ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
หลังจากระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ประสบความเพลี่ยงพล้ำต่อพลังของมหาพลเมืองไทยผู้ตื่นรู้และมีสำนึกทางการเมือง จนต้องแก้เกมด้วยการประกาศยุบสภาเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2556 และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 รัฐบาลก็ได้ใช้กลไกของข้าราชการ นักวิชาการ และสื่อมวลชนที่สนับสนุนระบอบทักษิณออกมาทำลายความน่าเชื่อถือการต่อสู้ของภาคประชาชนในหลายด้านหลายมิติ
การสร้างมายาคติด้วยการนำหลักการประชาธิปไตยแบบผิวเผิน ตื้นเขิน บิดเบือนและผิดพลาดออกมาโฆษณาชวนเชื่อชี้นำความคิด เพื่อให้ประชาชนวางเฉยและละทิ้งการปฏิรูปประเทศ และหันกลับไปยอมรับการเลือกตั้งที่ฉ้อฉลภายใต้การควบคุมบงการของระบอบทักษิณถูกกระทำอย่างเป็นระบบและมีขบวนการที่ใหญ่โตรองรับ หากเครือข่ายระบอบทักษิณทำสำเร็จ พวกเขาก็จะสามารถรักษาอำนาจสืบต่อไปได้อย่างยาวนาน ประเทศไทยก็จะตกอยู่ในความมืดมิดแบบอนันตกาล
สิ่งที่เติมพลังเชื้อเพลิงให้ระบอบทักษิณสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้คือ การที่มีนักวิชาการจำนวนหนึ่งกระทำตนเป็นเครื่องมือกลไกของระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์โดยการทำให้ความชั่วร้ายของระบอบทักษิณกลายเป็นเรื่องธรรมดา ในจำนวนนี้คนที่โดดเด่นมากคือ นิธิ เอียวศรีวงศ์ซึ่งเป็นนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ระดับศาสตราจารย์
สิ่งที่น่าสนใจคือในอดีตไม่นานมานี้นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์เคยวิพากษ์อันตรายของ “วัฒนธรรมของคนแบบทักษิณ” ไว้อย่างชัดเจน แต่ทว่าปัจจุบันเขากลับเปลี่ยนความคิดถึงร้อยแปดสิบองศาโดยหันไปชื่นชมเชิดชู ยกยอ นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตรว่ามีความเป็นรัฐบุรุษ และกำหนดตำแหน่งตนเองโดยยึดเหนี่ยวผูกโยงกับระบอบทักษิณเสื้อแดงอย่างออกหน้าออกตา
นิธิ เอียวศรีวงศ์ วิเคราะห์การต่อสู้ของภาคประชาชนในครั้งนี้อย่างตื้นเขินและบิดเบือนว่า เป็นการต่อสู้ของชนชั้นกลางเพื่อต่อต้านคนจน การวิเคราะห์เยี่ยงนี้เป็นความผิดพลาดอย่างรุนแรงที่เกิดจากอคติและความเกลียดชังอย่างแรงกล้า บวกกับการไม่เข้าไปสัมผัสความเป็นจริงของการชุมนุมของนิธิ เอง
จากการที่ติดตามและสัมผัสกับการชุมนุมอย่างใกล้ชิด ความเป็นจริงที่ผมสรุปได้ย่อมแตกต่างจากนิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่อยู่ห่างไกลข้อเท็จจริง ความจริงที่เห็นได้ชัดเจนคือองค์ประกอบผู้ร่วมชุมนุมมีความหลากหลายมาก มีทุกอาชีพ ทุกชนชั้น ทุกเพศ และทุกวัยอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การชุมนุมทางเมืองของไทย ตัวอย่างกลุ่มผู้ชุมนุม เช่น กลุ่มหมอ พยาบาล อาจารย์มหาวิทยาลัย ข้าราชการเกษียณ นักธุรกิจ นักศึกษา พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานบริษัทเอกชน ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร แม่บ้าน และนักเรียนอาชีวะและมัธยม เป็นต้น
ประชาชนที่มาชุมนุมไม่ได้ต่อต้านคนจนดังที่นิธิ เอียวศรีวงศ์บิดเบือน แต่พวกเขาต่อต้านมหาเศรษฐีที่ฉ้อฉลคดโกงอย่างทักษิณ พวกเขาต่อต้านรัฐบาลที่ทุจริต ลุแก่อำนาจ และไร้ฝีมือบริหารประเทศอย่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พวกเขาต่อต้านระบอบทรราชเสียงข้างมากที่ทำลายหลักนิติธรรม ทำลายหลักการตรวจสอบและถ่วงดุล ทำลายเสรีภาพในการแสดงความคิดของฝ่ายค้าน และละเมิดรัฐธรรมนูญ และพวกเขาต่อต้านประพฤติตัวเยี่ยงทาสและข้ารับใช้ตระกูลชินวัตรของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย และสมาชิกวุฒิสภา
แต่สิ่งเหล่านี้นิธี เอียวศรีวงศ์คงจะมองไม่เห็น และไม่มีวันเข้าใจได้ เพราะถูกม่านแห่งอคติบดบังการรับรู้ไปจนหมดสิ้น
นอกจากนั้นนิธิ เอียวศรีวงศ์ยังระบุว่าพลเมืองที่เข้าร่วมต่อสู้กับระบอบทักษิณเป็นเพียง “อณู” ที่ไร้ความคิดไร้สิ่งยึดเหนี่ยว มีความโน้มเอียงที่จะเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ ทั้งยังจินตนาการต่อไปว่าตัวเขาและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องประคองสังคมไทยไม่ให้เป็นเผด็จการเพื่อให้หลานของเขาและลูกยิ่งลักษณ์มีชีวิตในอนาคตที่จะพูดและตอบโต้อะไรก็ได้ตามความคิดของตนเอง โดยไม่กังวลว่าถูกลงโทษ
ในประเด็นนี้ผมคิดว่ามโนภาพการชุมนุมของนิธิ เอียวศรีวงศ์คงติดอยู่กับภาพการชุมนุมของมวลชนเสื้อแดงเมื่อปี 2552 และ 2553 รวมทั้งเกิดความสับสนอลหม่านทางความคิดระหว่างการกระทำของรัฐบาลภายใต้ระบอบทักษิณกับรัฐบาลในอนาคตที่จะเกิดขึ้นภายหลังการปฏิรูปประเทศ
นิธิ เอียวศรีวงศ์คงเข้าใจผิดว่าการชุมนุมของพลเมืองไทยในครั้งนี้เหมือนกับการชุมนุมของเสื้อแดงที่นิธิให้การสนับสนุน เพราะคำว่า “อณู” นั้นเหมาะกับคนเสื้อแดงยิ่งกว่ากลุ่มคนใดในสังคมไทย ความเป็นอณูของคนเสื้อแดงนั้นแสดงออกมาหลายรูปแบบ เช่น เสื้อแดงพร้อมทำตามคำสั่งของแกนนำและทักษิณ โดยไม่สนใจว่าการกระทำนั้นจะเป็นความรุนแรงหรือละเมิดสิทธิของคนอื่น
ผมอยากรื้อฟื้นเหตุการณ์ที่เสื้อแดงกระทำสักเล็กน้อย เช่น การล้อมและทุกตีรถยนต์ที่นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ และการทำร้ายนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ภายในกระทรวงมหาดไทย การบุกเข้าไปทำลายการประชุมกลุ่มผู้นำอาเชียนที่พัทยา การเผาบ้านเผาเมือง การคุกคามเสรีภาพของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ รวมทั้งเหตุการณ์ล่าสุดที่คนเสื้อแดงใส่เสื้อดำยิงถล่มนักศึกษารามคำแหงเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบคน เป็นต้น
กล่าวได้ว่าตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ผู้คนจำนวนมากมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวเสื้อแดง ไม่กล้าที่แม้แสดงความเห็นต่อสาธารณะ และยังห้ามลูกหลานไม่ให้พูดวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและคนเสื้อแดง
บรรยากาศแบบนี้นิธิ เอียวศรีวงศ์คงจะไม่ได้ยินและไม่อาจรับรู้ได้เพราะว่าตัวเขาเองก็ให้ท้ายการกระทำเช่นนั้นด้วยการกล่าวและเขียนในหลายที่ว่าการกระทำของเสื้อแดงเป็นประชาธิปไตย นิธิ เอียวศรีวงศ์จึงแปรสภาพจากนักวิชาการกลายเป็นหนึ่งในมวลอณูของขบวนการเสื้อแดง ที่ถูกยึดโยงโดยระบอบทักษิณนั่นเอง
สิ่งที่นิธิ เอียวศรีวงศ์และยิ่งลักษณ์ ชินวัตรต้องการประคับประคองคงจะมิใช่เสรีภาพในการแสดงความเห็นของประชาชนชาวไทยทั้งมวล หากแต่น่าจะเป็นเสรีภาพของเครือญาติตนเองและของเครือญาติตระกูลชินวัตร รวมทั้งเสรีภาพในการใช้อำนาจเถื่อนคุกคามผู้เห็นต่างอย่างไร้ขอบเขตของขบวนการเสื้อแดงและสมุนข้าทาสของระบอบทักษิณเสียมากกว่า
อันที่จริงระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จและการเมืองระบบมวลชนเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว และทวีความเข้มข้นมากขึ้นตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา การเมืองแบบนี้เกิดจากการดำเนินการของระบอบทักษิณ มวลชนเสื้อแดง รัฐสภาทาส และรัฐบาลยิ่งลักษณ์
และแน่นอนว่านิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เลิกตั้งคำถามกับระบอบทักษิณมาหลายปีแล้ว ขณะนี้เขาและกลุ่มนักวิชาการที่สนับสนุนระบอบทักษิณและการเลือกตั้งภายใต้ระบอบทักษิณได้กลายเป็น “ชายผู้ไม่ตั้งคำถาม” ในระบอบนาซีไปแล้ว
แนวคิดชายผู้ไม่ตั้งคำถามหรืออีกนัยหนึ่งคือ “ความธรรมดาของความชั่วร้าย” เป็นแนวคิดของ ฮันนาร์ อาเรนท์ นักวิชาการคนเดียวกับที่นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์อ้างมาเพื่อสนับสนุนความคิดตนเองเกี่ยวกับภาวะอณูของผู้ชุมนุมนั่นแหละ
ระบอบทักษิณภายใต้การให้ท้ายของนักวิชาการบางกลุ่มรวมทั้งนิธิ เอียวศรีวงศ์ด้วยทำให้ความคิด“ความเป็นธรรมดาของความชั่วร้าย” แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวาง รูปธรรมของความคิดนี้มีหลายอย่าง เช่น การทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดา หากตนเองได้ประโยชน์ หรือกลุ่มคนที่ตนเองสนับสนุนได้ประโยชน์ การข่มขู่คุกคามหรือทำร้ายผู้อื่นด้วยความรุนแรงเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ หากผู้กระทำเป็นพวกเรา ดังที่นักวิชาการกลุ่มนี้ไม่เคยเอ่ยปากวิพากษ์การกระทำที่รุนแรงของมวลชนเสื้อแดงและรัฐบาลยิ่งลักษณ์สักครั้งเดียว
ยิ่งกว่านั้นความคิดวิปริตในลักษณะ “การจำกัดสิทธิและปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความเห็นเป็นเรื่องปกติ หากผู้แสดงความเห็นไม่ใช่พวกเรา” ดังที่เกิดขึ้นในรัฐสภา ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ใช้เสียงข้างมากปิดปากฝ่ายค้านทั้งในเรื่อง การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม การแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาของวุฒิสมาชิก และว่าด้วยการทำสัญญากับต่างประเทศหรือมาตรา 190 เป็นต้น
นิธิและนักวิชาการผู้สนับสนุนระบอบทักษิณจึงทำให้คนไทยจำนวนมากเกิดภาวะสมองกลวงและตื้นเขิน โดยยอมรับและปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลอย่างว่าง่ายและไม่ตั้งคำถาม กล่าวให้ชัดคือคนเหล่านี้คงจะต้องการให้ประชาชนยอมรับการเลือกตั้งที่ทุจริตฉล ยอมรับการใช้อำนาจที่ปราศจากความยุติธรรมของนักการเมืองทุนสามานย์ และยอมรับการกระทำที่ไร้ศีลธรรมของรัฐบาลและมวลชนเสื้อแดง
ยามนี้หากจะเปรียบเปรยก็พอจะกล่าวได้ว่า นิธิ กำลังกระทำตัวประดุจ เอ็ดมุนส์ ฮุสเซิร์ล นักปรัชญาที่กลายเป็นสมาชิกพรรคนาซี และทำงานทางความคิดให้แก่นาซี รวมทั้งสนับสนุนนโยบายต่อต้านชาวยิว อันนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
การกระทำเยี่ยงนี้ทำให้ปัจเจกบุคคลที่มีเลือดเนื้อ มีจิตวิญญาณ และมีเจตจำนงที่ดีต่อสังคมกลายเป็นเพียง “อณู” ที่ปราศจากชีวิตจิตใจ นี่เป็นกระบวนการลดทอนความเป็นมนุษย์เพื่อเปิดโอกาสและสร้างความชอบธรรมให้แก่ระบอบทักษิณเพื่อกวาดล้างหรือเข่นฆ่าผู้คัดค้านได้ในอนาคตอย่างปราศจากความสำนึกผิดดุจเดียวกับทหารนาซีที่ชื่อ อดอล์ฟ ไอก์มานน์
ผมคิดว่าเป็นภารกิจของพี่น้องพลเมืองไทยทุกคน ที่จะต้องหยุดยั้งระบอบทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ หรือรัฐบาลหุ่นเชิดอื่นๆที่จะเกิดขึ้นมาหากมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เพราะหากระบอบทักษิณชนะการเลือกตั้ง ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นอย่างนั้นภายใต้บริบทการเลือกตั้งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อนาคตของสังคมไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อนๆ พี่น้อง และลูกหลานของเราก็จะกลายเป็นเหยื่อแห่งความรุนแรงของระบอบทักษิณและมวลชนเสื้อแดง ดุจเดียวกับการที่ชาวยิวกลายเป็นเหยื่อของระบอบนาซี
ยุติการเป็นเหยื่อของระบอบทักษิณ ยุติวิธีคิดที่มองความชั่วร้ายเป็นเรื่องธรรมดา ยุติการปฏิบัติตามคำสั่งที่ไร้ศีลธรรมและผิดกฎหมาย ประชาชนจักต้องเป็นเสรีชนที่สามารถกำหนดชะตากรรมของตนเองและสังคมได้ ถึงเวลาแล้วครับพี่น้องที่จะต้องปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ