ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลายเป็นประเด็นร้อนฉ่าขึ้นมาในฉับพลันทันที เมื่อปรากฏข่าว “บริษัท มูบาดาลา ปิโตรเลียม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในเครือ “มูบาดาลา กรุ๊ป” ที่เป็นหนึ่งในแขนขาด้านการลงทุนของรัฐอาบู ดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ยืนยันเมื่อวันอังคารที่ 14 มกราคม 2557 ว่าบริษัทของตนเองได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย
สิ่งที่มวลมหาประชาชนสงสัยก็คือว่า แหล่งน้ำมันนงเยาว์นั้นเป็นพื้นที่ สัมปทานของรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยใช่หรือไม่ และถ้าใช่ ทำไมการให้สัมปทานครั้งนี้ถึงไม่ปรากฏเป็นข่าวให้ได้รับทราบ รวมถึงคำถามสำคัญว่า การให้สัมปทานครั้งนี้กระทำในช่วงเวลาใด ยิ่งถ้าให้สัมปทานในขณะที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีสภาพเป็นรักษาการด้วยแล้ว ยิ่งต้องค้นหาความจริงถึงเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่มาที่ไปของการทำสัมปทานครั้งนี้
ทั้งนี้ เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มมูบาดาลานั้น มีความสัมพันธ์ในระดับที่ไม่ธรรมดากับ นักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร เพราะเขาคือซีอีโอของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
เป็นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่นักโทษชายหนีคดีทักษิณซื้อกิจการมาในราคา 5,000 ล้านบาท ก่อนที่จะขายให้กับกลุ่มมูบาดาลาในราคาประมาณ 10,000 ล้านบาท
คำแถลงของมูบาดาลา ปิโตรเลียม ซึ่งมีรัฐบาลอาบู ดาบีเป็นเจ้าของระบุว่า บริษัทของตนพร้อมด้วยบริษัทพลังงาน “คริสเอ็นเนอร์จี” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ มีแผนเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ที่อยู่กลางอ่าวไทย โดยคาดว่าแหล่งน้ำมันดังกล่าวมีศักยภาพรองรับการผลิตน้ำมันได้มากถึง 15,000 บาร์เรลต่อวัน
คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มมูบาดาลาด้วย ออกมายอมรับว่า การผลิตน้ำมันในเชิงพาณิชย์จากแหล่งนงเยาว์กลางอ่าวไทยนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2015 หรือไม่เกินครึ่งปีแรกของปีดังกล่าวเป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ซีอีโอของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี รายนี้ ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับมูลค่าของสัญญาสัมปทาน ที่ทางมูบาดาลา “จ่ายให้กับทางการไทย” เพื่อแลกกับการได้รับสิทธิ์เข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันดังกล่าวนอก ชายฝั่งปัตตานี
รายงานข่าวระบุว่า บริษัทมูบาดาลาแห่งยูเออีจะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ในสัดส่วนที่สูงถึง “ 75 เปอร์เซ็นต์” จากสัญญาสัมปทานการพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ในอ่าวไทย ขณะที่บริษัทคริส เอ็นเนอร์จีจากสิงคโปร์ที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนจะได้รับผลประโยชน์ 25 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า บริษัทมูบาดาลา ปิโตรเลียมซึ่งมีการลงทุนใน 12 ประเทศได้เข้ามาดำเนินธุรกิจด้านพลังงานในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2004 ถือเป็นผู้ได้รับสัมปทานปิโตรเลียม “รายใหญ่อันดับที่ 3” ในประเทศไทย
ขณะที่เมื่อย้อนกลับไปดูข้อมูล และคลิปการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของ นายสรรเสริญ สมะลาภา อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 ก็พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมาพบว่ามีความเชื่อมโยงอย่างมีนัยสำคัญ เริ่มตั้งแต่นายโมฮัมหมัด อัลฟาเอ็ด เจ้าของห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีความสนิมสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ก่อตั้งแฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี (ประเทศไทย) เพื่อรับสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน ก๊าซ ร่วมกับบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.เมื่อปี 2541 ต่อมาในปี 2547 บริษัท เพิร์ล เอ็นเนอร์ยี่ ซื้อกิจการ แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี และเปลี่ยนชื่อเป็นเพิร์ลออย (ประเทศไทย) จากนั้นในปี 2551 บริษัทลงทุนของรัฐบาลอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ชื่อ มูบาดาลา เข้ามาซื้อกิจการของบริษัท เพิร์ลเอ็นเนอร์ยี่ ซึ่งในปีเดียวกันนั้น พล.อ.เตีย บัญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะลงทุนในธุรกิจพลังงาน และพบอีกว่าบริษัท เพิร์ลออย (ประเทศไทย) ได้ย้ายสำนักงานจากไทยพาณิชย์ปาร์ค พลาซา ไปอยู่อาคารชินวัตร 3
ส.ส.กทม.อภิปรายว่า บริษัท มูบาดาลา มีผู้บริหารระดับสูงชื่อ ชีค โมฮัมหมัด บินซาเยด อัล นาร์ยาน และเป็นพี่ชายของ ชีค มานซูร์ บิน ซาเยด อัลนาห์ยาน ที่เข้าซื้อกิจการสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ซิตี จาก พ.ต.ท.ทักษิณ ในราคาประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ซื้อกิจการมาในราคาเพียง 5 พันล้านบาทเท่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มีต่อกลุ่มธุรกิจพลังงาน
ขณะที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ กับ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน ก็ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ แต่การที่ คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของกลุ่มมูบาดาลาออกมายืนยันล่าสุดว่าบริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทยคือใบเสร็จที่เป็นหลักฐานยืนยันความเกี่ยวข้องกันอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2555 นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะคณะกรรมการปิโตรเลียมในเวลานั้น ได้ออกมาเปิดเผยว่า คณะกรรมการปิโตรเลียมได้มีการอนุมัติพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมแหล่งนงเยาว์ ตามข้อเสนอของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งได้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินศักยภาพของแหล่ง โดยมีการศึกษาทั้งทางด้านธรณีวิทยา ธรณีฟิสิกส์ ข้อมูลหลุมเจาะปิโตรเลียม และปริมาณสำรอง รวมถึงการวิเคราะห์แผนการผลิตและเศรษฐกิจปิโตรเลียม โดยคาดว่าจะมีการพัฒนาเป็นแหล่งปิโตรเลียมเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
แหล่งนงเยาว์ ของบริษัท เพิร์ล ออยล์ บางกอก จำกัด อยู่ในแปลงสำรวจ G11/48 ในอ่าวไทยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการปิโตรเลียมอนุมัติให้เป็นพื้นที่ผลิตปิโตรเลียมรวม 23.18 ตารางกิโลเมตร คาดว่ามีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 12.3 ล้านบาร์เรล เริ่มผลิตในปี 2557 โดยมีอัตราผลิตน้ำมันดิบสูงสุดประมาณ 6,400 บาร์เรลต่อวัน บริษัทมีการลงทุนเป็นเงินประมาณ 18,370 ล้านบาท รัฐได้รับผลประโยชน์ประมาณ 8,463 ล้านบาท บริษัทจะได้รับผลตอบแทนหลังหักเงินลงทุนประมาณ 5,673 ล้านบาท
นอกจากนี้ รายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์สซึ่งมีการเผยแพร่ไปทั่วโลกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ระบุว่า บริษัท “คริสเอ็นเนอร์จี ลิมิเต็ด” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ และดำเนินธุรกิจทางด้านพลังงาน ประสบภาวะขาดทุนสุทธิกว่า 13.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 447 ล้านบาท) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา และส่อเค้าขาดทุนซ้ำอีกในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการเงินต่อสาธารณชน
รอยเตอร์สอ้างคำแถลงของคริส เอ็นเนอร์จีที่ออกมายอมรับต่อบรรดานักลงทุนว่า รายได้ของบริษัทเมื่อนับถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 หรือวันที่ 30 กันยายนปีที่ผ่านมา ปรับตัว “ลดลงถึง 37.1 เปอร์เซ็นต์”
ผลประกอบล่าสุดของคริสเอ็นเนอร์จีที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชนตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์สบ่งชี้ว่า บริษัทพลังงานสัญชาติสิงคโปร์แห่งนี้กำลังประสบปัญหาทางการเงิน สวนทางกับทิศทางของบริษัทเมื่อปี 2012 ที่สามารถฟันกำไรสุทธิ จากการเข้ามาสำรวจและผลิตน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติในหลายประเทศแถบ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ได้ราว 681,000 ดอลลาร์ (ราว 22 ล้านบาท)
ในรายงานของรอยเตอร์สระบุชัดเจนว่า บริษัทคริสเอ็นเนอร์จีมีบริษัท “เทมาเส็ก โฮลดิงส์” ซึ่งเป็น “แขนขาด้านการลงทุน” ของรัฐบาลสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 (second-largest shareholder) โดยรอยเตอร์ระบุ เทมาเส็ก ถือหุ้นในบริษัทคริสเอ็นเนอร์จีในสัดส่วนที่สูงถึง 31.4 เปอร์เซ็นต์
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมกราคมปี 2006 กลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิงส์ ซึ่งมีซีอีโอคือ “มาดาม โฮ ชิง” ภริยาของนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุงแห่งสิงคโปร์ ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปจากครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 49.6 เปอร์เซ็นต์ ผ่านตัวแทนที่เป็น “นอมินี” 2 แห่ง คือ บริษัทแอสเพน โฮลดิงส์ และ ซีดาร์ โฮลดิงส์ โดยการซื้อขายหุ้นครั้งนั้นส่งผลให้ครอบครัวชินวัตรได้รับเงินมากกว่า 1,880 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 61,830 ล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน
ในอีกด้านหนึ่ง สื่อดังแห่งแวดวงอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อย่าง “Oil & Gas Financial Journal” ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองทุลซา มลรัฐโอคลาโฮมาของสหรัฐฯ รายงานในวันพุธ (15 ม.ค.)โดยอ้างคริส กิ๊บสัน-โรบินสัน ผู้อำนวยการสายงานสำรวจและผลิตของบริษัทคริสเอ็นเนอร์จี ที่ระบุว่า ทางบริษัทคาดว่า จะสามารถผลิตน้ำมันจากแหล่ง “นงเยาว์” ที่อยู่ในอ่าวไทย บริเวณนอกชายฝั่ง “จังหวัดปัตตานี” ได้มากกว่า 15,000 บาร์เรลต่อวัน
โดยรายงานล่าสุดของ Oil & Gas Financial Journal สื่อดังจากสหรัฐฯยังระบุด้วยว่า ผู้อำนวยการสายงานสำรวจและผลิตของบริษัทคริสเอ็นเนอร์จีรายนี้ ออกมายอมรับว่า แหล่งน้ำมันนงเยาว์ เป็นหนึ่งในจำนวนแหล่งพลังงานทั้งหมด “6 แหล่ง” ที่อยู่ใต้การดูแลของบริษัท แต่ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่า แหล่งน้ำมันอีก 5 แห่งของคริสเอ็นเนอร์จีอยู่ในประเทศไทยอีกหรือไม่
ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่บริษัท “มูบาดาลา ปิโตรเลียม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในเครือ “มูบาดาลา กรุ๊ป” ที่เป็นหนึ่งในแขนขาด้านการลงทุนของรัฐอาบู ดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ยืนยันในวันอังคารที่ 14 มกราคม 2557 ว่าบริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย
นี่คือใบเสร็จหรือหลักฐานสำคัญที่ทำให้เห็นว่า การปฏิรูปพลังงานคือเรื่องใหญ่ไม่แพ้การปฏิรูปอื่นๆ ซึ่งกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการประชาชาเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) จะต้องประกาศชูธงเป็นเรื่องใหญ่ในการปฏิรูปประเทศ เพราะนี่คือหัวใจสำคัญของระบอบทักษิณ
และถ้าประชาชนไม่เข้าใจ ไม่ฉวยจังหวะที่ประชาชนตื่นรู้ โอกาสที่จะมี “การสวมตอ” โดยนักการเมืองชั่วย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ