สื่อต่างประเทศ แฉบริษัทพลังงาน “คริสเอ็นเนอร์จี” จากสิงคโปร์ ที่มีเอี่ยวในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ในอ่าวไทยร่วมกับนักลงทุนจากอาบูดาบี กำลังประสบปัญหาทางการเงิน พร้อมเผยข้อมูลลับที่ระบุว่าแท้จริงแล้วบริษัทพลังงานแห่งนี้มีกลุ่ม “เทมาเส็ก โฮลดิงส์” เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับ 2
รายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งมีการเผยแพร่ไปทั่วโลกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ระบุว่า บริษัท “คริสเอ็นเนอร์จี ลิมิเต็ด” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ และดำเนินธุรกิจทางด้านพลังงาน ประสบภาวะขาดทุนสุทธิกว่า 13.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 447 ล้านบาท) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา และส่อเค้าขาดทุนซ้ำอีกในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการเงินต่อสาธารณชน
รอยเตอร์อ้างคำแถลงของคริส เอ็นเนอร์จี ที่ออกมายอมรับต่อบรรดานักลงทุนว่า รายได้ของบริษัทเมื่อนับถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 หรือวันที่ 30 กันยายนปีที่ผ่านมา ปรับตัว “ลดลงถึง 37.1 เปอร์เซ็นต์”
ผลประกอบล่าสุดของคริสเอ็นเนอร์จี ที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชนตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์บ่งชี้ว่า บริษัทพลังงานสัญชาติสิงคโปร์แห่งนี้กำลังประสบปัญหาทางการเงิน สวนทางกับทิศทางของบริษัทเมื่อปี 2012 ที่สามารถฟันกำไรสุทธิ จากการเข้ามาสำรวจและผลิตน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติในหลายประเทศแถบ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ได้ราว 681,000 ดอลลาร์ (ราว 22 ล้านบาท)
ในรายงานของรอยเตอร์สระบุชัดเจนว่า บริษัท คริสเอ็นเนอร์จี มีบริษัท “เทมาเส็ก โฮลดิงส์” ซึ่งเป็น “แขนขาด้านการลงทุน” ของรัฐบาลสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 (second-largest shareholder) โดยรอยเตอร์ระบุว่า เทมาเส็กถือหุ้นในบริษัทคริสเอ็นเนอร์จีในสัดส่วนที่สูงถึง 31.4 เปอร์เซ็นต์
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมกราคมปี 2006 กลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิงส์ ซึ่งมีซีอีโอ คือ “มาดามโฮ ชิง” ภริยาของนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุงแห่งสิงคโปร์ ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป จากครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 49.6 เปอร์เซ็นต์ ผ่านตัวแทนที่เป็น “นอมินี” 2 แห่ง คือ บริษัท แอสเพน โฮลดิงส์ และซีดาร์ โฮลดิงส์ โดยการซื้อขายหุ้นครั้งนั้นส่งผลให้ครอบครัวชินวัตรได้รับเงินมากกว่า 1,880 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 61,830 ล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน
ในอีกด้านหนึ่ง สื่อดังแห่งแวดวงอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่าง “Oil & Gas Financial Journal” ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองทุลซา มลรัฐโอกลาโฮมาของสหรัฐฯ รายงานในวันพุธ (15 ม.ค.) โดยอ้างคริส กิ๊บสัน-โรบินสัน ผู้อำนวยการสายงานสำรวจและผลิตของบริษัท คริสเอ็นเนอร์จี ที่ระบุว่าทางบริษัทคาดว่าจะสามารถผลิตน้ำมันจากแหล่ง “นงเยาว์” ที่อยู่ในอ่าวไทย บริเวณนอกชายฝั่ง จังหวัดปัตตานีได้มากกว่า 15,000 บาร์เรลต่อวัน
รายงานล่าสุดของ Oil & Gas Financial Journal สื่อดังจากสหรัฐฯ ยังระบุว่า ผู้อำนวยการสายงานสำรวจและผลิตของบริษัทคริสเอ็นเนอร์จีรายนี้ ออกมายอมรับว่าแหล่งน้ำมันนงเยาว์ เป็นหนึ่งในจำนวนแหล่งพลังงานทั้งหมด 6 แหล่ง ที่อยู่ใต้การดูแลของบริษัทฯ แต่ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าแหล่งน้ำมันอีก 5 แห่งของคริสเอ็นเนอร์จีอยู่ในประเทศไทยอีกหรือไม่
ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่บริษัท “มูบาดาลา ปิโตรเลียม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในเครือ “มูบาดาลา กรุ๊ป” ที่เป็นหนึ่งในแขนขาด้านการลงทุนของรัฐอาบูดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ยืนยันในวันอังคาร (14) ว่าบริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย
โดยคำแถลงของมูบาดาลา ปิโตรเลียม ซึ่งมีรัฐบาลอาบูดาบีเป็นเจ้าของ ระบุว่า บริษัทของตนพร้อมด้วยบริษัทพลังงาน “คริสเอ็นเนอร์จี” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ มีแผนเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ที่อยู่กลางอ่าวไทย โดยคาดว่าแหล่งน้ำมันดังกล่าวมีศักยภาพรองรับการผลิตน้ำมันได้มากถึง 15,000 บาร์เรลต่อวัน และจะมีการแบ่งผลประโยชน์กันในสัดส่วน 75:25 (มูบาดาลา ปิโตรเลียมจะครอบครองผลประโยชน์ 75% จากแหล่งน้ำมันนงเยาว์ของไทย ส่วนคริสเอ็นเนอร์จีจะได้ผลประโยชน์อีก 25% ที่เหลือ)
ด้าน คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มมูบาดาลาด้วย ออกมายอมรับว่าการผลิตน้ำมันในเชิงพาณิชย์จากแหล่งนงเยาว์กลางอ่าวไทยนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2015 หรือไม่เกินครึ่งปีแรกของปีดังกล่าวเป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ซีอีโอของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี รายนี้ ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับมูลค่าของสัญญาสัมปทานที่ทางมูบาดาลา “จ่ายให้กับทางการไทย” เพื่อแลกกับการได้รับสิทธิ์เข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันดังกล่าวนอกชายฝั่งปัตตานี
รายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ซึ่งมีการเผยแพร่ไปทั่วโลกเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายนปีที่แล้ว ระบุว่า บริษัท “คริสเอ็นเนอร์จี ลิมิเต็ด” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ และดำเนินธุรกิจทางด้านพลังงาน ประสบภาวะขาดทุนสุทธิกว่า 13.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 447 ล้านบาท) ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีที่ผ่านมา และส่อเค้าขาดทุนซ้ำอีกในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการเงินต่อสาธารณชน
รอยเตอร์อ้างคำแถลงของคริส เอ็นเนอร์จี ที่ออกมายอมรับต่อบรรดานักลงทุนว่า รายได้ของบริษัทเมื่อนับถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 หรือวันที่ 30 กันยายนปีที่ผ่านมา ปรับตัว “ลดลงถึง 37.1 เปอร์เซ็นต์”
ผลประกอบล่าสุดของคริสเอ็นเนอร์จี ที่มีการเผยแพร่ต่อสาธารณชนตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์บ่งชี้ว่า บริษัทพลังงานสัญชาติสิงคโปร์แห่งนี้กำลังประสบปัญหาทางการเงิน สวนทางกับทิศทางของบริษัทเมื่อปี 2012 ที่สามารถฟันกำไรสุทธิ จากการเข้ามาสำรวจและผลิตน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติในหลายประเทศแถบ “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ได้ราว 681,000 ดอลลาร์ (ราว 22 ล้านบาท)
ในรายงานของรอยเตอร์สระบุชัดเจนว่า บริษัท คริสเอ็นเนอร์จี มีบริษัท “เทมาเส็ก โฮลดิงส์” ซึ่งเป็น “แขนขาด้านการลงทุน” ของรัฐบาลสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 (second-largest shareholder) โดยรอยเตอร์ระบุว่า เทมาเส็กถือหุ้นในบริษัทคริสเอ็นเนอร์จีในสัดส่วนที่สูงถึง 31.4 เปอร์เซ็นต์
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมกราคมปี 2006 กลุ่มเทมาเส็ก โฮลดิงส์ ซึ่งมีซีอีโอ คือ “มาดามโฮ ชิง” ภริยาของนายกรัฐมนตรีลี เซียนลุงแห่งสิงคโปร์ ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป จากครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 49.6 เปอร์เซ็นต์ ผ่านตัวแทนที่เป็น “นอมินี” 2 แห่ง คือ บริษัท แอสเพน โฮลดิงส์ และซีดาร์ โฮลดิงส์ โดยการซื้อขายหุ้นครั้งนั้นส่งผลให้ครอบครัวชินวัตรได้รับเงินมากกว่า 1,880 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 61,830 ล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน
ในอีกด้านหนึ่ง สื่อดังแห่งแวดวงอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอย่าง “Oil & Gas Financial Journal” ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองทุลซา มลรัฐโอกลาโฮมาของสหรัฐฯ รายงานในวันพุธ (15 ม.ค.) โดยอ้างคริส กิ๊บสัน-โรบินสัน ผู้อำนวยการสายงานสำรวจและผลิตของบริษัท คริสเอ็นเนอร์จี ที่ระบุว่าทางบริษัทคาดว่าจะสามารถผลิตน้ำมันจากแหล่ง “นงเยาว์” ที่อยู่ในอ่าวไทย บริเวณนอกชายฝั่ง จังหวัดปัตตานีได้มากกว่า 15,000 บาร์เรลต่อวัน
รายงานล่าสุดของ Oil & Gas Financial Journal สื่อดังจากสหรัฐฯ ยังระบุว่า ผู้อำนวยการสายงานสำรวจและผลิตของบริษัทคริสเอ็นเนอร์จีรายนี้ ออกมายอมรับว่าแหล่งน้ำมันนงเยาว์ เป็นหนึ่งในจำนวนแหล่งพลังงานทั้งหมด 6 แหล่ง ที่อยู่ใต้การดูแลของบริษัทฯ แต่ไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าแหล่งน้ำมันอีก 5 แห่งของคริสเอ็นเนอร์จีอยู่ในประเทศไทยอีกหรือไม่
ความเคลื่อนไหวล่าสุดมีขึ้นเพียง 1 วัน หลังจากที่บริษัท “มูบาดาลา ปิโตรเลียม” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานในเครือ “มูบาดาลา กรุ๊ป” ที่เป็นหนึ่งในแขนขาด้านการลงทุนของรัฐอาบูดาบี ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ยืนยันในวันอังคาร (14) ว่าบริษัทของตนได้รับไฟเขียวให้เข้าทำสัญญาพัฒนาแหล่งน้ำมัน “นงเยาว์” ที่ตั้งอยู่ในอ่าวไทย
โดยคำแถลงของมูบาดาลา ปิโตรเลียม ซึ่งมีรัฐบาลอาบูดาบีเป็นเจ้าของ ระบุว่า บริษัทของตนพร้อมด้วยบริษัทพลังงาน “คริสเอ็นเนอร์จี” ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ มีแผนเข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันนงเยาว์ที่อยู่กลางอ่าวไทย โดยคาดว่าแหล่งน้ำมันดังกล่าวมีศักยภาพรองรับการผลิตน้ำมันได้มากถึง 15,000 บาร์เรลต่อวัน และจะมีการแบ่งผลประโยชน์กันในสัดส่วน 75:25 (มูบาดาลา ปิโตรเลียมจะครอบครองผลประโยชน์ 75% จากแหล่งน้ำมันนงเยาว์ของไทย ส่วนคริสเอ็นเนอร์จีจะได้ผลประโยชน์อีก 25% ที่เหลือ)
ด้าน คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ซีอีโอของสโมสรฟุตบอล “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ในศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งควบตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มมูบาดาลาด้วย ออกมายอมรับว่าการผลิตน้ำมันในเชิงพาณิชย์จากแหล่งนงเยาว์กลางอ่าวไทยนี้ คาดว่าจะสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2015 หรือไม่เกินครึ่งปีแรกของปีดังกล่าวเป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี ซีอีโอของทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี รายนี้ ปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับมูลค่าของสัญญาสัมปทานที่ทางมูบาดาลา “จ่ายให้กับทางการไทย” เพื่อแลกกับการได้รับสิทธิ์เข้าพัฒนาแหล่งน้ำมันดังกล่าวนอกชายฝั่งปัตตานี