xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ปู” เป็นโรค “ภูมิแพ้กรุงเทพฯ” ใช้ “ธงธง”- “อ้ายปึ้ง”ซื้อเวลารักษาอำนาจ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ด้วยความที่ยังกระสันอยากอยู่ในตำแหน่ง “รักษาการนายกรัฐมนตรี” แต่ไม่อาจด้านหน้าเดินเฉิดฉายไปมาอยู่ในเมืองหลวงของประเทศไทยได้เพราะกลัวพิษภัยของ “นกหวีด” วันนี้ จึงเป็นที่มาของการที่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ลี้ภัยทางการเมืองด้วย “โรคภูมิแพ้กรุงเทพฯ” ไปเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีหารักแท้ในคืนหลอกลวงอยู่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในถิ่นที่คนเสื้อแดงหนาแน่น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ตลกเป็นอย่างมาก

อาทิตย์ที่แล้วตีกรรเชียงไปภาคเหนือ

อาทิตย์นี้ระเห็จขึ้นไปอยู่ภาคอีสาน

ชนิดที่เรียกว่า คิวแน่นเอียดไม่เว้นแต่ละวัน เพื่อรอเวลาว่า เมื่อไหร่จะถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 อันเป็นวันเลือกตั้ง เพื่อที่จะได้กลับมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีด้วยความภาคภูมิใจอีกครั้งตามคำสั่งของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชาย รวมทั้งสร้างภาพออกสื่อว่า เธอยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีคนรัก มีคนชื่นชอบเป็นจำนวนมาก โดยพยายามลืมความเป็นจริงอันเป็นสัจธรรมว่า รัฐบาลของตนเองหมดความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจ เป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวและไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนในทุกตารางนิ้วของประเทศไทยได้

แต่เธอก็มิได้สนใจใยดีอะไร เพราะกิจกรรมตะลอนทัวร์ดังกล่าวทำให้เธอได้ไปอยู่ในที่ชอบๆ เสียแล้ว

“ดิฉันมีหน้าที่ต้องปฏิบัติในฐานะนายกรัฐมนตรีจนกว่าจะมีคนใหม่ ถ้าดิฉันลาออกดิฉันก็จะเจอกฎหมายในเรื่องของการละเลย หรือละเว้นไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องเรียนขอความ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานกฤษฎีกาการเลือกตั้งมาแล้ว ซึ่งตรงนั้นเป็นหน้าที่ของทุกคน โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องปฏิบัติตามให้การเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. ซึ่งมันไม่มีกฎหมายไหนที่จะมีการเลื่อนได้ค่ะ”

นี่คือคำตอบของนางสาวยิ่งลักษณ์ทุกครั้งที่ถูกสื่อทั้งไทยและต่างประเทศถามตามโปรแกรมที่ถูกกำหนดไว้

18 ธันวาคม 2556 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งปฏิบัติภารกิจอยู่ที่พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ย้ำความดื้อด้านของตัวเองอีกครั้งว่า “ตามที่ได้กล่าวไว้ว่า ดิฉันจะต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าการเลือกตั้งจะเสร็จสิ้นและมีนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่มาปฏิบัติหน้าที่ต่อนั้น ดิฉันขอชี้แจงเหตุผลอีกครั้งดังนี้

1. การปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้องยึดหลักความรับผิดชอบร่วมกันในการบริหารราชการแผ่นดิน และเมื่อมีพระราชกฤษฏีกายุบสภา ความรับผิดชอบของคณะรัฐมนตรี ที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ยังมีต่อไปจนกว่า ครม.ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อให้มีความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดินอันเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 171 และ 181

2. การที่ดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ขอพระราชทานพระบรมราชวินิฉัยการยุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาแล้ว ดิฉันถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการนั้นอย่างสุดความสามารถ คือการให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการการเลือกตั้งในการจัดการเลือกตั้งตามกำหนดเวลาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 อย่างโปร่งใส สุจริต เป็นธรรม และเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยที่สุด

3. การที่ดิฉันกล่าวเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าดิฉันจะไม่ยอมลาออกหรือยึดติดกับตำแหน่ง ดิฉันยินดีรับฟังเสียงของประชาชนทั้งเสียงส่วนใหญ่และเสียงส่วนน้อย แต่ทั้งหมดต้องเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และอยู่ภายใต้หลักนิติรัฐ

นี่คือประจักษ์พยานยืนยันว่า หัวเด็ดตีนขาดนางสาวยิ่งลักษณ์ คนสวยของคนเสื้อแดงก็ไม่มีวันลาออกจากรักษาการนายกรัฐมนตรี

ที่สำคัญคือ แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยยืนยันชัดเจนว่า ในการเลือกตั้งครั้งใหม่ นางสาวยิ่งลักษณ์จะยังคงเป็นปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ของพรรคเพื่อไทย หรือหมายความว่า เธอยังอยากเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

แต่อาจมีการแก้เกมเพื่อลดกระแสความเกลียดชังลงบ้างเล็กน้อยด้วยการตัดสินใจเว้นวรรคการเมืองของ “เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็มิได้เกิดประโยชน์อะไร เพราะไม่ว่าจะอยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลัง เจ๊แดงก็คือเจ๊แดงผู้มากบารมีอย่างไม่เสื่อมคลาย

บร๊ะเจ้า.....

กระนั้นก็ดี นอกจากความเคลื่อนไหวของตัวนางสาวยิ่งลักษณ์แล้ว สิ่งที่ต้องจับตาก็คือ การแก้เกมทางการเมืองของระบอบทักษิณที่สามารถใช้คำว่าเข้มข้นและเป็นมวยไม่แพ้กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ และพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน ด้วยการใช้ข้าทาสบริวารของระบอบทักษิณสร้างภาพเรื่องการปฏิรูปประเทศและการเลือกตั้งตีคู่ไปกับความเคลื่อนไหวของกำนันสุเทพที่ชูธงปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

และหนึ่งในกลเกมที่เป็นตัวอย่างชัดเจนก็คือ การสั่งการให้ “ธงธง” นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งเวทีปาหี่ปฎิรูปการเมืองที่มีชื่อว่า 'ประเทศไทยของเราจะไปทางไหน' โดยเชิญผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาเข้าร่วมเพื่อซื้อเวลา ซึ่งบทสรุปอันเป็นสาระสำคัญของเวทีดังกล่าวก็คือ การยืนยันว่าจะต้องมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ด้วยเหตุผลที่สุดแสนคลาสสิกว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดตามการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข รวมทั้งการสั่งให้ทายาทคนล่าสุด พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม ออกมาส่งสัญญาณว่า กองทัพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐบาล

“เรายินดีรับฟัง และขอให้เป็นเวทีกลางของทุกคน ขอให้ทุกๆ ภาคส่วน ภาคประชาชน เอกชน ภาครัฐ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาร่วมกัน เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง และเฉพาะพี่น้องประชาชนที่อยู่ต่างจังหวัดก็คงอยากรับฟังปัญหาต่างๆ และอยากเข้ามามีส่วนร่วมด้วยเช่นเดียวกัน”นางสาวยิ่งลักษณ์บอกผ่านสื่อขณะที่นั่งรถไฟจากสุรินทร์ไปจังหวัด ศรีสะเกษในวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา

ขณะที่ในอีกทางหนึ่งก็มอบหมายให้ “อ้ายปึ้ง” นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ใช้ยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ด้วยการออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยอ้างว่า ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม จนถึงวันนี้มีประเทศต่างๆ ออกแถลงการณ์สนับสนุนให้ไทยดำเนินการภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญและกระบวนการทางประชาธิปไตยรวม 50 ประเทศ

“50 ประเทศได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนไทยและเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นในสังคมโลก นานาประเทศไม่ต้องการเห็นไทย ก้าวออกไปนอกลู่นอกทาง จะเห็นได้ว่าเพียง 1 สัปดาห์นับตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค.มี 50 ประเทศออกแถลงการณ์ห่วงใยในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย”นายสุรพงษ์แจกแจง

กระนั้นก็ดี ต้องบอกว่า ทั้งสองยุทธวิธีคือลมหายใจเฮือกสุดท้ายของนช.ทักษิณในเวลานี้ เพราะไม่มีทางเลือกอื่นใดที่ดีกว่านี้นอกจากให้นางสาวยิ่งลักษณ์เดินสายทัวร์ต่างจังหวัดเพื่อเรียกคะแนนเสียงเลือกตั้ง

แต่หากถามว่าได้ผลหรือไม่

ตอบได้ทันทีว่า ได้ผล เพราะกระทั่งจนถึงทุกวันนี้ กำนันสุเทพก็ยังไม่สามารถทำให้เธอลงจากเก้าอี้รักษาการนายกรัฐมนตรีได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงควรจะเบ็ดเสร็จและจบสิ้นไปแล้วนับตั้งแต่มวลมหาประชาชนออกมาเต็มท้องถนนหลายล้านคนเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้พรรคเพื่อไทยจะมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งเต็มตัว โดยเสนอตัวนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ แต่เชื่อว่า ศึกครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย มิต้องมองท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไร ยิ่งถ้าตัดสินใจไม่ลงรับสมัครเลือกตั้งด้วยแล้ว ยิ่งสาหัส เอาแค่ศึกภายในพรรคเพื่อไทยเองเที่ยวนี้ก็หืดขึ้นคอ กว่าทุกครั้ง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคัดเลือกตัวผู้สมัครลงในระบบบัญชีรายชื่อหรือระบบเขตก็มีปัญหาเป็นกระบุงโกยรอให้สะสางอยู่เบื้องหน้า เพราะต้องยอมรับว่า เที่ยวนี้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทยไม่มีวันที่จะได้มากเท่าเดิม ซึ่งหมายความว่า จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ก็จะหดหายลงไปอีก ขณะที่ ส.ส.ระบบเขตก็ต้องยื้อยุดฉุดกระชากกันวุ่นวาย เนื่องจากมีตัวแปรเรื่องสมาชิกบ้านเลขที่ 111 และบ้านเลขที่ 109 เข้ามาเป็นปัจจัยเบียดแทรกให้นายใหญ่ต้องปวดหัว

แปลไทยเป็นไทยก็คือ งานนี้ต้องมีคนผิดหวังอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ใครๆ ก็อยากเป็นใหญ่

ใครๆ ก็อยากเป็น ส.ส.



กำลังโหลดความคิดเห็น