นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การทุจริตในโครงการจำนำข้าว จากการอ้างว่าระบายข้าวด้วยวิธี รัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้แล้วว่า การระบายข้าวจีทูจี ไม่มีจริง ยิ่งตอกย้ำความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลที่ใช้อำนาจรัฐมาทุจริต จึงหมดเวลาแล้วสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และขอเรียกร้องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่า โครงการรับจำนำข้าว สร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมข้าว และเศรษฐกิจในภาพรวมอย่างรุนแรง จึงขอให้ ป.ป.ช. กำหนดเวลาที่แน่นอนในการไต่สวนให้เสร็จสิ้น ไม่เช่นนั้นจะล่าช้า ทำให้ประเทศชาติเสียหายมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาล มีการแถลงตัวเลขการระบายข้าวแบบจีทูจี ว่า อยู่ที่ 8.3 ล้านตัน เมื่อนำมาคูณกับต้นทุนค่าใช้จ่ายของรัฐบาลที่ 2.86 หมื่นบาทต่อตัน เท่ากับเป็นเงินถึง 237,030 ล้านบาท โดยรัฐบาลไม่ได้แยกแยะให้ชัดเจนว่ามีรายได้จากการระบายข้าวจากจีทูจี ที่อ้างถึงเป็นจำนวนเงินเท่าใด แต่มีมีการแถลงภาพรวมทั้งหมดจากการระบายข้าวได้แค่แสนสามหมื่นกว่าล้านเท่านั้น ส่วนที่หายไปแสนล้าน คือเงินที่รั่วไหลไปกับการทุจริตทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่รวมกับที่รัฐบาลต้องขาดทุนไปกับการระบายข้าวในวิธีการอื่น ไม่ว่าจะเป็น ข้าวถุง หรือการขายให้หน่วยงานรัฐในราคาถูก
นพ.วรงค์ ยังแจกแจงตัวเลขที่รัฐบาลเคยแถลงเกี่ยวกับการระบายข้าวแบบ จีทูจี ให้เห็นภาพชัดเจนว่า มีการจงใจทุจริต ดังนี้ คือมีการอ้างตัวเลขการระบายข้าวจีทูจีในปีที่ผ่านมาสูงถึง 4.8 ล้านตัน แต่ข้าวที่ส่งออกอย่างเป็นทางการมีแค่ 3.7 ล้านตัน แสดงให้เห็นว่าส่วนต่างที่หายไปเป็นเรื่องของการขายเวียนเทียยนขายภายในประเทศ และตัวเลขอย่างเป็นทางการของรัฐบาลได้อ้างตัวเลขการระบายข้าวแบบจีทูจี ณ เดือนกันยายนไว้ที่ 8.3 ล้านตัน จึงขอให้สื่อมวลชนได้คิดว่า จะมีการทุจริตมากแค่ไหน เมื่อเทียบกับการระบายข้าวในรูปแบบอื่น 7.24 แสนตัน โดยขายกับหน่วยงานราชการ 6.28 แสนตัน ซึ่งในนี้รวมถึงการทุจริตข้าวถุงด้วย แสดงว่า การทุจริตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีความต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ทำให้ไม่มีเงินเพียงพอมาจ่ายให้กับชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว
**ป.ป.ช.บุก อคส.ขอเอกสารขนย้ายข้าว
ด้านนายวิทยา อาคมพิทักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) ว่า ป.ป.ช.มารับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการขายข้าวแบบจีทูจี ของกระทรวงพาณิชย์ ที่พรรคฝ่ายค้านร้องเรียน ป.ป.ช. ว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้น โดยเอกสารที่มารับจาก อคส.เป็นใบขนย้ายข้าวในสต๊อกรัฐออกจากโกดังกลาง ซึ่งป.ป.ช.ได้ขอจาก อคส.มาแล้วกว่า 5 เดือน แต่ยังไม่ได้จัดส่งให้ โดยอ้างว่า กำลังรวบรวมเอกสารอยู่
ทั้งนี้ อคส.ระบุว่า การขายข้าวจีทูจีของรัฐบาลชุดนี้ให้กับรัฐวิสาหกิจจีน มีการขนข้าวออกจากโกดังทั่วประเทศ 180 ครั้ง ซึ่งป.ป.ช.ได้สุ่มตรวจใบขนย้ายจากโกดังทั่วประเทศ 34 แห่ง แต่ก่อนหน้านี้ อคส.ได้จัดส่งให้แล้ว 7 แห่ง และครั้งนี้ได้ส่งให้เพิ่มอีก 10 แห่ง รวม 17 แห่ง ส่วนทีเหลือคาดจะส่งให้ในเร็วๆ นี้
”การตรวจสอบใบขนย้าย เพื่อให้รู้เส้นทางของข้าว ที่กระทรวงพาณิชย์บอกว่าขายจีทูจีให้กับรัฐวิสากิจของจีนนั้น ขายให้จริงหรือไม่ ได้มีการขนข้าวออกจากโกดังเพื่อส่งออกให้จีนจริงหรือไม่ หรือมีการนำข้าวมาวนขายในประเทศหรือไม่ รวมทั้งให้รู้เส้นทางของเงินที่นำมาซื้อข้าวว่ามาจากไหน ซึ่งเมื่อได้เอกสารครบถ้วนแล้ว ต่อไปจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าของโกดังที่อคส.ขนข้าวออก หัวหน้าคลังสินค้าของอคส.ที่ดูแลโกดังนั้น เป็นต้น มาให้ปากคำ”
นายวิทยา กล่าวว่า การตรวจสอบคดีนี้จะสรุปผลได้เมื่อไร คงต้องขึ้นอยู่กับเอกสาร และพยานบุคคลที่ตรวจสอบเพิ่มเติม หากมีเอกสารและพยานเพียงพอ ก็จะชี้มูลได้ในเร็วๆ นี้ โดยหากตรวจสอบแล้วพบว่าเข้าข่ายมีการทุจริตจริง ป.ป.ช.จะแจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ หากเป็นข้าราชการประจำ จะแจ้งต้นสังกัดให้พิจารณาเอาผิดทางวินัย และฟ้องศาลฎีกาให้เอาผิดทางอาญาด้วย และหากเป็นข้าราชการการเมือง จะแจ้งความดำเนินคดีกับศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ด้านนายชนุตร์ปกรณ์ วงศ์สีนิล ผู้อำนวยการ อคส.กล่าวว่า ได้ชี้แจ้งป.ป.ช. ว่าพร้อมให้ความร่วมมือ และสั่งการให้รองผู้อำนวยการ อคส.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจัดส่งเอกสารให้ป.ป.ช.ตามที่ได้ขอมา ส่วนที่ป.ป.ช.ระบุว่าได้ขอข้อมูลมาแล้ว 5 เดือนแต่อคส.ยังไม่ได้ส่งให้นั้น ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ตนเป็นผู้อำนวยการ เพราะตนเพิ่งรับตำแหน่งผู้อำนวยการอคส.ได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น อีกทั้งตนไม่ได้ดูแลสัญญาขายข้าวจีทูจีในล็อตดังกล่าว และที่ผ่านมา อคส. มุ่งทำตามนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ทำให้ต้องใช้บุคคลจำนวนมาก จึงอาจจัดส่งเอกสารให้ล่าช้า ส่วนการสอบสวนจะเป็นอย่างไร คงต้องรอป.ป.ช.
นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงการที่ ป.ป.ช.ระบุจะเรียกข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการขายข้าวจีทูจีให้กับรัฐวิสาหกิจไปสอบปากคำเพิ่มเติม และขอเอกสารที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมว่า กรมฯ ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่มาโดยตลอด ไม่ได้ปิดบังอยู่แล้ว ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ให้ความร่วมมือดีเช่นกัน ซึ่งมั่นใจว่า การขายข้าวจีทูจีให้กับจีนดำเนินการอย่างถูกต้อง โปร่งใส
**”ยรรยง”อัดป.ป.ช.แบไต๋มากไป
ขณะที่นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และอคส.ให้ข้อมูลแก่ป.ป.ช.ตามที่ขอมา และต้องพยายามชี้แจงข้อเท็จจริงให้ป.ป.ช. และสาธารณชนเข้าใจ เพราะประเด็นที่มีการตรวจสอบเรื่องวิธีการขายข้าวจีทูจีนั้น มีหลายวิธี ต้องแยกแยะให้ถูกต้อง โดยการขายข้าวจีทูจีไม่ใช่เป็นการขายข้าวจากรัฐบาลผู้ขายให้รัฐบาลผู้ซื้อแบบเดียว แต่มีหลายแบบ เช่น มีการขายหน้าคลังสินค้า โดยผู้ซื้อต้องหาผู้ปรับปรุงคุณภาพ และส่งมอบเอง หรือการขายแบบ ณ ท่าเรือ (เอฟโอบี) คือ ผู้ขายจะจัดหาผู้ปรับปรุงและรับผิดชอบการจัดส่งให้ผู้ซื้อจนถึงท่าเรือ หรือการขายแบบซีไอเอฟ ที่ผู้ขายจะต้องรับผิดชอบข้าวจนถึงปลายทาง ส่วนระยะเวลาในการส่งมอบ ถ้าสั่งซื้อมาก 1-2 ล้านตัน ก็ต้องให้เวลาในการรับมอบข้าวนาน เช่น 5 ปี
”ผมมองว่า กระบวนการตรวจสอบของป.ป.ช.ขณะนี้ เป็นการแบไต๋มากเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ถูกสอบ เสียหายโดยที่ป.ป.ช.ยังไม่สรุปว่ามีความผิดจริง ดังนั้น ป.ป.ช.ควรสรุปให้เสร็จก่อน ไม่ใช่เปิดเผยเลย เพราะถ้าผู้ถูกสอบเป็นคนไม่สุจริตก็จะหาวิธีปกป้องตนเอง เพื่อให้รอดพ้นได้”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ได้แถลงความคืบหน้าการไต่สวนกรณีกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งเป็นรมว.พาณิชย์ทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวจีทูจี โดยได้ขยายการไต่สวนไปยังบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 5 กลุ่ม คือ ผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ได้แก่ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว และนายอัครพงษ์ ทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ รวมถึงนายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งเป็นรมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ผู้แทนเจรจาฝ่ายจีน กลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้แทนฝ่ายจีน และบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด
ทั้งนี้ เพราะจากการตรวจสอบหลักฐานเบื้องต้นสรุปได้ว่า การซื้อขายดังกล่าวไม่เป็นจีทูจี แต่เป็นการเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา ทำให้เกิดราคาต่ำกว่าท้องตลาดในช่วงเดือนส.ค.54- มิ.ย.56 เพราะมีการส่งออกข้าวไปจีนเพียง 375,000 ตัน จากปริมาณที่สัญญาจีทูจี 4.8 ล้านตัน ซึ่งมีหลักฐานยืนยันชัดเจนจากกรมศุลกากร โดยยังขาดหลักฐานสำคัญ คือ ใบขนย้ายข้าวออกจากโกดังของอคส. เพราะพบว่ามีการปล่อยให้ไปเอาข้าวจากคลังได้โดยไม่มีใบอนุญาต ดังนั้น ป.ป.ช. จึงได้ขอความร่วมมือขอเอกสารเพิ่มเติมจาก อคส.
ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาล มีการแถลงตัวเลขการระบายข้าวแบบจีทูจี ว่า อยู่ที่ 8.3 ล้านตัน เมื่อนำมาคูณกับต้นทุนค่าใช้จ่ายของรัฐบาลที่ 2.86 หมื่นบาทต่อตัน เท่ากับเป็นเงินถึง 237,030 ล้านบาท โดยรัฐบาลไม่ได้แยกแยะให้ชัดเจนว่ามีรายได้จากการระบายข้าวจากจีทูจี ที่อ้างถึงเป็นจำนวนเงินเท่าใด แต่มีมีการแถลงภาพรวมทั้งหมดจากการระบายข้าวได้แค่แสนสามหมื่นกว่าล้านเท่านั้น ส่วนที่หายไปแสนล้าน คือเงินที่รั่วไหลไปกับการทุจริตทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่รวมกับที่รัฐบาลต้องขาดทุนไปกับการระบายข้าวในวิธีการอื่น ไม่ว่าจะเป็น ข้าวถุง หรือการขายให้หน่วยงานรัฐในราคาถูก
นพ.วรงค์ ยังแจกแจงตัวเลขที่รัฐบาลเคยแถลงเกี่ยวกับการระบายข้าวแบบ จีทูจี ให้เห็นภาพชัดเจนว่า มีการจงใจทุจริต ดังนี้ คือมีการอ้างตัวเลขการระบายข้าวจีทูจีในปีที่ผ่านมาสูงถึง 4.8 ล้านตัน แต่ข้าวที่ส่งออกอย่างเป็นทางการมีแค่ 3.7 ล้านตัน แสดงให้เห็นว่าส่วนต่างที่หายไปเป็นเรื่องของการขายเวียนเทียยนขายภายในประเทศ และตัวเลขอย่างเป็นทางการของรัฐบาลได้อ้างตัวเลขการระบายข้าวแบบจีทูจี ณ เดือนกันยายนไว้ที่ 8.3 ล้านตัน จึงขอให้สื่อมวลชนได้คิดว่า จะมีการทุจริตมากแค่ไหน เมื่อเทียบกับการระบายข้าวในรูปแบบอื่น 7.24 แสนตัน โดยขายกับหน่วยงานราชการ 6.28 แสนตัน ซึ่งในนี้รวมถึงการทุจริตข้าวถุงด้วย แสดงว่า การทุจริตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีความต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ทำให้ไม่มีเงินเพียงพอมาจ่ายให้กับชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว
**ป.ป.ช.บุก อคส.ขอเอกสารขนย้ายข้าว
ด้านนายวิทยา อาคมพิทักษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) ว่า ป.ป.ช.มารับเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบการขายข้าวแบบจีทูจี ของกระทรวงพาณิชย์ ที่พรรคฝ่ายค้านร้องเรียน ป.ป.ช. ว่าอาจมีการทุจริตเกิดขึ้น โดยเอกสารที่มารับจาก อคส.เป็นใบขนย้ายข้าวในสต๊อกรัฐออกจากโกดังกลาง ซึ่งป.ป.ช.ได้ขอจาก อคส.มาแล้วกว่า 5 เดือน แต่ยังไม่ได้จัดส่งให้ โดยอ้างว่า กำลังรวบรวมเอกสารอยู่
ทั้งนี้ อคส.ระบุว่า การขายข้าวจีทูจีของรัฐบาลชุดนี้ให้กับรัฐวิสาหกิจจีน มีการขนข้าวออกจากโกดังทั่วประเทศ 180 ครั้ง ซึ่งป.ป.ช.ได้สุ่มตรวจใบขนย้ายจากโกดังทั่วประเทศ 34 แห่ง แต่ก่อนหน้านี้ อคส.ได้จัดส่งให้แล้ว 7 แห่ง และครั้งนี้ได้ส่งให้เพิ่มอีก 10 แห่ง รวม 17 แห่ง ส่วนทีเหลือคาดจะส่งให้ในเร็วๆ นี้
”การตรวจสอบใบขนย้าย เพื่อให้รู้เส้นทางของข้าว ที่กระทรวงพาณิชย์บอกว่าขายจีทูจีให้กับรัฐวิสากิจของจีนนั้น ขายให้จริงหรือไม่ ได้มีการขนข้าวออกจากโกดังเพื่อส่งออกให้จีนจริงหรือไม่ หรือมีการนำข้าวมาวนขายในประเทศหรือไม่ รวมทั้งให้รู้เส้นทางของเงินที่นำมาซื้อข้าวว่ามาจากไหน ซึ่งเมื่อได้เอกสารครบถ้วนแล้ว ต่อไปจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าของโกดังที่อคส.ขนข้าวออก หัวหน้าคลังสินค้าของอคส.ที่ดูแลโกดังนั้น เป็นต้น มาให้ปากคำ”
นายวิทยา กล่าวว่า การตรวจสอบคดีนี้จะสรุปผลได้เมื่อไร คงต้องขึ้นอยู่กับเอกสาร และพยานบุคคลที่ตรวจสอบเพิ่มเติม หากมีเอกสารและพยานเพียงพอ ก็จะชี้มูลได้ในเร็วๆ นี้ โดยหากตรวจสอบแล้วพบว่าเข้าข่ายมีการทุจริตจริง ป.ป.ช.จะแจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ หากเป็นข้าราชการประจำ จะแจ้งต้นสังกัดให้พิจารณาเอาผิดทางวินัย และฟ้องศาลฎีกาให้เอาผิดทางอาญาด้วย และหากเป็นข้าราชการการเมือง จะแจ้งความดำเนินคดีกับศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ด้านนายชนุตร์ปกรณ์ วงศ์สีนิล ผู้อำนวยการ อคส.กล่าวว่า ได้ชี้แจ้งป.ป.ช. ว่าพร้อมให้ความร่วมมือ และสั่งการให้รองผู้อำนวยการ อคส.และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจัดส่งเอกสารให้ป.ป.ช.ตามที่ได้ขอมา ส่วนที่ป.ป.ช.ระบุว่าได้ขอข้อมูลมาแล้ว 5 เดือนแต่อคส.ยังไม่ได้ส่งให้นั้น ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ตนเป็นผู้อำนวยการ เพราะตนเพิ่งรับตำแหน่งผู้อำนวยการอคส.ได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น อีกทั้งตนไม่ได้ดูแลสัญญาขายข้าวจีทูจีในล็อตดังกล่าว และที่ผ่านมา อคส. มุ่งทำตามนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ทำให้ต้องใช้บุคคลจำนวนมาก จึงอาจจัดส่งเอกสารให้ล่าช้า ส่วนการสอบสวนจะเป็นอย่างไร คงต้องรอป.ป.ช.
นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงการที่ ป.ป.ช.ระบุจะเรียกข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการขายข้าวจีทูจีให้กับรัฐวิสาหกิจไปสอบปากคำเพิ่มเติม และขอเอกสารที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมว่า กรมฯ ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่มาโดยตลอด ไม่ได้ปิดบังอยู่แล้ว ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ให้ความร่วมมือดีเช่นกัน ซึ่งมั่นใจว่า การขายข้าวจีทูจีให้กับจีนดำเนินการอย่างถูกต้อง โปร่งใส
**”ยรรยง”อัดป.ป.ช.แบไต๋มากไป
ขณะที่นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน และอคส.ให้ข้อมูลแก่ป.ป.ช.ตามที่ขอมา และต้องพยายามชี้แจงข้อเท็จจริงให้ป.ป.ช. และสาธารณชนเข้าใจ เพราะประเด็นที่มีการตรวจสอบเรื่องวิธีการขายข้าวจีทูจีนั้น มีหลายวิธี ต้องแยกแยะให้ถูกต้อง โดยการขายข้าวจีทูจีไม่ใช่เป็นการขายข้าวจากรัฐบาลผู้ขายให้รัฐบาลผู้ซื้อแบบเดียว แต่มีหลายแบบ เช่น มีการขายหน้าคลังสินค้า โดยผู้ซื้อต้องหาผู้ปรับปรุงคุณภาพ และส่งมอบเอง หรือการขายแบบ ณ ท่าเรือ (เอฟโอบี) คือ ผู้ขายจะจัดหาผู้ปรับปรุงและรับผิดชอบการจัดส่งให้ผู้ซื้อจนถึงท่าเรือ หรือการขายแบบซีไอเอฟ ที่ผู้ขายจะต้องรับผิดชอบข้าวจนถึงปลายทาง ส่วนระยะเวลาในการส่งมอบ ถ้าสั่งซื้อมาก 1-2 ล้านตัน ก็ต้องให้เวลาในการรับมอบข้าวนาน เช่น 5 ปี
”ผมมองว่า กระบวนการตรวจสอบของป.ป.ช.ขณะนี้ เป็นการแบไต๋มากเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ถูกสอบ เสียหายโดยที่ป.ป.ช.ยังไม่สรุปว่ามีความผิดจริง ดังนั้น ป.ป.ช.ควรสรุปให้เสร็จก่อน ไม่ใช่เปิดเผยเลย เพราะถ้าผู้ถูกสอบเป็นคนไม่สุจริตก็จะหาวิธีปกป้องตนเอง เพื่อให้รอดพ้นได้”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาสตราจารย์พิเศษวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ได้แถลงความคืบหน้าการไต่สวนกรณีกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งเป็นรมว.พาณิชย์ทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าวจีทูจี โดยได้ขยายการไต่สวนไปยังบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 5 กลุ่ม คือ ผู้แทนเจรจาฝ่ายไทย ได้แก่ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว และนายอัครพงษ์ ทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ รวมถึงนายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งเป็นรมช.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ผู้แทนเจรจาฝ่ายจีน กลุ่มบุคคลที่ได้รับมอบหมายจากผู้แทนฝ่ายจีน และบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด
ทั้งนี้ เพราะจากการตรวจสอบหลักฐานเบื้องต้นสรุปได้ว่า การซื้อขายดังกล่าวไม่เป็นจีทูจี แต่เป็นการเลี่ยงการแข่งขันด้านราคา ทำให้เกิดราคาต่ำกว่าท้องตลาดในช่วงเดือนส.ค.54- มิ.ย.56 เพราะมีการส่งออกข้าวไปจีนเพียง 375,000 ตัน จากปริมาณที่สัญญาจีทูจี 4.8 ล้านตัน ซึ่งมีหลักฐานยืนยันชัดเจนจากกรมศุลกากร โดยยังขาดหลักฐานสำคัญ คือ ใบขนย้ายข้าวออกจากโกดังของอคส. เพราะพบว่ามีการปล่อยให้ไปเอาข้าวจากคลังได้โดยไม่มีใบอนุญาต ดังนั้น ป.ป.ช. จึงได้ขอความร่วมมือขอเอกสารเพิ่มเติมจาก อคส.