ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- ในที่สุดกฎหมายเงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท ฉบับศรีธนญชัย ก็ผ่านวุฒิสภา วาระ 3 เป็นที่เรียบร้อยสมใจนักโทษชายหนีคดีในเวลาตีสามของวันที่ 20 พ.ย. 2556 ไม่ต่างจากกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับลักหลับ เพราะเมื่อชาวประชาตื่นขึ้นมากฎหมายที่อนุญาตให้รัฐบาลกู้เงินก้อนมหึมาก็ยัดเหยียดความเป็นหนี้ให้คนไทยทุกคนยาวไปจนถึงชาติหน้ากันเลยทีเดียว
ที่เจ็บแสบก็คือ เงินจำนวนนี้ยังถูกแปรญัตติแก้ไขว่าไม่ใช่เงินแผ่นดิน ไม่ต้องเอาเข้าคลัง ผลาญกันได้ตามสะดวก และไม่ต้องมีรายละเอียดของโครงการอีกต่างหาก
เมื่อฝ่ายพรรคเพื่อไทย เล่นเกมดึงดันกันขนาดนี้ ฟากประชาธิปัตย์ ที่มีขาใหญ่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งเวทีไล่ขย้ำรัฐบาลอยู่นอกสภาที่ถนนราชดำเนิน มีหรือจะยอมอ่อนข้อรามือ เพราะทันทีที่สภาทาสยกมือสนับสนุนผ่านวาระ 3 ด้วยเสียง 63 เสียงต่อ 14 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง ในเวลา 02.49 น. อีกไม่กี่นาทีต่อมา ในเวลา 03.00 น. ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยื่นหนังสือต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 154 (1) ทันที โดยรออยู่ที่ชั้นล่างบริเวณห้องธุรการ เรียกว่าพอโหวตปุ๊บก็ยื่นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่ธุรการเพื่อลงเลขรับปั๊บ ป้องกันการลักไก่ส่งร่างฯ ไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ
ไม่ใช่แต่พรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้น กลุ่ม 40 ส.ว. ก็เตรียมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเช่นกัน และกลุ่มนี้ก็เชื่อมั่นว่าขัดรัฐธรรมนูญแน่
หัวใจสำคัญของกฎหมายกู้เงินที่หลายฝ่ายเรียกร้องต่อรัฐบาลและรัฐสภาอย่าลุแก่อำนาจใช้เสียงข้างมากลากไป คือ มาตรา 6 ซึ่งนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ ชี้ว่า การแก้ไขมาตรา 6 ที่ว่าเงินกู้ดังกล่าวนี้จะต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง จากร่างเดิมของสภาผู้แทนที่ไม่ต้องนำส่ง เท่ากับว่าการออกกฎหมายพิเศษดังกล่าวทำให้รัฐบาลสามารถกู้เงินและใช้เงินนอกระบบงบประมาณ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า การใช้จ่ายเงินแผ่นดิน ต้องกระทำผ่านกฎหมาย 4 ลักษณะเท่านั้น คือ 1.กฎหมายงบประมาณรายจ่าย 2.กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ 3.กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ และ 4.กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง
นอกจากนี้ ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 และ 167 บัญญัติไว้ว่า งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน ให้ทำเป็นร่าง พ.ร.บ.และต้องมีเอกสารรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณ แต่รัฐบาลกลับเสนอกฎหมายพิเศษกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่มีจำนวนเงินเกือบเท่ากับการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี แต่ไม่มีเอกสารรายละเอียดชัดเจน แม้จะมีเงื่อนไขให้รัฐบาลต้องทำรายงานการใช้เงินต่อฝ่ายนิติบัญญัติ แต่ก็เป็นเพียงการให้รับทราบเท่านั้น โดยไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการอนุมัติ เท่ากับว่าฝ่ายนิติบัญญัติกำลังลงคะแนนเสียงเพียงครั้งเดียว เพื่อให้เกิดการกู้เงินจำนวนมหาศาลเทียบเท่างบประมาณประจำปี ให้ฝ่ายบริหารนำเงินไปใช้ในโครงการนานถึง 7 ปี โดยไม่ต้องกลับมาขออนุมัติจากสภาอีก
ความหายนะของประเทศที่รออยู่เบื้องหน้า ทำให้ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ เตือนว่า หากปล่อยให้ร่างพ.ร.บ.แบบนี้เกิดขึ้นได้ในสภา ต่อไป พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีจะไม่มีความหมายเลย เพราะจะมีวิธีการแยกออกมาหาทางที่จะกู้เงินแบบนี้ ซึ่งการตรวจสอบมีน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยมีการทุจริตเข้มข้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30 ถ้ากู้มา 2 ล้านล้านเท่ากับจะสูญเสียเงินถึง 6 แสนล้านบาท จึงเสนอให้ลดวงเงินกู้เหลือ 3.5 แสนล้านเพราะเป็นการกู้ข้ามช่วงเวลาปกติของสภา ไม่มีความเป็นธรรมสำหรับรัฐบาลชุดอื่นเพราะรัฐบาลนี้เหลือเวลาบริหารอีก 2 ปี ขณะที่โครงการมีอายุ 7 ปี
นอจากนั้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สามารถแยกออกมาทำเป็นรายโครงการได้ ไม่จำเป็นต้องผูกไว้เป็นเข่งเดียวกัน การที่รัฐบาลเอาทุกโครงการมารวมแบบเหมาเข่ง ไม่ต่างจากพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งสุดซอย ที่เอาคดีที่จะช่วยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง เป็นเครื่องบังหน้า เอามาห่อหุ้มคดีทุจริต คดียิง ฆ่า เผา คดีอุจฉกรรจ์ โดยเอามามัดรวมในเข่งเดียวกัน ถ้ารับก็ต้องรับไปทั้งหมด เหมือนกรณีเงินกู้ 2 ล้านล้าน
คำถามคือ ทำไมเอาโครงการที่ดีมีประโยชน์มารวมกับโครงการเน่าๆ อื่นๆ ที่ไม่ได้มีการทำการประเมินเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องชุมชน การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจ ความคุ้มทุน และโอกาสคืนทุน การเขียน พ.ร.บ แบบนี้ หวังบังคับสภาให้รับไปทั้งเข่ง และยังมีการทำตัวเลขกลมๆ เป็นเหมือนให้สภาเซ็นเช็คเปล่าให้ผู้บริหาร โดยไม่มีรายละเอียดที่มากพอ
โครงการนี้มีเงินจ้างผู้เชี่ยวชาญสูงถึง 4-5 หมื่นล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าแม้โครงการหลายโครงการที่ไม่สามารถบรรลุผลเพราะยังไม่มีการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และชุมชนต่อต้าน แต่เงินส่วนที่อยู่นอกค่าก่อสร้างจะถูกใช้จ่ายไปโดยจะไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ของโครงการแต่อย่างใด
อีกทั้งโครงการเมกกะโปรเจ็กต์แบบนี้ สถาบันการเงินที่อยากให้กู้ จะมีการจ่ายเงินปากถุงสำหรับผู้อนุมัติการกู้อย่างแน่นอน ทำให้โครงการที่อยู่นอกงบประมาณแบบนี้ขาดการตรวจสอบ ขาดความโปร่งใสและนำไปสู่การทุจริตได้ง่าย ในขณะที่สร้างความเหลื่อล้ำทางสังคมมากขึ้น เพราะงบประมาณที่มีอยู่ จำกัด ควรนำไปใช้จ่ายในกิจการที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานมากกว่า
ส.ว.รสนา โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัว เพิ่มเติมอีกว่า ปัจจุบันหนี้สาธารณะ 5.3 ล้านล้านเท่ากับ 46% ของ GDP ยังไม่รวม เงินกู้ 2 ล้านล้าน เงินขาดดุลงบประมาณปีละ 2.5-3 แสนล้าน จำนำข้าว 6 แสนล้าน น้ำท่วม 1.2 แสนล้าน พ.ร.ก แก้น้ำท่วม 3.5 แสนล้าน รวมแล้ว 8.67 ล้านล้าน รัฐบาลยังสร้างหนี้ได้เรื่อยๆ ทุกปี แต่ขายของ ส่งออกได้น้อยลง
“ดอกเบี้ยที่ต้องเสียปีละเป็นแสนล้าน แต่มีปัญญาจ่ายแค่3% ของงบประมาณรายจ่ายในแต่ละปี แล้วดอกจะไม่ทบต้นไปเรื่อยๆ เงินต้นไม่มีปัญญาจ่ายหรอก”
ประเทศเราก็คงไม่ต่างจากชาวนา กรรมกรที่กู้หนี้ยืมสิน จนมีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่เงินที่กู้ยืม ไม่ได้เอามาให้คนในครอบครัวได้กินดีอยู่ดี คนที่กินดีอยู่มีแค่คนจำนวนน้อย ใช้อำนาจกู้และใช้ฟุ่มเฟือยแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ รวมถึงทุจริตเอาเข้าพกเข้าห่อ แล้วให้คนทั้งประเทศจ่ายหนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ลูกหลานไทยจะมีหนี้เกิน 50 ปี อย่างแน่นอน เด็กไทยเกิดมามีหนี้ทันที เรียกว่า กว่าจะถึงอนุบาลก็มีหนี้ท่วมเสียแล้ว และเมื่อเงินกู้ 2 ล้านล้านไม่ต้องเอาเข้าคลัง นักธุรกิจการเมืองผ่องถ่ายใส่กระเป๋าตัวเองได้สบาย แล้วควักเงินจากกระเป๋าขาดๆ ของประชาชนใช้หนี้
นิยามพวกศรีธนชัย เงินกู้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน เพราะจะไม่เอาเข้าคลังเพื่อความคล่องตัวในการใช้ เลยบอกว่าไม่ใช่เงินแผ่นดินแต่หนี้ 2 ล้านล้าน ตอนใช้หนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ต้องตั้งเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายจึงเป็นเงินแผ่นดิน “ในการแปรญัตติแก้ไขมาตรา 6 กรรมาธิการเสียงข้างมากได้แก้ไขตามคำแปรญัตติของดิฉัน ส.ว ประสาร มฤคพิทักษ์ และ ส.ว สุธรรม พันธุศักดิ์ ให้นำเงินกู้ส่งเข้าคลัง แต่โหวตแพ้ สมาชิกที่เห็นด้วย มี 44 ไม่เห็นด้วย 68 งดออกเสียง 4”
หากวิเคราะห์ให้ลึกลงไป ส.ว.รสนา มองว่า สโลแกน "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" ควรจะพูดให้ตรงว่า "ทักษิณบงการ เพื่อไทยต้องทำ" เพื่อไทยเสนอ ร่าง พ.ร.บ. 2 ฉบับ คือร่างพ.ร.บ. นิรโทษเหมาเข่งสุดซอยที่ถูกขนานนามว่า "ฉบับลักหลับประเทศไทย" ซึ่งผ่านร่างพ.ร.บ ในยามวิกาลขณะที่คนหลับใหล พอตื่นขึ้นมาเลยเป็นเรื่อง
ส่วนร่างพ.ร.บ.กู้เงิน2ล้านล้าน ก็ควรเรียกว่าเป็นฉบับปล้นกลางแดดประเทศไทย โดยอาศัยเสียงข้างมากยกมือให้รัฐบาลกู้นอกงบประมาณที่มีจำนวนสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย คือ 2 ล้านล้าน ให้ลูกหลานไทยเป็นหนี้ไปอีก 50 ปี หรือเราอาจเรียกร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า "กฎหมายกู้มาโกง โดยปราศจากการตรวจสอบ"
ร่าง พ.ร.บ. 2 ฉบับนี้ คือ กล่องดวงใจ ของทักษิณ และเพื่อไทย ถ้าร่างกู้เงิน 2 ล้านล้าน ผ่านสภาเมื่อไหร่ เพื่อไทยก็พร้อมยุบสภา
ส่วนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ คือ แก้ไขที่มาของ ส.ว และ มาตรา 190 เพื่อกระชับอำนาจฝ่ายบริหาร เบียดขับประชาชนออกจากพื้นที่การเมือง แต่ร่างแก้ไขรธน.เป็นเรื่องรอได้
การเดินเกมรุกของทักษิณผ่านพรรคเพื่อไทย ด้วยการเสนอร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับที่ไม่ใช่ประโยชน์ของประชาชน และทักษิณย่อมรู้ว่ากฎหมายทั้ง 4 ฉบับล้วนมีที่หมายปลายทางที่ศาลรัฐธรรมนูญ
“ทักษิณ เป็นพ่อค้า การเสนอร่างกฎหมายทั้ง 4 ฉบับเหมือนให้มีการต่อรองราคา เขาเชื่อว่าศาลรธน.ต้องยอมให้ผ่านอย่างน้อยสัก 1 ฉบับ และร่างที่ทักษิณอยากได้มากที่สุดเฉพาะหน้าคือร่างเงินกู้ 2 ล้านล้าน รองลงมาจากร่างนิรโทษสุดซอย เซตซีโรความผิดทั้งปวงให้ตัวเขาเอง เพื่อจะได้เงินที่ถูกยึดคืนก่อนเป็นอันดับแรก ....ได้ร่างก.มผ่านสักฉบับ ก็ถือเป็นกำไรแล้ว โดยเฉพาะถ้าผ่านร่างเงินกู้ 2 ล้านล้านได้สำเร็จ ถือว่าลงทุนเลือกตั้งมาได้กำไรเกินคุ้มแล้ว”
ทักษิณคงคิดไม่ถึงว่าร่างนิรโทษสุดซอย เพื่อเซตซีโร่ความผิดของทักษิณทั้งปวงจะปลุกประชาชนไทยขึ้นมาต่อต้านอย่างมืดฟ้ามัวดินได้ขนาดนั้น จนเพื่อไทยต้องถอยกรูดออกนอกซอยไปก่อน ในคลิปถั่งเช่า ได้เปิดเผยความรู้สึกของทักษิณที่ดูถูกคนต่อต้านว่าไม่มีน้ำยาอะไร หากเขาเจรจากับระดับบนได้ ก็ หมดปัญหา แต่เขาคงรู้ว่าเขาคิดผิด
ทักษิณและเพื่อไทยมั่นใจว่าร่างเงินกู้ 2 ล้านล้าน ก็จะผ่านฉลุยจากศาลรัฐธรรมนูญเหมือนร่างพ.ร.บ และ ร่าง พ.ร.ก ที่เกี่ยวด้วยการเงินทุกฉบับของรัฐบาล ศาลรธน.จะยอมให้ผ่านเสมอ แต่ประชาชนที่เป็นเจ้าของเงิน จะยอมปล่อยให้ประเทศไทยถูกปล้นกลางแดด และทิ้งหนี้สินให้ลูกหลานของเราไปอีก 50 ปีกระนั้นหรือ? เสียงข้างน้อยในสภาไม่อาจทานแรงเสียงข้างมากในสภาได้ มีแต่เสียงทางตรงของประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงินเท่านั้นที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะปล่อยให้เขาออกกฎหมายปล้นเงิน แล้วทิ้งหนี้สินไว้ให้ลูกหลานของเราไปยาวนาน 50 ปีหรือไม่
ถ้าประชาชนสามารถยับยั้งร่างกฎหมายกล่องดวงใจทักษิณทั้ง 2 ฉบับ คือ ร่างกฎหมายฉบับ" ลักหลับประเทศไทย " และร่างกฎหมาย " กู้มาโกง 2 ล้านล้าน" ได้สำเร็จ นั่นคือจุดเริ่มต้นของประชาธิปไตยทางตรงของประชาชนที่สามารถกำกับความฉ้อฉลของเสียงข้างมากในสภาได้
ว่าไปแล้ว เวลานี้ประชาธิปไตยแบบไทยๆ แบบพวกมากลากไป กำลังพาชาติเข้าสู่วิกฤต ทำลายประเทศชาติให้หายนะ ดังที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน ธรรมศาสตร์อภิวัฒน์ประชาธิปไตย ระบบพวกมากลากไป "จากลักหลับถึงสับขาหลอก" ว่า กับดักประชาธิปไตยคือระบบทุนนิยม เช่น โครงการรถคันแรก และจำนำข้าว ที่มีการขาดทุนกว่า 4 แสนล้านบาท ซึ่งอนาคตประเทศไทยจะเป็นหนี้สาธารณะเกินกว่า 65% จึงขอเสนอให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเพิ่มมาตราในกฎหมายว่า ก่อนที่รัฐบาลจะใช้เงิน รัฐบาลจะต้องเสนอต่อรัฐสภาว่า จะหาเงินมาได้อย่างไร ทั้งนี้ เพื่อลดการเพิ่มหนี้ให้แก่ประเทศ
พร้อมกับส่งเสียงเรียกร้องไปยังฝ่ายการเมืองว่า อย่าใช้ทุนนิยมเพื่อทำลายฐานะการเงินของประเทศชาติ และการกู้เงินต้องกู้มาเพื่อลงทุน ไม่ใช่กู้มาเพื่อใช้จ่ายโดยไม่มีรายได้กลับคืน