xs
xsm
sm
md
lg

ซัดเด็กเจ๊"ด"งาบข้าวถุง แฉกู้2ล้านล้านมีเงินทอน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- “หมอวรงค์”เปิดโปงขบวนการโกงข้าวถุง 2.5 ล้านตัน แฉเอื้อบริษัทใกล้ชิดนักการเมือง "ว" สายตรงเจ๊ "ด" ร่วมมือกันงาบ เผยหากสำเร็จได้หัวคิวสูงถึง 5 พันล้าน แต่ดันถูกจับได้ โชว์วาทะเด็ด "ลำยองกินเหล้า ยิ่งลักษณ์กินเมือง" ก่อนถูกลูกหาบประท้วงวุ่น "วราเทพ"ร้อนตัว ท้าพิสูจน์ความจริง "กรณ์"ถล่มซ้ำ รัฐบาลกู้เงินเถื่อน 4.5 พันล้าน หลังพ.ร.ก.กู้น้ำหมดอายุ ปูดอีก กู้ 2 ล้านล้าน มีเงินทอน 6 แสนล้าน แถมมีนักธุรกิจ "ศ" ไล่ซื้อที่ดินล่วงหน้า

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวานนี้ (27พ.ย.) เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.30 น. เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง

การอภิปราย เริ่มจากนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายเรื่องการทุจริตโครงการจำนำข้าว และตั้งชื่อการอภิปรายครั้งนี้ว่า "จุดจบจำนำข้าว สู่อวสานรัฐบาลยิ่งลักษณ์" โดยครั้งนี้ได้เปิดโปงกระบวนการทุจริตข้าวถุงถูกใจ ข้าวถุงธงฟ้า และข้าวถุงอคส. ที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ได้มีมติให้จัดทำรวม 4 ครั้ง รวม 2.5 ล้านตัน ได้แก่ 1.เดือนต.ค.2554 จำนวน 1 แสนตัน 20 ล้านถุง 2.เดือน มี.ค.2555 จำนวน 1 แสนตัน 3.เดือนพ.ค.2555 จำนวน 5 แสนตัน และ 4.เดือนธ.ค.2555 จำนวน 1.8 ล้านตัน แยกเป็นเดือนละ 3 แสนตัน 6 ครั้ง

***ชำแหละขบวนการโกงละเอียดยิบ

นพ.วรงค์ตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดจึงมีการจัดทำข้าวถุงพร่ำเพรื่อ ทั้งที่การจัดทำข้าวถุงตั้งแต่ครั้งที่ 1 ยังไม่เสร็จ ก็ยังเดินหน้ามีมติในครั้งต่อๆ มา และการทำสัญญาแต่ละครั้ง ยังเป็นสัญญาปลายเปิด ไม่มีการระบุว่า จะต้องทำให้เสร็จภายในเมื่อใด ที่หนักไปกว่านั้น การทำข้าวถุงครั้งที่ 4 ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐกล้าลงนามในสัญญา เพราะพบว่ามีปัญหามาก และที่ได้ข้อมูลจาก พ.ต.ต.ศราวุฒิ สกุลมีฤทธิ์ หรือ สารวัตรเหยิน อดีตผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้ยอมรับว่า มีการทุจริตจริง หากเกิดอะไรขึ้นจะต้องรับผิดชอบคนเดียว ฝ่ายการเมืองเอาตัวรอด จึงไม่กล้าลงนาม และจากนั้นไม่กี่วัน พ.ต.ต.ศราวุฒิ ก็ถูกพักงาน และอีกไม่นานก็เสียชีวิต

ทั้งนี้ จากตรวจสอบพบว่า ข้าวถุง อคส. ที่อคส. จ้างโรงสีปรับปรุงข้าว จำนวน 120 ล้านถุง ไม่เคยพบว่ามีอยู่ในตลาด เพราะไม่มีข้าวจริง มีเจตนาทุจริตชัดเจน โดยเป็นการร่วมมือกัน 3 ฝ่าย คือ 1.อคส. 2.โรงสีที่รับปรับปรุงข้าว 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท เจียเม้ง จ.นครราชสีมา บริษัท โชควรลักษณ์รุ่งเรืองกิจ จ.ลพบุรี และ บริษัท สิงโตทองไรซ์ จ.กำแพงเพชร และ 3.บริษัทตัวแทนจำหน่ายข้าวถุง 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท สยามรักษ์ บริษัท คอนไซน์เทรดดิ้ง และบริษัท ร่มทอง โดย อคส. จ้างผลิต และส่งข้าวให้ตัวแทนจำหน่ายทั้ง 3 แห่ง ราคาถุงละ 65.70 บาท เพื่อให้ไปขายประชาชนถุงละ 70 บาท แต่ทั้ง 3 บริษัท ไม่ได้นำไปขายให้ประชาชน แต่นำไปจำหน่ายคืนให้โรงสีที่รับปรับปรุงข้าว โดยทำกันที่ อคส. แล้วออกใบส่งมอบข้าว และจ่ายเงินผ่านเช็คธนาคาร ไม่มีการแปรเป็นข้าวถุงจริง ถือเป็นการโกหกแบบหน้าด้านๆ เรื่องนี้มีหลักฐานชัดเจน

พออภิปรายมาถึงตรงนี้ นพ.วรงค์ ได้ขออนุญาตเปิดคลิปสนทนาที่มีเนื้อหาการชี้แจงของตัวแทนของบริษัท คอนไซน์เทรดดิ้ง กับ บริษัท ร่มทอง ที่ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร และยอมรับว่าไม่มีประสบการณ์ขายข้าวถุง จึงขายคืนให้โรงสีที่รับปรับปรุงข้าวทั้ง 3 แห่ง แต่นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานการประชุม ไม่อนุญาตให้เปิดคลิป เนื่องจากคณะกรรมการพิจารณาเอกสารหลักฐานประกอบการอภิปรายไม่อนุญาต เพราะคลิปดังกล่าว ยังไม่ได้รับการยินยอมจากบุคคลภายนอกให้นำมาเปิดเผยได้ ทำให้ส.ส.ประชาธิปัตย์ หลายคนไม่พอใจ รุมประท้วง แต่นายวิสุทธิ์ ยืนยันว่า ไม่สามารถเปิดคลิปได้ และให้ดำเนินการอภิปรายต่อไป ซึ่งนพ.วรงค์ ก็ได้ย้ำว่า แม้จะไม่สามารถเปิดคลิปได้ แต่ก็มีหลักฐานเป็นคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัท สยามรักษ์ บริษัท คอนไซน์เทรดดิ้ง และบริษัท ร่มทอง ว่า มีการขายข้าวคืนให้โรงสีที่รับปรับปรุงข้าวทั้ง 3แห่งจริง

**แฉรัฐมนตรี ว. สายตรงเจ๊ ด. ร่วมงาบ

นพ.วรงค์ อภิปรายต่อ ในส่วนของบอร์ด อคส. มี พ.ต.ท.ไพโรจน์ ปัญจประทีป เป็นประธานบอร์ด คนในวงการรู้ดีว่าเป็นเด็กนายใหญ่ มี นพ.เกรียงชัย ประสงค์สุกาญจน์ เป็นรองประธานอคส. เป็นเพื่อนนักเรียนแพทย์รุ่นเดียวกับ นพ.วีรวุฒิ วัจนะพุกกะ หรือ หมอโด่ง อดีตเลขานุการ รมว.พาณิชย์ ที่เคยพูดถึงในการอภิปรายครั้งที่แล้วว่าเป็นจอมรับงานโครงการจำนำข้าว ซึ่งที่ผ่านมา บริษัท โชควรลักษณ์ ที่มี "เสี่ยเปี๋ยง" ผู้ใกลชิดนายใหญ่ที่เป็นนอมินีมาหาประโยชน์ให้ แต่ขณะนี้มีตัวละครใหม่ คือ บริษัท สิงโตทองไรซ์ จ.กำแพงเพชร มี “เสี่ยหรั่ง” หรือนายมนต์ชัย ที่คนในวงการรู้ดีว่ามีรัฐมนตรี “ว” สายตรงเจ๊ “ด” เป็นแบ็กให้ และแม้จะเป็นบริษัทเข้ามาใหม่ แต่ได้รับโควตาทำข้าวถุงถึง 1.5 แสนตัน เพราะสมัยนี้ฝ่ายการเมืองเขาไม่กินเอง แต่จะมีบริษัทรับงานจัดการให้

ส่วนบริษัท เจียเม้ง แม้จะไม่มีนักการเมืองเป็นแบ็ก แต่ใจถึงตอบสนองความต้องการฝ่ายการเมืองได้ แต่ระยะหลัง เริ่มรู้ตัว ก็ผันตัวออกจากโครงการ โดยมี บริษัท สิงโตทองไรซ์ และบริษัท โชควรลักษณ์ เข้ามาแทนที่

นพ.วรงค์กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบยังพบว่า บริษัท คอนไซน์เทรดดิ้ง และบริษัท ร่มทอง ต่างทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหมือนกัน และผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง 2 ปี เมื่อมารับทำโครงการ แต่ขายไม่เป็น เลยต้องขายคืนให้ 3 โรงสี ดังนั้น 2 บริษัทนี้ จึงเป็นแค่พระอันดับ ขณะที่บริษัท สยามรักษ์ เป็นบริษัททำดอกไม้แห้ง สมุนไพรส่งออก เข้ามาเป็นบริษัททำข้าวถุง ตั้งแต่เริ่มโครงการ ซึ่งข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เมื่อวันที่ 20 ก.ค.2554 พบว่า มีนายเกรียงศักดิ์ ประสงค์สุกาญจน์ เป็นกรรมการบริษัท ซึ่งเป็นพี่น้องกับ นพ.เกรียงชัย และยังมี นพ.วีรวุฒิ วัจนะพุกกะ เป็นกรรมการบริษัทด้วย แต่หลังจากนั้น นพ.วีรวุฒิ ได้ลาออกมาเป็นเลขานุการ รมว.พาณิชย์

“หมอโด่ง มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับญาติของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้วนายกฯ จะไม่รับผิดชอบได้อย่างไร ขอถามใจนายกฯ ว่า ทำอย่างไร ปล่อยให้มีการโกงทุกขั้นตอน แล้วยังมาอ้างทำข้าวถุงขายให้คนจน แล้วยังโกงอีก วนไปเวียนมา อยู่กับคนที่ใกล้ชิดนายกฯ ดังนั้น นายกฯ ไม่ต้องไปไหน เรื่องนี้จะเป็นชนักติดตัวไปตลอด นายกฯ ควรชี้แจงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะคนใกล้ชิดนายกฯ ได้รับประโยชน์ ทีแรกคิดว่า นายกฯ ไม่รู้ อยู่ในฐานะนั่งเรือที่โจรพาย แต่ตอนหลังมีการโกงทั้งจีทูจี ทั้งข้าวถุง น่าจะเป็นพายเรือร่วมกับโจร รัฐบาลนี้ไม่ได้ช่วยคนจน แต่เอาคนจนมาทำมาหากิน”

นพ.วรงค์ อภิปรายว่า การปรับปรุงข้าวของโรงสี ซึ่งรับซื้อข้าวจาก อคส.ในราคาถุงละ 65.60 บาท ดังนั้น 1 ตัน 200 ถุง จะเท่ากับมีต้นทุน 13,120 บาท และได้ค่าปรับปรุง 24 บาทต่อถุง รวม 1 ตัน โรงสีจะได้เงิน 4,800 บาท สรุปแล้วต้นทุนของโรงสีจะเหลือตันละ 8,320 บาท ทำให้มีการนำข้าวนี้กลับไปเวียนเทียนข้าวอีกรอบ ในราคาตันละ 14,000 บาท เท่ากับโรงสีจะได้กำไรเพิ่มอีก 5,680 บาทต่อตัน

นอกจากนี้ มติการจัดทำข้าวถุงครั้งที่ 4 จำนวน 1.8 ล้านตัน นักวิชาการคำนวณว่า จะมีกำไร 8,520 ล้านบาท แต่ตนทราบมาว่า ฝ่ายการเมือง ขอแบ่งไป 5,000 ล้านบาท ที่เหลือให้โรงสีไปแบ่งกันเอง แต่เมื่อมีการจับทุจริตการทำข้าวถุงได้ก่อน ทำให้ครม.มีมติ วันที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา ให้ชะลอการทำข้าวถุงออกไป ทำให้ความเสียหายเหลือเพียง 1.2 หมื่นล้านบาท แต่หากจับไม่ได้ จะเกิดความเสียหายถึง 5 หมื่นล้านบาท

โดยในช่วงท้ายการอภิปราย นพ.วรงค์ กล่าวปิดท้ายพร้อมชูป้ายเขียนข้อความระบุว่า “ลำยองกินเหล้า ยิ่งลักษณ์กินเมือง” จึงไม่สามารถไว้วางใจให้บริหารงานต่อได้ แต่ถูก ส.ส.พรรคเพื่อไทย รุมประท้วง นพ.วรงค์ จึงยอมถอนคำพูดดังกล่าว

** "วราเทพ"ออกอาการกินปูนร้อนท้อง

จากนั้น นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรมช.เกษตรและสหกรณ์ ขอใช้สิทธิ์ถูกพาดพิงทันทีโดยยืนยันว่า นพ.วรงค์ มีเจตนาที่จะกล่าวถึงตนอย่างชัดแจ้ง พยายามเน้นชื่อบริษัท จ.กำแพงเพชรตลอด และบอกว่ารัฐมนตรีอักษรย่อ “ว.” เป็นแบ็ก ทำให้ตนเสียหาย โดยยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ถ้านพ.วรงค์มีหลักฐาน ก็พร้อมที่จะไปพิสูจน์ทุกรูปแบบ เพราะการกล่าวหาว่ามีบริษัทอยู่ในจังหวัดของนักการเมืองคนหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องรู้จักกัน แต่การรู้จักไม่ได้หมายความว่ารู้เห็นการกระทำ จะถูกหรือผิด ก็ยังไม่ทราบ

ทำให้ นพ.วรงค์ ลุกขึ้นประท้วงว่า ไม่คิดว่า รัฐมนตรีจะกินปูนร้อนท้องขนาดนี้ แต่ยืนยันว่า ข้อมูลที่ตรวจสอบพบว่าเป็นบารมีของรัฐมนตรี “ว.” คนหนึ่งในสาย เจ๊ "ด." ไม่ได้กล่าวหาใคร ขณะที่ นายวราเทพ ชี้แจงว่า ตนคิดไม่ผิดว่าจะต้องพูดว่ากินปูร้อนท้อง และใช้ลักษณะของการล่อ ใช้ชื่อมาก่อน และลุกขึ้นมาพูด ตนยืนยันว่าเป็นลักษณะการใช้เกมฉ้อฉล เพื่อจะผูกเรื่องนี้ให้มีความน่าเชื่อถือ

**"ปู"รับไม่เคยนั่งหัวโต๊ะประชุมกขช.

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ชี้แจงข้อกล่าวหาของ นพ.วรงค์ ว่า แม้ว่าตนจะเป็นประธาน กขช. โดยตำแหน่ง แต่ตนได้มอบหมายให้นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เป็นประธานการประชุมทุกครั้ง และยืนยันได้ว่า การทำงานของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวเป็นประโยชน์และสามารถช่วยชาวนาให้มีฐานะดีขึ้น ส่วนการกล่าวหาเรื่องทุจริต ตนยืนยันว่าไม่รู้จักบุคคล หรือบริษัทที่ระบุในการอภิปรายเรื่องข้าวถุง แต่หากพบว่าในขั้นตอนใดที่มีปัญหาการทุจริตหรือรั่วไหล จะดำเนินการตามขั้นตอนไม่มีละเว้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการอภิปรายดำเนินไป บรรยากาศในที่ประชุมเริ่มระอุ เมื่อรัฐมนตรีหลายคนได้พยายามจะขอใช้สิทธิ์ชี้แจงแทน น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยอ้างว่าถูกพาดพิงถึง อาทิ นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ แต่ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประท้วงคัดค้านไม่ให้ชี้แจง เพราะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะที่เป็นประธาน กขช. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบปัญหาที่เกิดขึ้นทุกอย่าง แต่นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภา ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม ได้วินิจฉัยว่า ผู้ถูกพาดพิงสามารถชี้แจงได้ ทำให้ถกเถียงกันไปมา จนมีคำสั่งให้เชิญตัว นายไชยวัฒน์ ไตยรสุนันท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ออกจากห้องประชุม ท่ามกลางเสียงตะโกนทักท้วงจากฝั่ง ส.ส.ประชาธิปัตย์ ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างวุ่นวายร่วม 10 นาที

** "พาณิชย์"โต้ทำข้าวถุงแค่ 5.9แสนตัน

เมื่อเหตุการณ์สงบ นายนิวัฒน์ธำรง ได้ชี้แจงว่า ทั้งนายกฯ และตน ไม่เกี่ยวข้องกับการทุจริต และที่ว่านำข้าว 2.5 ล้านตันไปทำข้าวถุงนั้น มีโครงการทำข้าวถุงจริง แต่เบิกไปทำเพียง 5.9 แสนตัน ที่เหลือคืนคลัง โดยตนสั่งการเอง ดังนั้น ตัวเลข 2.5 ล้านตัน จึงไม่เป็นความจริง ความเสียหายถ้ามี ก็มีเพียงเท่านั้น ส่วนประเด็นสารวัตรเหยิน ถือว่ามีความผิด ไล่ออกจาก อคส. และมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงแล้ว เรื่องทุจริตทั้งหลายถ้ามีจริงก็จะอยู่ในระดับนั้น หากฝ่ายค้านมีข้อมูลขอให้ส่งมาเพื่อดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป

***"ยรรยง"ซัดปลุกผีสร้างชื่อให้ตัวเอง

นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ กล่าวชี้แจงว่า การอภิปรายของฝ่ายค้านเป็นการปลุกผีคนตาย คือ พ.ต.ต.ศราวุฒิ ที่เสียชีวิตไปแล้วขึ้นมาสร้างชื่อให้ตนเอง แล้วทำลายชื่อเสียงรัฐบาล เพราะรัฐบาลได้อนุมัติให้มีการทำข้าวถุงเพียง 7 แสนตัน ทำจริง 5.9 แสนตัน เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ประชาชนใน 5 จังหวัดภาคใต้ และผู้มีรายได้น้อย ส่วนการกล่าวหาว่ามีการทุจริตในการทำสัญญาจ้างทำข้าวถุงให้กับบริษัทพวกพ้อง ก็ไม่เป็นความจริง เพราะข้าวเก็บไว้นาน เมื่อจะใช้ต้องมีการปรับปรุง และได้มีการประกาศหาผู้ปรับปรุงเปิดเผย ต่อมาเมื่อถูกกล่าวหานำข้าวไปหมุนเวียน รมว.พาณิชย์ก็ได้มีคำสั่งให้ชะลอการทำข้าวถุง และได้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและตรวจสอบทางวินัย

***หมอวรงค์นำคลิปแจกสื่อมวลชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นพ.วรงค์ ได้นำคลิปที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดในห้องประชุมมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน โดยภาพในคลิปเป็นตัวแทนของบริษัท ร่มทอง และบริษัท คอนไซน์เทรดดิ้ง ที่เกี่ยวกับการขายข้าวถุงให้โรงสีทั้ง 3 แห่ง ความยาว 2 นาที และแจ้งอีกว่า จะนำไปเผยแพร่ในยูทูปใช้ชื่อว่า “คำสารภาพขายข้าวถุง-ร่มทอง-คอนไซน์ฯ” ส่วนข้อมูลต่างๆ สื่อมวลชนสามารถขอได้จากรัฐสภา เนื่องจากเป็นข้อมูลที่มาจากการประชุมคณะกรรมาธิการพัฒนาการเศรษฐกิจที่เปิดเผยให้ประชาชนรับทราบอยู่แล้ว

**แฉอีกรัฐบาลกู้เงินเถื่อน 4.5 พันล้าน

นายกรณ์ จาติกวนิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีในข้อหาใช้อำนาจเกินกว่าขอบเขตในการกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อบริหารจัดการน้ำ เนื่องจาก พ.ร.ก.กู้เงินดังกล่าวใน มาตรา 3 บัญญัติว่าให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินภายในวันที่ 30 มิ.ย.2556 แต่หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีกลับเดินหน้าต่อ โดยดำเนินการกู้เงินเพิ่มตั้งแต่เดือนก.ค.-พ.ย.2556 อีก 4.5 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นการกู้เถื่อน และกระทำขัดต่อกฎหมาย นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจเกินกว่าที่รัฐบาลจะทำได้

ส่วนการลงนามกู้เงินในสัญญา 6 ฉบับกับสถาบันการเงิน 4 แห่ง เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2556 ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกร และธนาคารออมสิน ก็ยังไม่มีการกู้ สถาบันการเงินก็ยืนยันว่ายังไม่ได้ให้เงินกู้ และแผนบริหารหนี้สาธารณะของกระทรวงการคลังฉบับเดือนก.ย.2556 ก็ไม่ได้บันทึกว่าเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทเป็นหนี้สาธารณะ เพราะยังไม่ได้กู้ ดังนั้น การกู้เงินจึงไม่เป็นไปตามพ.ร.บ.กู้เงิน เนื่องจากเลยวันที่ 30 มิ.ย.2556 มาแล้ว หากจะกู้อีกต้องร้องต่อศาลก่อน

***แฉกู้เงิน2ล้านล้านมีเงินทอน6แสนล้าน

นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในโครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่า การกู้เงินดังกล่าว 1.เอื้อให้มีการทุจริต 2.ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง 3.สร้างหนี้ให้ประชาชน และ 4.ตบตาประชาชนเพื่อสร้างคะแนนนิยม เพราะทราบว่า โครงการดังกล่าวมีเงินทอน 30% หรือ 6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปได้ เพราะแค่โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงอย่างเดียวมีเงินทอนสูงถึง 3.3 แสนล้านบาทแล้ว และยังมีวิธีโกงอื่นๆ อีก ทั้งการเพิ่มเงินลงทุน เช่น

ค่าที่ดิน ค่าเวนคืน ค่าจ้างที่ปรึกษา และยังมีการแก้ตัวเลขผลตอบแทนการลงทุนรถไฟความเร็วสูงตามใบสั่งผู้มีอำนาจ รวมทั้งยังทราบว่า มีนักธุรกิจ "ศ" ไปกว้านซื้อที่ดินล่วงหน้า เพื่อให้นักการเมือง "ด" กินค่าหัวคิวด้วย

ขณะที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ได้ลุกขึ้นชี้แจงว่า ยืนยันแต่ละโครงการที่อยู่ในโครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท มีคณะกรรมการคอยตรวจสอบ ทุกโครงการต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ส่วนที่มีการกล่าวหามีการเตรียมการทุจริต ขออย่าเพิ่งไปเชื่อ ถ้ามีข้อมูลจริง ก็ให้แจ้งมา ตนจะดำเนินการต่อไป

** ตั้งพวกพ้องเสวยสุขในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ

นายจุติ ไกฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายโจมตีถึงความไม่โปร่งใสเกี่ยวกับการแต่งตั้งบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจของรัฐบาล ว่า รัฐวิสาหกิจของประเทศไทยมีจำนวนมาก แต่มีรัฐวิสาหกิจอยู่ 3 กิจการ ที่มีการแต่งตั้งกรรมการไม่โปร่งใส่ ได้แก่ โทรคมนาคม พลังงาน และธนาคาร เพราะพบว่ามีการตั้งอดีตนายทหารที่เป็นเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร บุคคลที่เคยผ่านการบริหารบริษัทในเครือชินคอร์ป อดีตข้าราชการที่ใกล้ชิด อดีต ส.ส. เข้าไปเป็นกรรมการจำนวนมาก

ยกตัวอย่างเช่น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) แต่งตั้ง นายจุลสิงห์ วสันต์สิงห์ ซึ่งเคยเป็นอัยการสูงสุด ที่ไม่สั่งฟ้องคดีการหลีกเลี่ยงภาษีของครอบครัวชินวัตรต่อศาลฎีกา นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ที่เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งกรรมการอิสระในธนาคารกรุงไทยด้วย เช่นเดียวกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่มีนางอาภัททรา ศฤงคารินกุล เข้ามาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการของธนาคาร โดยในอดีตเคยเป็นผู้บริหาร บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือชินคอร์ป

นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังได้สั่งการให้รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นอดีตอธิบดีมหาวิทยาลัยชินวัตร ไปดูทรัพย์สินของรัฐวิสาหกิจ 56 แห่ง เช่น รถไฟ อสมท. องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ที่ดินอู่ต่อเรือกรุงเทพ ที่ดินการท่าเรือ ที่รถไฟฟ้า โดยให้ดูว่ามีที่ไหนบ้างที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับรัฐได้ ซึ่งคิดว่า เรื่องนี้ นายกฯ มีวิสัยทัศน์เพื่อพวกพ้องหรือเพื่อประชาชน
กำลังโหลดความคิดเห็น