ASTVผู้จัดการรายวัน - ศูนย์ข้อมูลฯ เผย 11 เดือน คอนโดฯเปิดใหม่ 8.5 หมื่นยูนิต คาดทั้งปีทะลุ 9 หมื่น เตือนลดลงทุน เชื่อปัญหาต้นทุนพุ่ง แรงงานขาด EIA แรงกดดันผู้ประกอบการหันพัฒนาบ้านแนวราบแทน
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2556 พบว่ามีจำนวนคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในตลาดแล้วกว่า 85,000 ยูนิต ขณะที่ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมาผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยลงมาก ส่วนหนึ่งอาจมาจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองประกอบกับเป็นเดือนที่มีวันหลายวันทำให้คาดว่าตลอดเดือนธันวาคมจะมีคอนโดฯเปิดขายใหม่ประมาณ 4,000-5,000 ยูนิต ซึ่งบางส่วนคาดว่าจะเลื่อนไปเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้าแทน หากรวมทั้งปีคาดว่าจะมีคอนโดฯเปิดขายใหม่ประมาณ 90,000 ยูนิต
ตัวเลขการเกิดตัวคอนโดฯใหม่ดังกล่าวถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับปี 2555 ทั้งปีที่มีมีโครงการเปิดขายใหม่เพียง 64,000 หน่วย คิดเป็นเพิ่มขึ้นกว่า 35% ขณะที่บ้านจัดสรรทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมามีโครงการเปิดขายใหม่ 42,000 ยูนิต ช่วง 1 เดือนที่เหลือคาดว่าจะมีโครงการเปิดขายใหม่เพิ่มเข้าสู่ตลาดอีกประมาณ 2,000-3,000 ยูนิต รวมทั้งปีคาดว่าจะมีโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่ 44,000-45,000 ยูนิต หรือมีการเติบโตขึ้นประมาณ 5%
ทั้งนี้สาเหตุที่มีคอนโดฯเปิดขายใหม่ในปีนี้จำนวนมากส่วนหนึ่งมาจากการเปิดโครงการขนาดใหญ่ ราคาต่ำกว่าล้านของผู้ประกอบการรายใหญ่ ย่านรังสิที่มีกว่า 1 หมื่นยูนิต นอกจากนี้การเปิดตัวคอนโดฯที่มากส่วนหนึ่งยังมาจากการเข้าไปทดแทน โครงการบ้านเอื้ออาทรและตลาดอพาร์ทเม้น เนื่องจากราคาที่ดินในปัจจุบันปรับตัวขึ้นไปสูงมากจนไม่สามารถพัฒนาบ้านแนวราบได้ อีกทั้งการหาที่ดินแปลงขนาดใหญ่พอที่จะพัฒนาโครงการแนวราบได้ก็อยากขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ราคาบ้านแนวราบสูงขึ้นมากจาผู้บริโภคบางส่วนไม่มีกำลังซื้อดังนั้นคอนโดฯ จึงเป็นทางเลือกของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค
“แม้ว่าคอนโดฯจะเข้ามาทดแทนตลาดอพาร์ทเม้นต์ บ้านเอื้ออาทร หรือแม้แต่ค่านิยมในการอยู่อาศัยของคนไทยเปลี่ยนไป แต่การเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากถึง 9 หมื่นยูนิต ถือว่าสูงมากเกินไป ซึ่งในปีหน้าผู้ประกอบการควรพัฒนาคอนโดฯให้น้อยลงกว่านี้แต่ละปีไม่ควรเกิน 7 หมื่นหน่วย” นายสัมมา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาขาดแคลนผู้รับเหมาและแรงงาน ราคาที่ดินแพง ต้นทุนก่อสร้างสูง อีกทั้งการยืนของ EIA ที่เป็นปัญหาคอขวด การพิจารณาล่าช้า ทำให้ต้นทุนการเงินของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้นมาก นอกจากนี้การที่คอนโดฯขายวันนี้แต่กว่าจะโอนหรือส่งมอบต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไปจนกว่าตึกจะสร้างเสร็จ มีความเสี่ยงที่ลูกค้าจะไม่รับมอบ หรือกู้ไม่ผ่าน อาจเนื่องจากปัญหาการเงินของลูกค้าเอง หรือความเข้มงวดของธนาคาร ปัญหาเหล่านี้จะเป็นแรงกดดันให้ผู้ประกอบการโครงการชะลอการพัฒนาคอนโดฯออกไป บางรายอาจปรับแผนการลงทุนหันไปพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มมากขึ้น
“การพัฒนาคอนโดฯ ต้องทำอีไอเอ ทำให้เปิดโครงการใหม่ได้ล่าช้า และการที่ผู้ประกอบการพัฒนาคอนโดฯจำนวนมาก อาจทำให้กระแสเงินสดไม่คล่องตัว เพราะกว่าจะสร้างเสร็จและรับรู้รายได้ต้องใช้เวลา 2-3 ปี หากผู้ประกอบการมีการเงินไม่แข็งแกร่ง สภาพคล่องไม่ดี สายป่านสั้น อาจจะต้องโอนขายโครงการให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่นได้ ผู้ประกอบการที่มีแบล็คล็อกคอนโดฯมากๆ ก็ย่อมมีความเสี่ยงมาก ต้องประเมินสภาพเศรษฐกิจและการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินในปีที่จะโอนว่าจะเป็นอย่างไร จะโอนห้องชุดได้หรือไม่ ทำให้คาดว่าผู้ประกอบการบางรายหันมาทำโครงการแนวราบมากขึ้น เพราะรับรู้รายได้ได้เร็วกว่าเพื่อเอาไปชดเชยแบล็คล็อกคอนโดฯ”
นายสัมมากล่าวสำหรับปัจจัยเสี่ยงภาคอสังหาฯ ปีหน้า นายสัมมากล่าวว่า การที่โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านบ้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ ของรัฐชะลอ จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯด้วย แต่อย่างไรก็ตามจะทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและผู้รับเหมาไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศซึ่งอาจจะมีการยกเลิกมาตรการคิวอี ส่งผลให้เงินทุนไหลออกแล้วใกล้เคียง 2 แสนล้านบาทที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ปัจจัยทางการเมืองว่าจะมีความรุนแรงหรือไม่ รวมถึงเรื่องภัยธรรมชาติ ส่วนอัตราดอกเบี้ยมองว่ายังเป็นปัจจัยบวกต่อภาคอสังหาฯ
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2556 พบว่ามีจำนวนคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในตลาดแล้วกว่า 85,000 ยูนิต ขณะที่ในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมาผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยลงมาก ส่วนหนึ่งอาจมาจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองประกอบกับเป็นเดือนที่มีวันหลายวันทำให้คาดว่าตลอดเดือนธันวาคมจะมีคอนโดฯเปิดขายใหม่ประมาณ 4,000-5,000 ยูนิต ซึ่งบางส่วนคาดว่าจะเลื่อนไปเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้าแทน หากรวมทั้งปีคาดว่าจะมีคอนโดฯเปิดขายใหม่ประมาณ 90,000 ยูนิต
ตัวเลขการเกิดตัวคอนโดฯใหม่ดังกล่าวถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับปี 2555 ทั้งปีที่มีมีโครงการเปิดขายใหม่เพียง 64,000 หน่วย คิดเป็นเพิ่มขึ้นกว่า 35% ขณะที่บ้านจัดสรรทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมามีโครงการเปิดขายใหม่ 42,000 ยูนิต ช่วง 1 เดือนที่เหลือคาดว่าจะมีโครงการเปิดขายใหม่เพิ่มเข้าสู่ตลาดอีกประมาณ 2,000-3,000 ยูนิต รวมทั้งปีคาดว่าจะมีโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่ 44,000-45,000 ยูนิต หรือมีการเติบโตขึ้นประมาณ 5%
ทั้งนี้สาเหตุที่มีคอนโดฯเปิดขายใหม่ในปีนี้จำนวนมากส่วนหนึ่งมาจากการเปิดโครงการขนาดใหญ่ ราคาต่ำกว่าล้านของผู้ประกอบการรายใหญ่ ย่านรังสิที่มีกว่า 1 หมื่นยูนิต นอกจากนี้การเปิดตัวคอนโดฯที่มากส่วนหนึ่งยังมาจากการเข้าไปทดแทน โครงการบ้านเอื้ออาทรและตลาดอพาร์ทเม้น เนื่องจากราคาที่ดินในปัจจุบันปรับตัวขึ้นไปสูงมากจนไม่สามารถพัฒนาบ้านแนวราบได้ อีกทั้งการหาที่ดินแปลงขนาดใหญ่พอที่จะพัฒนาโครงการแนวราบได้ก็อยากขึ้นเช่นกัน ในขณะที่ราคาบ้านแนวราบสูงขึ้นมากจาผู้บริโภคบางส่วนไม่มีกำลังซื้อดังนั้นคอนโดฯ จึงเป็นทางเลือกของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค
“แม้ว่าคอนโดฯจะเข้ามาทดแทนตลาดอพาร์ทเม้นต์ บ้านเอื้ออาทร หรือแม้แต่ค่านิยมในการอยู่อาศัยของคนไทยเปลี่ยนไป แต่การเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากถึง 9 หมื่นยูนิต ถือว่าสูงมากเกินไป ซึ่งในปีหน้าผู้ประกอบการควรพัฒนาคอนโดฯให้น้อยลงกว่านี้แต่ละปีไม่ควรเกิน 7 หมื่นหน่วย” นายสัมมา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาขาดแคลนผู้รับเหมาและแรงงาน ราคาที่ดินแพง ต้นทุนก่อสร้างสูง อีกทั้งการยืนของ EIA ที่เป็นปัญหาคอขวด การพิจารณาล่าช้า ทำให้ต้นทุนการเงินของผู้ประกอบการเพิ่มสูงขึ้นมาก นอกจากนี้การที่คอนโดฯขายวันนี้แต่กว่าจะโอนหรือส่งมอบต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 1 ปีขึ้นไปจนกว่าตึกจะสร้างเสร็จ มีความเสี่ยงที่ลูกค้าจะไม่รับมอบ หรือกู้ไม่ผ่าน อาจเนื่องจากปัญหาการเงินของลูกค้าเอง หรือความเข้มงวดของธนาคาร ปัญหาเหล่านี้จะเป็นแรงกดดันให้ผู้ประกอบการโครงการชะลอการพัฒนาคอนโดฯออกไป บางรายอาจปรับแผนการลงทุนหันไปพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มมากขึ้น
“การพัฒนาคอนโดฯ ต้องทำอีไอเอ ทำให้เปิดโครงการใหม่ได้ล่าช้า และการที่ผู้ประกอบการพัฒนาคอนโดฯจำนวนมาก อาจทำให้กระแสเงินสดไม่คล่องตัว เพราะกว่าจะสร้างเสร็จและรับรู้รายได้ต้องใช้เวลา 2-3 ปี หากผู้ประกอบการมีการเงินไม่แข็งแกร่ง สภาพคล่องไม่ดี สายป่านสั้น อาจจะต้องโอนขายโครงการให้แก่ผู้ประกอบการรายอื่นได้ ผู้ประกอบการที่มีแบล็คล็อกคอนโดฯมากๆ ก็ย่อมมีความเสี่ยงมาก ต้องประเมินสภาพเศรษฐกิจและการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินในปีที่จะโอนว่าจะเป็นอย่างไร จะโอนห้องชุดได้หรือไม่ ทำให้คาดว่าผู้ประกอบการบางรายหันมาทำโครงการแนวราบมากขึ้น เพราะรับรู้รายได้ได้เร็วกว่าเพื่อเอาไปชดเชยแบล็คล็อกคอนโดฯ”
นายสัมมากล่าวสำหรับปัจจัยเสี่ยงภาคอสังหาฯ ปีหน้า นายสัมมากล่าวว่า การที่โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านบ้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ ของรัฐชะลอ จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯด้วย แต่อย่างไรก็ตามจะทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและผู้รับเหมาไม่รุนแรงไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศซึ่งอาจจะมีการยกเลิกมาตรการคิวอี ส่งผลให้เงินทุนไหลออกแล้วใกล้เคียง 2 แสนล้านบาทที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ปัจจัยทางการเมืองว่าจะมีความรุนแรงหรือไม่ รวมถึงเรื่องภัยธรรมชาติ ส่วนอัตราดอกเบี้ยมองว่ายังเป็นปัจจัยบวกต่อภาคอสังหาฯ