xs
xsm
sm
md
lg

คนเดือนตุลาลั่นถึงเวลาแล้ว ‘ตระกูลชิน’ ไม่มีแผ่นดินอยู่!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


‘ทักษิณ’ ไม่ยอมหยุด สั่ง ‘ยิ่งลักษณ์’ อดทน ห้ามลาออก ห้ามยุบสภา เชื่อ 4 วันจากนี้ไปจะพ้นช่วงวิกฤต ม็อบต่อต้านจะอ่อนแรง กระแสตก มั่นใจนิสัยคนไทยเบื่อเร็ว ขณะเดียวกันส่งสัญญาณให้ม็อบเสื้อแดงเคลื่อนพล 1 แสนหนุนรัฐบาล ส่วนจะยุบสภาได้ เมื่อทักษิณมั่นใจว่าเลือกตั้งใหม่ต้องชนะเท่านั้น ขณะที่วันนี้หวั่นคำชี้มูล ปปช.ทุจริตยกคณะรัฐมนตรี จะทำให้เพื่อไทยฟื้นตัวยาก ด้านอดีตคนเดือนตุลาฯชี้นิสัยทักษิณไม่ยอมแพ้ และม็อบเสื้อแดงกร้าว จะเกิดการปะทะแน่ สุดท้ายวิบากกรรมที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้คนตระกูลชินวัตรไม่มีแผ่นดินอยู่!

จากการที่ทีม “Special Scoop หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน” ได้นำเสนอข่าวไปแล้วว่า นอกจากปัญหาการเมืองที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องประสบจากภายนอก ปัญหาภายในพรรคเพื่อไทยเองก็ระส่ำไม่น้อย โดยเฉพาะการขยับของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เห็น พ.ต.ท.ทักษิณล้มด้วยการต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่เกิดขึ้นและเตรียมตั้ง “พรรคเสื้อแดง” แข่งกันเองกับพรรคเพื่อไทย แต่ท้ายที่สุดหลังจากนั้นเพียงวันเดียว ภาพที่ปรากฏชัดคือ คนที่มีอุดมการณ์แดงแรงกล้าอย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ และณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็เข้าพบทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เจ้าแม่ตัวจริงพรรคเพื่อไทย และได้รับเกียรตินั่งแถวหน้าประกบน้องสาวทั้งสองของ พ.ต.ท.ทักษิณในที่ประชุมพรรค

ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั้งจากคนในพรรคเพื่อไทย บรรดาม็อบต่างๆ และสภากาแฟ ที่มีการจับ
กลุ่มคุยกัน รวมไปถึงใน LINE กลุ่ม ต่างมีการพูดถึงเหตุที่นายจตุพร และนายณัฐวุฒิ กลืนน้ำลายตัวเองออกมาปกป้องรัฐบาลด้วยเหตุผลง่ายๆ แบบไม่มีหลักฐานกันว่า

“สงสัยจะรับกันไปเยอะน่ะ …”

“เขาหากันง่ายๆ น่ะ...”

“เฮ้ย...ถ้าเรานับเลขมันกี่หลัก มันต้องหลักร้อยน่ะ ถึงเปลี่ยนแปลงได้..”

“เจ้าแม่ตัวจริง...ออกมาเคลียร์แบบนี้...โอ้โห..เยอะแน่ถึงยอมสับปลับกันชั่วข้ามคืน...”.ฯลฯ

อีกหลายๆ ข้อวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของแดง นปช.ของนายจตุพรและนายณัฐวุฒิ

สั่ง 10 พย.เคลื่อนทัพ ‘แดง’ เข้าปะทะม็อบต้าน

แต่ที่แน่ๆ วันอาทิตย์ ที่ 10 พฤศจิกายนนี้ ทั้ง 2 คนจะนำทัพคนเสื้อแดงจำนวน 1 แสนคน โดยเฉพาะมวลชนภาคอีสาน และมวลชนภาคเหนือ เคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพฯ จัดม็อบเชียร์รัฐบาล หนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดโต่งและในวันที่ 11 พ.ย.ที่ขอนแก่น 12 พ.ย.ที่เชียงใหม่ 13 พ.ย.ที่อุดรฯ จากนั้นจะตั้งเวทีต่อเนื่อง โดยจะประเมินสถานการณ์เป็นระยะ

แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทยระบุว่า ท่อน้ำเลี้ยงใหญ่ที่จะทำให้สถานะของรัฐบาลมั่นคงอยู่ได้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนางพญาบ้านจันทร์ส่องหล้าที่ออกจากรังมาปรากฏตัวเจรจากับ 2 คู่หู “ตู่-เต้น” ด้วยตนเอง

อีกทั้งยืนยันว่าสถานการณ์ทางการเมืองบีบคั้น พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างมาก ว่าจะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง เพราะการประเมินตัวเลขม็อบต้านที่ผิดพลาด และไม่คิดมาก่อนว่าจะบานปลายไปขนาดนี้ แต่ถ้าถามว่าขณะนี้มีทางที่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะลาออกไหม หรือมีทางที่จะยุบสภาหรือไม่ เรื่องนี้สรุปได้ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ลาออก หรือยุบสภาแน่นอน เพราะหากยุบสภาในเวลานี้เชื่อแน่ว่าเลือกตั้งเข้ามาใหม่พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเสียงกลับมาน้อยมาก

“ก่อนที่จะดันทุกอย่างเข้าสภาฯ ได้คุยกับท่าน ท่านก็พูดเรื่องยุบสภา ท่านก็รู้ว่าจะมีคนออกมาคัดค้าน แต่ไม่รู้ว่าคนจะออกมาเยอะขนาดนี้ ตอนนั้นบอกได้เลยว่า ใครไปพบท่านที่ต่างประเทศ ท่านจะบอกทุกคนที่ไปว่า ไม่ต้องห่วง เดินหน้าเลย ทั้งแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 190 ทั้งผลักดันเงินกู้ 2 ล้านล้าน ทั้งการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 68 ท่านบอกว่า ผมเคลียร์กับผู้ใหญ่จบแล้ว”

คือหมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีความมั่นใจมากว่าทำอะไรไปจะชนะหมด แต่ไม่คิดและไม่เคยคาดการณ์มาก่อนว่า จะเกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง จากคนในระดับที่ต้องเรียกว่าเป็นคนระดับชนชั้นนำทางสังคมทั้งนั้น คือคนที่มีการศึกษาและมีอิทธิพลทางความคิดของคนอื่น โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ และแพทย์

ไม่ลาออก-ไม่ยุบสภา

แต่เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เลือกทาง “ลาออก” และไม่เลือกทาง “ยุบสภา” ในเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินต่อทางไหน?

แหล่งข่าววงในพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า เลือกทางเอามวลชนมาชนมวลชน โดยวันอาทิตย์นี้จะชัดเจนว่าไม่ใช่มีแต่คนต่อต้าน แต่คนหนุนก็มี ซึ่งการระดมคนเข้ามาในกรุงเทพฯ ครั้งนี้เป็นการระดมพลจากส่วนกลาง และมีงบค่าใช้จ่ายจากส่วนกลาง มวลชนที่ระดมไปจะต้องให้ได้จำนวนแสนกว่าคนเป็นตัวยืน

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณอยากให้เป็นคือ เอามวลชนเสื้อแดงมาแสดงภาพให้เห็นว่ามีคนสนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจำนวนมาก และจะอยู่แค่คืนเดียววันจันทร์กลับ โดยพยายามจะไม่ให้เกิดการปะทะมากที่สุด

“ต้องเข้าใจว่าคนที่มาคือคนเสื้อแดง เป็นรากหญ้า เป็นคนละชนชั้นกับม็อบที่ต้าน พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ ดังนั้นคนที่มาจะเป็นคนที่มีคุณสมบัติคือ 1. มีใจรักทักษิณ และ 2. มีค่าจ้าง ดังนั้นไม่ได้จะมาอยู่นานๆ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า บ้านเมืองมันวุ่นวายแล้วนะ ถ้าประชาธิปัตย์ไม่หยุดม็อบ ก็จะเหมือนที่นายสุนัย จุลพงศธร พูด คือ เดี๋ยวเจอกัน ตอนนี้คือเอาประเทศเป็นตัวประกัน”

ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยประเมินว่าฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ จะมีการไประดมมวลชนจากที่ต่างๆ ให้มารวมกันจำนวนมากเช่นกัน

ดังนั้น ศุกร์ (8 พ.ย.) เสาร์ (9 พ.ย) อาทิตย์ (10 พ.ย.) และจันทร์ที่ 11 พ.ย.นี้ คือวันที่ทั้งสองฝ่ายจะระดมมวลชนมากที่สุด และเป็นช่วงร้อนแรงที่สุด

“พ.ต.ท.ทักษิณประเมินว่า ถ้ายุบสภาตอนนี้โอกาสกลับมาได้จำนวนที่นั่งร้อยกว่าที่ก็ไม่คุ้ม ต้องรักษาสถานภาพความเป็นรัฐบาลไว้ก่อน ดังนั้นจึงต้องการให้คนเสื้อแดงออกมาแสดงภาพหนุน ไม่ต้องการให้เกิดการปะทะ และหากผ่าน 4 วันอันตรายนี้ไปได้ ประเมินว่ากระแสม็อบจะเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ เพราะเป็นธรรมชาติของม็อบ”

ที่สำคัญคนไทยเป็นคนจับกระแสเร็ว และเบื่อเร็ว

ช่วงนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จึงต้องอดทนให้มากที่สุด!

หลังจากนั้นค่อยประเมินกระแสเป็นระยะ และเมื่อไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณมั่นใจ ถึงจะตัดสินใจยุบสภา

คือสถานการณ์ที่เขาเป็นต่อแล้วเท่านั้น

“ท่านทักษิณท่านก็เข้าใจ ใครรุนแรงคนนั้นแพ้ แล้วจะไปทำแบบม็อบ เสธ.อ้ายไม่ได้ เพราะม็อบครั้งนี้ไม่เหมือนม็อบ เสธ.อ้ายที่ตอนนั้นสถานการณ์ไม่สุกงอม เป็นม็อบที่จำนวนแตกต่างมาก แตะไม่ได้ แตะปุ๊บลามทันที รัฐบาลจะอยู่ต่อไม่ได้ ตำรวจก็อยู่ไม่ได้”

หวั่น ปปช.ลงดาบ “ทุจริต”ทั้ง ครม.

อย่างไรก็ดี ตอนนี้พรรคเพื่อไทยประเมินว่า นปช.จะสามารถรักษาระดับการชุมนุมไม่ให้เกิดการปะทะได้ แต่สิ่งที่กังวลใจในสเต็ปต่อไปคือ ขั้นตอนการพิจารณาของ ป.ป.ช.ที่จะเป็นดาบที่ “ฆ่า” แล้ว โอกาสพรรคเพื่อไทยจะฟื้นขึ้นมาอีกยากมาก

กระแสต้านครั้งนี้มันแรงที่องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยชูประเด็นการต่อต้านการคอร์รัปชัน และยิ่งมาแรงอีกตอนที่ ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ตั้งโต๊ะแถลงต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะจะทำให้การทุจริตคอร์รัปชันอีกเป็นพันๆ คดีหลุดไปด้วย

“เราดูก็รู้แล้ว ป.ป.ช.ที่มีมติเอกฉันท์เช่นนั้น แปลว่า มีสิทธิลงดาบเราได้ทันที ทั้งเรื่องน้ำ และเรื่องข้าวที่เป็นเรื่องการทุจริต ถ้าเมื่อไร ป.ป.ช.ชี้มูลว่ามีความผิด คณะรัฐมนตรีมีสิทธิผิดทั้งคณะ ต้องหยุดหน้าที่ทันที และต่อจากนั้นจะเป็นการฟ้องไปที่ศาลคดีอาญาแผนกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถึงตอนนั้นพรรคเพื่อไทยจะเสียหายมาก และยากที่จะฟื้นกลับมา”

ไปหมดทั้ง ครม.!

“ทางเราวิเคราะห์ว่าอยากลากรัฐบาลให้อยู่ต่อไปก่อน แต่เรื่องนี้ทำให้คิดหนักว่าต้องยุบสภาหนีไหม แต่ก็นั่นแหละ ถ้ายุบสภา ระหว่างหาเสียง มีคำตัดสินเรื่องนี้ออกมาก็เสียหายอยู่ดี ดังนั้นท่านทักษิณจึงตัดสินใจว่าจะรักษาสถานภาพรัฐบาลไปก่อน รอเวลาที่พร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะต้องชนะ”

อดีตคนเดือนตุลาเชื่อมีสิทธิปะทะ

ด้าน ดร.เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลจะยุบสภาก็ยุบได้เลย แต่มองดูแล้วไม่เลือกทางนี้แน่ และกำลังจะเคลื่อนม็อบออกมาชนม็อบ ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าไม่มีทางไม่ปะทะ

“ม็อบคนเสื้อแดงเป็นม็อบอารมณ์ร้อน ค่อนข้างมีความรุนแรง โอกาสถูกปลุกขึ้นมามีมากที่จะเกิดเหตุการณ์ม็อบปะทะม็อบ”

แต่อย่าคิดว่าคนกรุงเทพฯ จะยอมอีก เขาจะรู้สึกทันทีว่า พ.ต.ท.ทักษิณต้องการข่มขู่คุกคาม กลายเป็นดึงกระแสให้คนออกมามากขึ้น สถานการณ์บานปลายแน่นอน

สิ่งที่ยืนยันความคิดนี้ได้เป็นอย่างดี ดร.เทียนชัยกล่าวว่า ให้วิเคราะห์ไปที่ลักษณะนิสัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นคนไม่เคยยอมแพ้ อย่างเช่นในปี 2553 ทุกฝ่ายยอมแพ้หมดแล้ว ยกเว้น พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงสั่งลุย จากนั้นจึงมีคนตายถึง 91 ศพ

“ลักษณะนิสัยนี้พิสูจน์แล้วว่าเป็นมาตลอด พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดังนั้นโอกาสปะทะมีมาก”

ถึงเวลาประเทศไทยปลอด “ชินวัตร”!

ดังนั้นโอกาสพลิกผันที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่การเมืองร้อนแรงต่อจากนี้ไปมีแค่ 2 ทางคือ

หนึ่ง ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณอาศัยจังหวะชุลมุน ปราบ จับกุมฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด เหมือนที่เกิดขึ้นในอียิปต์ ถือเป็นการกวาดล้างครั้งใหญ่โดยใช้ตำรวจ

หรือไม่ก็เรียกได้ว่า การเมืองไทยจะเข้าสู่ยุค “ปลอดชินวัตร”

“คนไม่ได้เคลมว่ารัฐบาลผิดนะ แต่คนผิด คนที่เขาโกรธแค้นคือคนในตระกูลชินวัตร คนที่เป็นชินวัตรเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเลือดเข้าตา แล้วใครจะไปคุมมวลชนไม่ให้ปะทะได้ คนเป็นแสนๆ คน ดังนั้นจะมาบอกว่าไม่ให้เกิดการปะทะไม่ได้”

ไม่มีใครตอบได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ และจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนาทีนี้เป็นต้นไป

ตอนนี้ ประชาชนจึงสู้กับ คนตระกูลชินวัตร เป็นหลัก!

ถ้าแพ้ โอกาสที่คนชินวัตรจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกก็ยาก แถมอาจอยู่ในประเทศไทยไม่ได้!

“เมื่อไรที่มีการปะทะ ความเสียหายจะเกิดกับคนตระกูลชินวัตรทันที”

ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณมีการประเมินกำลังไปแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกคือช่วงคลิปถั่งเช่าที่ตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณมีความคิดอาจหาญมากคือจะเอาสถาบันมาปกป้องตัวเอง เสนอให้ตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตอนนั้นมีขบวนการออกมาต่อต้าน แต่คนก็มีแค่หมื่นกว่าคน ก็ประเมินว่าไม่เท่าไร

อีกครั้งเมื่อวันที่ 14 ตุลาที่ผ่านมา ก็มีการประเมินกำลังอีกครั้งหนึ่ง มีการแสดงละครจาบจ้วงอย่างมาก คนก็ออกมาต่อต้าน ไม่ถึงหมื่นคนอีก ก็ประเมินอีกว่า ไม่เท่าไร

รวมไปถึงการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศถอนตัวไปด้วย

ตรงนี้ จึงเป็นสาเหตุให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มั่นใจอย่างมากว่า คนต่อต้านไม่มี มีก็น้อยมาก ส่วนการที่ประชาธิปัตย์ออกมาทำม็อบ พ.ต.ท.ทักษิณก็ประเมินว่า ปชป.ไม่มีอะไร ซื้อตัวคนไม่กี่คนก็จบแล้ว ซื้อเมื่อไรก็ได้

ไม่ได้ให้ราคาการต่อต้านจากคนในกลุ่มเลย ดังนั้นจึงดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย และอย่างที่เห็นคือประเมินผิดแบบสุดๆ เพราะไม่เข้าใจว่ารัฐบาลปูย่ำแย่มาก ความเสื่อมศรัทธาสะสมมาถึงจุดระเบิด คือ ปัญหาน้ำท่วม, ปัญหาข้าวของแพง, ปัญหาข้าว, ปัญหาเงินกู้ 2 ล้านล้าน และการทุจริตคอร์รัปชัน

“ความเสื่อมศรัทธาถูกสะสมมาทีละนิดๆ จนถึงวันนี้เรียกว่าวิกฤตความชอบธรรมเต็มขั้น”

พ.ต.ท.ทักษิณตอนนี้ที่ควรจะทำคือ “ยอมแพ้”

แต่ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังดึงดันที่จะใช้มวลชนคนเสื้อแดงเข้ามากดดัน และเมื่อไรที่เสียงปืนแตก ต้องนับว่าคนในตระกูลชินวัตรจะอยู่ในประเทศไทยได้อย่างลำบากยิ่งแล้ว!

และการณ์ทั้งหมดทั้งมวลดูท่าจะไม่เข้าข้างคนตระกูลชินวัตร เมื่อล่าสุดศาลรัฐธรรมนูญก็มีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 รับคำร้อง พิจารณาตามมาตรา 68 ว่า นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา นายนิคม ไวยรัชพาณิช รองประธานรัฐสภา และรัฐสภา ที่กระทำการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมรัฐสภา นอกจากนี้ ยังมีการแก้ไขเนื้อหาในรัฐธรรมนูญมาตรา 190 วรรคสอง มีความมุ่งหมายที่จะจำกัดอำนาจของรัฐสภา ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบการทำหนังสือสัญญาของฝ่ายบริหารให้ลดน้อยลง รวมทั้งเป็นการเพิ่มอำนาจให้ฝ่ายบริหารในการทำหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาให้มากกว่าเดิม จึงถือว่าเป็นการกระทำเพื่อซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่ากรณีมีมูลเป็นการกระทำเพื่อซึ่งอำนาจในการปกครองโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณา

กำลังโหลดความคิดเห็น