xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ล้มระบอบทักษิณ “สุเทพ” ต้องเป็น “ฮีโร่กางเกงใน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุเทพ เทือกสุบรรณ
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การประกาศชัยชนะของผู้ชุมนุมภายใต้การนำของ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข(กปปส.)” หลังจากที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” สั่งให้ “ตำรวจ” เปิดทางให้กลุ่มผู้ชุมนุมสามารถผ่าน “โคตรมหาแนวป้องกัน” เข้ามาที่ “กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.)” และ “ทำเนียบรัฐบาล” เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2556 ต้องบอกว่า เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของชัยชนะเล็กๆ ที่ห่างไกลจากชัยชนะที่แท้จริงซึ่งยังไม่มีใครคาดเดาว่า จะมีจุดจบอย่างไร

แน่นอน ไม่มีใครปฏิเสธความสำเร็จที่เกิดขึ้น

แน่นอน ไม่มีใครปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของพลังประชาชนที่พร้อมใจกันลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ

แต่การยึดกองบัญชาการตำรวจนครบาลและทำเนียบรัฐบาล มิได้หมายความว่า รัฐบาลพ่ายแพ้ศิโรราบเสียที่ไหน

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้ประกาศยุบสภา รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ได้ประกาศลาออก

และนั่นหมายความว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ยังคงอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดินอยู่เหมือนเดิม แถมบางคนยังวิเคราะห์เสียด้วยซ้ำไปว่า นี่คือการ ถอยทางยุทธวิธี ถอยเพื่อเปิดเกมรุกครั้งใหม่ของรัฐบาล

“ข่าวที่พวกเรายึด บช.น.และทำเนียบแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนชนะแล้ว แต่เป็นชัยชนะส่วนหนึ่ง ยังไม่เด็ดขาด เพราะรัฐบาลยังอยู่ เราจึงยังกลับบ้านไม่ได้ ต้องสู้ต่อไป ขอให้พี่น้องหนักแน่น อย่าหวั่นไหวกับข่าวลือ เพราะรัฐบาลอาศัยการปล่อยข่าว การให้เรายึดสถานที่ เป็นการสร้างภาพว่ารัฐบาลยอมทุกอย่าง พรุ่งนี้จะยอมยุบสภา แต่ก็จะกล่าวหาว่า ผมไม่ยอม พอรัฐบาลประกาศยุบสภา จะมีคนบอกว่า พี่น้องพอได้แล้ว กลับบ้านได้แล้ว แต่ผมจะบอกว่า ความตั้งใจคือการขจัดระบอบทักษิณให้หมดจากแผ่นดินไทยและประชาชนต้องเข้าไปบริหารเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เราต้องดำรงความมุ่งหมายนั้น ถ้ามันยุบสภา เรายอมมัน เลือกตั้งใหม่ มันก็กลับมาใหม่ ซื้อเสียงได้ เข้ามาเป็นรัฐบาล ทำเลวทำชั่ว ดังนั้น ถึงยุบสภาก็ไม่มีความหมายกับเรา” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส.ขึ้นเวทีปราศรัยกับประชาชนหลังมวลชนเข้ายึดทำเนียบรัฐบาลและกองบัญชาการตำรวจนครบาลเพื่อทำให้สภาวะ “ไทยงง” ที่เกิดขึ้นชั่วขณะบรรเทาเบาบางลงไป

ดังนั้น ศึกครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากพักรบชั่วคราว นายสุเทพจะเล่นบทตบจูบแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ “ทหาร” ที่พิสูจน์ชัดแล้วว่า เลือกที่จะ “ตีกิน” ไปวันๆ แต่จะต้องศรัทธาและเชื่อมั่นว่าพลังของประชาชนจะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศไทยได้จริงๆ

ที่สำคัญคือนายสุเทพจะต้องสู้ภายใต้นิยามใหม่ “รองเท้าผ้าใบกับใจถึงๆ” หรือสู้ยิบตาเหมือนเช่น “วีรชาติ เปรมกมล” ที่มวลมหาประชาชนรู้จักเขาเป็นอย่างดีกับสมญานาม “ฮีโร่กางเกงใน” ที่กล้าฝ่าดงกระสุนแก๊สน้ำตาของ ตำรวจที่ระดมยิงเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรง ไม่ยอมถอย หรือไม่เพลินกับการเล่นบทตบจูบ ถึงจะโค่นระบอบทักษิณได้

**จุดเปลี่ยนที่รามคำแหง กองทัพขยับ กำนันเทพปฏิวัติได้จริงหรือ

หลังปฏิบัติการแสดงพลังของมวลมหาประชาชนเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 ณ ถนนราชดำเนิน ตามต่อด้วยมาตรการอารยะขัดขืนที่นำออกมาใช้ด้วยการเคลื่อนทัพออกไปยึดกระทรวง ทบวง กรมและสถานที่ราชการต่างๆ สังคมต่างเฝ้าจับตาว่า นายสุเทพจะล้มรัฐบาลด้วยการปฏิวัติประชาชนได้อย่างไร

กระนั้นก็ดี จุดเปลี่ยนที่ถือว่าสำคัญที่สุดก็คือความรุนแรงที่เกิดกับนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงในวันที่ 30 พฤศจิกายนต่อเนื่องถึงวันที่ 1 ธันวาคม 2556 ซึ่งสุดท้ายทำให้นักศึกษาต้องเสียชีวิต 1 รายคือ “ทวีศักดิ์ โพธิ์แก้ว” อายุ 21 ปี และปฏิเสธไม่ได้ว่า เกิดจากฝีมือของคนเสื้อแดงที่ระดมยิงเข้ามา

ทั้งนี้ โศกนาฏกรรมที่เกิดกับนักศึกษารามคำแหงซึ่งทำให้สังคมรับไม่ได้ก็คือ การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่า ไม่ปลอดภัย ไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลือได้ ทำให้นักศึกษาประมาณ 2,000 คนไม่สามารถออกนอกมหาวิทยาลัย

“ทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้ายหรือเปิดประตูมหาวิทยาลัยจะมีชายชุดดำมือสั่งการคอยซุ่มยิงนักศึกษาหรือทำร้ายนักศึกษา มีคนร้ายในชุดดำใช้สไนเปอร์ยิงนักศึกษาต่อหน้าต่อตาที่วิ่งหนีเอาตัวรอด บริเวณหน้าตึกสำนักงานอธิการบดีซึ่งขณะที่เกิดขึ้นนั้น ผมโทรศัพท์ประสานกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติตลอดเวลา แต่กลับถูกปฏิเสธการเข้ามาให้ความช่วยเหลือ”นั่นคือคำให้สัมภาษณ์ของ “ผศ.ดร.วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์” อธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน จากราชประสงค์โมเดล สู่คืนไล่ล่า นศ.ราม ตำรวจ...เลิศ ไม้เก่า..อารีย์ ไกรนรา และจตุพร พรหมพันธุ์)

กระทั่ง “พ.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี” ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ พร้อมกำลังพล 1 กองร้อยเข้าไปช่วยเหลือ ถึงสามารถช่วยเหลือนักศึกษาลูกพ่อขุนให้พ้นจากปฏิบัติการสังหารโหดได้

การที่นักศึกษารามฯ ถูกยิงเสียชีวิตถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่งเพราะช่วยเปิดโปงแผนชั่วของนายใหญ่ที่จะให้กองกำลังติดอาวุธป่วนเมืองออกมาอย่างหมดเปลือก ทำให้แผนการใช้มวลชนปะทะมวลชนต้องล้มพับไปโดยปริยาย

จากนั้น ทหารก็ปรากฏบทบาทเป็นครั้งที่สอง เมื่ออดีตกำนันตำบลท่าสะท้อนขึ้นปราศรัยบนเวทีศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ และเปิดเผยถึงการสนทนาระหว่างตนเองกับนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยมีผู้บัญชาการทั้ง 3 เหล่าทัพนั่งอยู่ด้วยอย่างพร้อมเพรียง ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผู้บัญชาการทหารเรือ และพล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผู้บัญชาการทหารเรือ ณ กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์(ร.1 รอ.)

นอกจากนี้ ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ และ “บิ๊กป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก อีกหนึ่งบูรพาพยัคฆ์ คือผู้ประสานให้เกิดการเจรจาดังกล่าวผ่านการร้องขอของ “พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก” รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศอ.รส.ในขณะนั้น

ทั้งนี้ แม้จะไม่มีบทสรุประหว่างการสนทนาดังกล่าว แต่สิ่งที่มีนัยสำคัญซึ่งไม่อาจมองข้ามได้ก็คือ การที่นายสุเทพประกาศบนเวทีปราศรัยด้วยวลีที่กลายเป็น Talk of The Town อย่าง “ทหารยืนข้างประเทศไทย”

คำถามที่เกิดขึ้นมีอยู่ว่า การเคลื่อนไหวของทหารทั้งหลายทั้งปวง โดยเฉพาะการพบปะกันระหว่างนายสุเทพ นางสาวยิ่งลักษณ์และ ผบ.เหล่าทัพ นั้น มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์จริงหรือไม่

ยิ่งเมื่อมีตัวละครคนหน้าเดิม อย่างบิ๊กป้อม บิ๊กป๊อกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว นายสุเทพและมวลชนจึงไม่อาจวางใจได้แม้แน่วินาทีเดียว เพราะพวกเขาคือกลุ่มอำนาจและกลุ่มผลประโยชน์อีกขั้วหนึ่งในนาม “พรรคสีเขียว” ที่ไม่เป็นสองรองใครในประเทศนี้

เพราะไม่ว่าฝ่ายใดชนะ พรรคสีเขียวก็มีแต่ได้ไม่มีเสีย พร้อมที่จะ “ฝันอร่อย” พลิกไปมาตลอดเวลาตามสถานการณ์ ถ้าฝ่ายประชาชนชนะก็อ้างได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ทหารอยู่เคียงข้างประชาชน

แต่ถ้าฝ่ายรัฐบาลชนะก็อ้างได้อีกเช่นกันว่า ทหารต้องปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาล (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน “บูรพาพยัคฆ์” กระชับอำนาจ ต่อรองตีกิน!!)

ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า ทุกการเคลื่อนไหวของพรรคสีเขียวอาจเข้าข่ายการสร้างราคาหรือการสร้างมูลค่าเพิ่มหลังจากที่ย่อมยับอัปราไปพร้อมๆ กับคลิปถั่งเช่า ซึ่งเชื่อว่านายสุเทพคงจะตระหนักคิดและชั่งน้ำหนักโดยมองข้าม สัมพันธ์ที่แนบแน่นเมื่อครั้งอดีตกับคนที่เคยเรียก “พี่” ได้

**ปลด “แจ๊ด” ตั้ง “วรพล” ปลด “ประชา” ตั้ง “ปึ้ง” ถอยทางยุทธวิธีก่อนแตกหัก

นอกจากนี้ อีกเหตุการณ์หนึ่งที่นายสุเทพจะต้องระมัดระวังให้มากก็คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.)

เริ่มจากกรณีที่ “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ “ผอ.ศอ.รส.” มีคำสั่งให้มีคำสั่งให้ส่งตัว พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผบ.ตร.ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะเลขาธิการศอ.รส. และในฐานะผบ.เหตุการณ์กรณีฉุกเฉิน เข้าไปดูแลกำลังการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังตำรวจที่อยู่ในแนวรักษาสถานที่ราชการทั้งหมด โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณกองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) และทำเนียบรัฐบาล

หรือแปลไทยเป็นไทยก็คือ พล.ต.อ.อดุลย์ ส่ง พล.ต.อ.วรพงษ์เข้ามากำกับการปฏิบัติหน้าที่ของ “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังของ ศอ.รส.ที่มีกำลังพลอยู่ในมือเฉียด 4 หมื่นนาย

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นการปรับยุทธวิธีในการต่อสู้ของรัฐบาล เพราะเป็นที่รับรู้กันว่าบิ๊กแจ๊ดนั้นอยู่ในสายเหยี่ยวที่พร้อมพลีกายถวายชีวิตเพื่อนายแม้ว ซึ่งถ้าหากใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมต่อไป ภาพลักษณ์ของรัฐบาลก็จะยิ่งเสียหาย

และด้วยเหตุนี้นี่เองจึงปรากฏภาพของพล.ต.อ.วรพงษ์ออกมาเจรจากับ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง แทนที่จะเป็น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ซึ่งบทสรุปของเหตุการณ์จึงพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อตำรวจยอมเปิดทางให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปในกองบัญชาการตำรวจนครบาลและทำเนียบรัฐบาลอย่างง่ายดายทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ประกาศหัวเด็ดตีนขาดว่า ไม่ยอม

นี่คือเกมลับลวงพรางเพื่อทำให้สังคมเห็นว่า รัฐบาลถอยจนสุดทางแล้ว แต่ม็อบยังดื้อด้านดันทุรังโดยไม่ยอมตั้งโต๊ะเจรจา

นอกจากนี้อีกการเปลี่ยนแปลงน่าสนใจก็คือ การเฉดหัว “บิ๊กผิว” พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงแล้วตั้ง “อ้ายปึ้ง” นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้เข้ามาดำรงตำแหน่ง ผอ.ศอ.รส.แทน

แน่นอน การเปลี่ยนม้ากลางศึกครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดา และจะเป็นด้วยเหตุผลใดมิได้นอกเสียจากว่านักโทษชายหนีคดีไม่ไว้ใจ พล.ต.อ.ประชาให้นั่งเก้าอี้ตัวนี้อีกต่อไปเพราะทำงานไม่ได้ดั่งใจ ซึ่งก็ต้องบอกว่าอ้ายปึ้งสนองงานได้สมกับข้าวแดงแกงร้อนที่นายใหญ่ราดหัวให้ เพราะหลังรับตำแหน่งก็ประกาศจุดยืนชัดเจนว่า ไม่ลาออกและไม่ยุบสภา แถมยังเรียกร้องให้นายสุเทพมอบตัวและขู่ผู้ชุมนุมตลอดรวมถึงผู้ให้การสนับสนุนว่าจะเจอข้อหา “กบฏ” เช่นเดียวกับนายสุเทพ

อ้ายปึ้งคือสายตรงดูไบที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลนอกจากจะไม่ยอมแพ้แล้ว ยังจะตั้งป้อมสู้โดยปรับเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่

ขณะเดียวกันการที่นางสาวยิ่งลักษณ์ โดยคณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง 2 นักกฎหมายชั้นครูในบ้านคือนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและนายชัยเกษม นิติศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการยุติธรรมขึ้นมาเป็นคณะทำงานทางวิชาการเพื่อจัดเวทีร่วม หรือการหานักวิชาการเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่าจะหาทางออกประเทศไทยได้อย่างไร ก็เป็นอีกหมากหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า คำว่า ยุบสภาและลาออก ห่างไกลจากความเป็นจริง

เพราะเมื่อรับตำแหน่งทั้งสองคน รวมถึงอ้ายปึ้งก็เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกันว่า การตั้งสภาประชาชนตามแนวความความคิดของนายสุเทพนั้นมิอาจเป็นจริงได้ เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่รองรับ พร้อมทั้งระดมนักวิชาการแดงที่อยู่ในคอกเดียวกันออกมาชี้แจงเหตุผลเป็นการใหญ่ สอดรับกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่แถลงเมื่อบ่ายวันที่ 2 ธันวาคม 2556 ว่า ไม่สามารถทำตามข้อเสนอของนายสุเทพ ในการจัดตั้งสภาประชาชน แม้จะยุบสภาหรือรัฐบาลลาออกเพราะไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

นี่คือเกม

นี่คือการซื้อเวลา

นี่คือการสร้างภาพว่ารัฐบาลถอยสุดซอย และไม่ปรารถนาจะใช้ความรุนแรง

ฮีโร่กางเกงใน คำตอบสุดท้ายล้มระบอบทักษิณ

ไม่ว่าจะอธิบายเป็นคุ้งเป็นแควอย่างไร แต่สุดท้าย คำถามที่ทุกคนต้องการคำตอบก็คือ แล้วเหตุการณ์จะดำเนินไปอย่างไรถ้าหากรัฐบาลยังไม่ยอมแพ้ ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา และตอกย้ำว่าการตั้ง สภาประชาชนทำไม่ได้

ดังนั้น ภาระจึงมาตกหนักอยู่ที่นายสุเทพว่าจะทำอย่างไรให้มวลมหาประชาชนออกมาบนท้องถนนไม่น้อยกว่าเดิมที่เคยทำได้ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องยาก เพราะวันนี้ประชาชนได้ตื่นรู้และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับรัฐตำรวจที่เป็นแขนขาของรัฐบาลอย่างไม่เกรงกลัว

เหมือนดังเช่นวีรกรรมของ “นายวีรชาติ เปรมกมล” หรือกบ ซึ่งถูกเผยแพร่และส่งต่อกันมากที่สุดในเครือข่ายสังคมออนไลน์ด้วยภาพชายหนุ่มร่างท้วมที่แก้ผ้าล่อนจ้อนเหลือแต่กางเกงในตัวเดียววิ่งลุยฝ่าแก๊สน้ำตาที่ตำรวจระดมยิงเข้ามา พร้อมกับถังดับเพลิงในมือยืนประชิดติดกำแพงแบริเออร์บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ์ จากนั้นได้ฉีดถังดับเพลิงเข้าใส่ตำรวจที่ยืนด้านหลังแท่งปูนยักษ์เพื่อปกป้องผู้ชุมนุม กระทั่งถูกยิงเข้าที่กลางหน้าผากจนสลบคาที่

แถมเมื่อถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและเย็บแผลแตกระหว่างคิ้ว 4 เข็ม ปฐมพยาบาลจนฟื้นสติขึ้นมา ฮีโร่กางเกงในคนนี้ก็ขอให้หมอถอดสายน้ำเกลือ และกลับมาเผชิญหน้ากับตำรวจอย่างไม่เกรงกลัวอีกครั้ง

“วันเกิดเหตุ คือ วันที่ 1 ธันวาคม ผมไปลุยม็อบตั้งแต่เช้า เจอตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ แสบตาแสบตัวมาก เลยถอดเสื้อผ้าเหลือแต่กางเกงในแล้วใช้น้ำตักอาบน้ำอยู่ริมถนน จังหวะกำลังอาบน้ำอยู่ เห็นตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้ามาใส่ประมาณ 10 ลูก คนแตกฮือหนีกันใหญ่ เหลือแค่ผมคนเดียวที่ยังอาบน้ำอยู่แถวนั้น หันไปเห็นป้าคนหนึ่งโดนแก๊สน้ำตายิงเข้าที่ตัวแล้วฟุบอยู่ที่พื้น เลยหยุดอาบน้ำและวิ่งเข้าไปช่วยเขา เอาน้ำล้างหน้าล้างตาให้ป้า สักพักตำรวจยิงแก๊สน้ำตาอีกสองลูกมาโดนป้าคนนี้อีก ผมชักฉุนว่าลูกเก่าก็จะทำให้ป้าตายอยู่แล้ว นี่ยังยิงซ้ำเข้ามาอีก เลยลากถังดับเพลิงไปฉีดใส่ตำรวจทั้งๆ ที่ยังใส่กางเกงใน จนตำรวจต้องหนีร่นไปข้างหลัง หมดถังดับเพลิงไป 15 ถัง

“ตำรวจด่ากลับว่า มึงเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง หน้ากงหน้ากากไม่ใส่แต่ตอนนั้นผมลืมตัวไปแล้ว ลืมว่าตัวเองไม่ได้ใส่เสื้อผ้า มีแค่กางเกงในตัวเดียว ขนาดคนใส่เสื้อผ้าครบเจอแก๊สน้ำตายังทนไม่ได้ แต่ทำไมผมทนได้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ที่กล้าทำอย่างนั้น เพราะรู้สึกโกรธว่าทำไมต้องซ้ำเติมคนแก่ เพราะเขาโดนแค่ลูกเดียวก็จะตายอยู่แล้ว นี่ยิงมาอีกสองลูก”

“พอผมลุยเข้าไป ตำรวจจะเรียกผมว่า ไอ้อ้วนมันมาแล้ว ถอยๆ จนแกนนำประกาศว่าพอแล้วนะ ตอนนี้เราพัก ผมเลยเดินกลับเข้ามา กะจะมาใส่เสื้อผ้า แต่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผมอีกสี่นัดที่หน้าผากและมันเกิดระเบิดขึ้น ผมเลยฟลุบทั้งยืน นอนนิ่งเลย เพราะเจ็บจากแรงระเบิด ตอนไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอบอกคุณต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนะ เพราะแผลถูกยิงทะลุที่หน้าผากลึกมาก หมอต้องเย็บสี่เข็ม ผมบอกว่าถ้าหมอให้นอน ผมจะหนี หมอเลยต้องยอมให้ผมออกจากโรงพยาบาลมา”ฮีโร่กางเกงในเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นี่คือพลังของประชาชนที่นายสุเทพจะต้องศรัทธาอย่างไม่วอกแว่ก

นายสุเทพจะต้องรับบท “ฮีโร่กางเกงใน” สู้ยิบตาเพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณให้ได้ในครั้งนี้ เพราะไม่มีโอกาสไหนที่จะดีเท่ากับสถานการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้

ที่สำคัญคือจะต้องไม่ตกอยู่ในกับดับของฝ่ายทหารที่วันนี้พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า มิได้ยืนข้างประชาชนด้วยความจริงใจ


ภาพขณะ“วีรชาติ เปรมกมล”  เจ้าของสมญานาม “ฮีโร่กางเกงใน” ที่กล้าฝ่าดงกระสุนแก๊สน้ำตาของ ตำรวจที่ระดมยิงเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรง
กำลังโหลดความคิดเห็น