่อนที่ตนจะรับตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ และไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไร
สำหรับการจ่ายเงินให้ชาวนาที่นำข้าวเข้าโครงการรับจำนำข้าว กระทรวงการคลังได้ทำหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แล้วว่าจะดำเนินการกู้เงินจำนวน 130,000 ล้านบาทเพื่อมาใช้ในโครงการรับจำนำได้หรือไม่ ซึ่งขณะนี้ กกต.อยู่ระหว่างการพิจารณา และต้องขอความเห็นใจจาก กกต. เพราะเป็นการช่วยเหลือชาวนาที่กำลังเดือดร้อน ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองใดๆ และทางสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยก็ได้ทำหนังสือถึง กกต.ให้พิจารณาอนุมัติโดยเร็วแล้ว หาก กกต.ไม่อนุมัติ กระทรวงการคลังก็ต้องหาทางดำเนินการอื่นต่อไป
อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ ปีที่ผ่านๆ มารัฐบาลได้จ่ายเงินตรงเข้าบัญชีเกษตรกรผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดยมีแหล่งเงินจากเงินงบประมาณ, เงินกู้ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหา, เงินที่ ธ.ก.ส. สำรองจ่ายไปก่อน และเงินทุนหมุนเวียนที่ได้จากการระบายข้าว ซึ่งการจ่ายเงินในปีการผลิต 2554/55 และ 2555/56 ไม่มีปัญหา แต่โครงการปี 2556 /57 ธ.ก.ส.ได้จ่ายเงินให้เกษตรกรไปแล้ว 54,950 ล้านบาท แต่เนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยรัฐธรรมนูญบัญญัติให้ การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณและการกู้เงิน จะต้องขอความเห็นชอบจากกกต.ก่อน
นายนิวัฒน์ธำรงกล่าวว่า การระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล เร็วๆ นี้กระทรวงพาณิชย์จะเปิดประมูลข้าวเป็นการทั่วไปประมาณ 200,000-300,000 ตัน และการเปิดประมูลข้าวผ่านตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟต) วันที่ 22 ม.ค.นี้ อีกประมาณ 140,000 ตัน รวมถึงยังเปิดให้ภาคเอกชนที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศมาขอซื้อจากกระทรวงฯโดยตรง หรือเปิดให้ลูกค้าต่างประเทศติดต่อขอซื้อเข้ามาได้โดยตรง เพื่อเร่งระบายข้าวออกจากสต๊อก และนำเงินมาส่งคืนกระทรวงการคลัง หลังจากที่ต้องชะลอการเจรจาซื้อขายข้าวจีทูจีกับจีน ปริมาณ 1 ล้านตัน และอีก 1.2 ล้านตันที่ได้ทำสัญญาไปแล้วกับรัฐวิสาหกิจจากมณฑลเฮย์หลงเจียง
นายทิฆัมพร นาทวรทัต รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ หนึ่งในข้าราชการที่ถูก ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาระบายข้าวจีทูจีไม่จริง กล่าวว่า ขอดูรายละเอียดการแจ้งข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช.ก่อน และจะหารือกับฝ่ายกฎหมายของกรมฯ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่เคยไปชี้แจงรายละเอียดการขายข้าวจีทูจีให้จีนล็อตนี้เลย แต่ป.ป.ช.ก็แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว
ขณะที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ขณะนี้ได้ให้ฝ่ายกฎหมายจัดทำรายละเอียด และเอกสารประกอบการชี้แจง ป.ป.ช.แล้ว และยังไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียด
ทางด้านนายสุรศักดิ์ เรียงเครือ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า กรณีที่ ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวว่าข้าราชการของกรมฯ นั้นจะมีการโยกย้ายหรือสับเปลี่ยนการทำงานหรือไม่ อยู่ระหว่างการพิจารณาและขอหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการจากป .ป.ช. ก่อน ซึ่งการจะดำเนินการอย่างไรจะพิจารณาบนพื้นฐานการเคารพกฎหมาย และความรับผิดชอบตามที่ได้รับมอบหมายตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งในสัปดาห์หน้าน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น
นายชูเกียรติ โอกาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวถึงการที่ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวจีทูจีให้จีนไม่มีจริงว่า ไม่เกินความคาดหมายของเอกชน เพราะเป็นเรื่องที่รับรู้ในวงการมาตลอด และมองว่าเป็นเรื่องดีที่นักการเมือง และพรรคการเมืองจะบริหารข้าวของรัฐบาลอย่างระมัดระวังมากขึ้น ไม่ทำให้รัฐเสียหาย