ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- ไม่ว่าจะตีความอย่างไร ตีความแบบคนไทยรักชาติหรือคนไทยขายชาติ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ราชอาณาจักรไทยได้เสียดินแดนและอธิปไตยหรือพื้นที่ปราสาทพระวิหารให้ราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้วจากผลคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก(International Court of Justice) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา
ส่วนจะเสียมากน้อยแค่ไหน ขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เนื่องจากศาลโลกเองก็ไม่ได้กำหนดไว้ แต่ที่มีการคำนวณกันอย่างคร่าวๆ คืออยู่ที่ประมาณ 1 ตารางกิโลเมตร หรือราว 625 ไร่ ซึ่งต้องถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเมื่อเทียบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ.2505 ได้กำหนดบริเวณซึ่งมีเนื้อที่บริเวณปราสาทพระวิหารประมาณ 0.25 ตารางกิโลเมตร
จะมีก็แต่ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบกเท่านั้นที่ยังคงเป็น “ก้อนเนื้ออันเลอะเลือน” ด้วยการประกาศว่า ไทยยังไม่เสียดินแดน พร้อมด้วยการจัดฉากสร้างภาพกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทหารไทยกับทหารเขมรอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ใครหรืออ้ายอีคนไหนที่เกี่ยวข้องและมีส่วนทำให้ราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดนในครั้งนี้?
แน่นอน คำตอบในเรื่องนี้ชัดเจนยิ่ง เพราะไม่ว่าจะแก้ตัว หมกเม็ดหรือตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จอย่างไร ก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้
และคนๆ นั้นจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจาก 1 ชายที่ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ 1 หญิงที่ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เนื่องจากทั้งสองคนคือผู้ที่จะสามารถหยุดยั้งการเสียดินแดนให้กับราชอาณาจักรกัมพูชาได้ ทว่า ทั้งสองคนกลับมิได้ดำเนินการใดๆ เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างสุดความสามารถ
ยิ่งนายกฯ ยิ่งลักษณ์ด้วยแล้วยิ่งหนักเข้าไปอีก เพราะพยายามจะบิดเบือน “หลอกคนทั้งประเทศ” ว่าเป็นผลคำพิพากษาที่เป็นคุณกับประเทศไทย ทั้งๆ ที่ทำให้ต้องสูญเสียดินแดน
ทั้งสองคนคือจำเลยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียดินแดนของราชอาณาจักรไทยและจำต้องบันทึกเอาไว้ในจดหมายเหตุประเทศไทย เพราะพวกเขาคือทำให้คนไทยถูกปล้นแผ่นดินไปต่อหน้าต่อตาหลังจากที่เคยเจ็บปวดมาแล้วกับคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ.2505 ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3
** “มาร์ค” แมลงสาบ คนบาปหมายเลข 1 แห่งพระวิหาร
ราชอาณาจักรไทยจะไม่มีวันเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียว ถ้าหาก “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะไม่ดื้อตาใสและไม่อ่อนด้อยในเกมการเมืองระหว่างประเทศด้วยการยอมเล่นเกมที่ลูกหลานพระยาละแวกวางกับดักเอาไว้ในการนำข้อพิพาทปราสาทพระวิหารสู่การพิจารณาของศาลโลก ทั้งๆ ที่รู้ว่า คำพิพากษาที่จะออกมามีได้เพียงแค่ 2 หน้าคือ ประเทศไทย “เจ๊ง” กับ “เจ๊า” และไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยว่า คำว่า ชนะ สะกดอย่างไร
รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์แห่งพรรคประชาธิปัตย์กระเหี้ยนกระหือรือเลือกที่จะเดินเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกตามเกมของกัมพูชาโดยยกข้ออ้างว่า เพื่อจะได้เข้าไปให้ข้อมูลและแก้ต่างแทนที่จะปฏิเสธอำนาจของศาลโลกและไม่เข้าสู่กระบวนการต่อสู้คดี โดยมี “นายกษิต ภิรมย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นชูรักแร้สนับสนุนอย่างเต็มที่
ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านี้...ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
ขณะนั้น คณะกรรมการมรดกโลกได้จัดให้มีการประชุมขึ้นที่ประเทศบราซิล เป็นการประครั้งที่ 34 โดยมีวาระสำคัญคือ ประเทศกัมพูชาจะต้องนำเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารหลังจากที่รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเรียบร้อยแล้ว
คนไทยทั้งชาติคาดหวังว่า รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์น่าจะเข้าใจปมปัญหาของปราสาทพระวิหารเป็นอย่างดี และตระเตรียมแผนรับมือยุทธศาสตร์การต่อสู้ของกัมพูชาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ดังจะเห็นได้จากการที่นายอภิสิทธิ์หยิบ ยก เรื่องดังกล่าวมาอภิปรายในรัฐสภา รวมทั้งอีกหลายครั้งในต่างกรรมต่างวาระ
แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า ตลอดระยะเวลาราว 2 ปีที่นายอภิสิทธิ์ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เขามิได้ใส่ใจ สนใจและมีแผนปฏิบัติการในการจัดการกับปัญหาประสาทพระวิหารเลยแม้แต่น้อย แถมยังทำประหนึ่งปรารถนาเพียงแค่ผลักภาระเรื่องนี้ให้พ้นไปจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้นเป็นพอ
นายอภิสิทธิ์ที่มีความสุขกับเป้าหมายสูงสุดในชีวิตคือการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศยังคงอิ่มเอมอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ จนเวลาล่วงเลยไปจนถึงการประชุมครั้งที่ 34 ของคณะกรรมการมรดกโลกที่จัดขึ้นที่ประเทศบราซิล และมีวาระสำคัญคือ การเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่ประสาทพระวิหารของราชอาณาจักรกัมพูชาอีกครั้ง
นายอภิสิทธิ์ทำเพียงแค่การส่ง “นายสุวิทย์ คุณกิตติ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เดินทางเข้าร่วมประชุม ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วก็มิได้มีความลึกซึ้งหรือมีความเข้าใจในมิติที่เต็มไปด้วยความซับซ้อนของปัญหาดินแดนและการเมืองระหว่างประเทศแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีของฝั่งกัมพูชาที่เดินทางไปทำหน้าที่เหมือนกันแล้ว นายสุวิทย์ก็ไม่ต่างอะไรจาก “หมาป่า” กับ “ลูกแกะ”
ผลจากการประชุมดังกล่าวทำให้ประชาชนคนไทยได้รับรู้ถึง “ภาวะผู้นำ” ของนายอภิสิทธิ์ที่ต้องถือว่า “ไร้เดียงสา” และอ่อนด้อยในเวทีการเมืองโลกเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อเทียบกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาที่มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วยแล้วยิ่งเห็นชัดเจน
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาของนายอภิสิทธิ์เป็นการแก้ปัญหาแบบขอไปที ไม่ได้มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีที่เครือข่ายภาคประชาชนขอให้รัฐบาลวอล์กเอาท์ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่บราซิลเพื่อตัดปัญหาความสุ่มเสี่ยงที่ประเทศจะต้องยอมรับแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหาร อันจะนำไปสู่การเสียอธิปไตยแห่งดินแดน นายอภิสิทธิ์ก็ไม่ทำ จนกระทั่งในวันประชุมคือวันที่ 28 ก.ค. 2553 คณะรัฐมนตรีถึงได้มีมติให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แสดงท่าทีคัดค้านและให้ออกจากห้องประชุมทันที ถ้าหากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกมีการโหวต และมีแนวโน้มว่าจะรับแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารตามที่กัมพูชาเสนอ
หรือการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและเครือข่ายขอให้รัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการส่งไปถึงยูเนสโกและคณะกรรมการมรดกโลกเพื่อคัดค้านกัมพูชา แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่ทำ กระทั่งในวันประชุมคือวันที่ 28 ก.ค.คณะรัฐมนตรีถึงได้มีมติคัดค้านกัมพูชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกออกมา พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงท่าทีของรัฐบาลไทยส่งไปยังองค์การยูเนสโก ที่ประเทศฝรั่งเศส และประธานคณะกรรมการมรดกโลก
ส่วนมาตรการขั้นเด็ดขาดคือ การถอนตัวออกจากภาคีสมาชิกยูเนสโกนั้น ในความเป็นจริงแล้ว รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะต้องมีมติคณะรัฐมนตรีออกมาในทันทีเพื่อให้นายสุวิทย์ใช้เป็นเครื่องมือในการทำงานว่า ถ้าหากยูเนสโกเห็นดีเห็นงามกับกัมพูชา รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจะถอนตัวจากภาคีสมาชิกทันที แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์กลับเล่นเกม “แทงกั๊ก” จนปราศจากซึ่งความเด็ดขาดในการทำงาน
ต่างจากกัมพูชาที่นายซก อาน (Sok An) รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวก่อนออกเดินทางไปประเทศบราซิลว่า กัมพูชาไม่เคยมี "พื้นที่ทับซ้อน" กับไทยอยู่ที่นั่น พร้อมทั้งนำคณะทูตานุทูตมีทั้งหมด 20 นาย รวมทั้งจากสถานทูตอังกฤษ ออสเตรเลีย คิวบา ฟิลิปปินส์ ลาว เวียดนาม และพม่า ได้ไปเยี่ยมชมตลาดเชิงเขาพระวิหารทางฝั่งไทย ที่กัมพูชากล่าวหาว่า ถูกทหารไทยยิงทำลายเสียหายยับเยิน ระหว่างการปะทะกัน
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ไม่เคยมีท่าทีที่แข็งกร้าวเพื่อตอบโต้กัมพูชาเลย ด้วยข้ออ้างที่ไร้เดียงสาว่า กลัวจะเกิดสงคราม
กระทั่งภาคประชาชนและพันธมิตรฯ ทนไม่ได้ ต้องลุกขึ้นออกมาประท้วงและเรียกร้อง นายอภิสิทธิ์ ถึงได้เปลี่ยนท่าที
นอกจากนั้น ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่มิอาจมองข้ามไปได้ก็คือ จริงๆ แล้ว นายสุวิทย์ต้องการประกาศใช้ยาแรงด้วยการถอนตัวออกจากภาคีสมาชิกมรดกโลกในทันทีโดยที่ไม่ต้องไปเจรจาต่อรอง แต่ปัญหาก็คือ เมื่อมีการโทรศัพท์มารายงานให้นายอภิสิทธิ์ได้รับทราบ เขากับค้านท่าทีของนายสุวิทย์ในทันที ทำให้นายสุวิทย์ไม่เข้าใจในท่าทีของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งแหล่งข่าวระดับสูงที่รับรู้เหตุการณ์ดังกล่าวยืนยันตรงกันว่า นายสุวิทย์ถึงกับถอดใจและคิดที่จะเดินทางกลับประเทศไทยทันที แต่ภายหลังถูกเกลี้ยกล่อมจนต้องตัดสินใจเข้าร่วมประชุมต่อไป
ถามว่า ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีเคยคิดที่จะผลักดันให้ชุมชนกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในดินแดนของไทยหรือไม่
ถามว่า ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีเคยคิดที่จะจัดการกับวัดแก้วสิขาคีรีสะวารา ซึ่งกัมพูชามาสร้างบริเวณฝั่งตะวันตกของปราสาทพระวิหารและอยู่นอกเขตที่กั้นรั้วลวดหนามตามมติครม. 10 ก.ค.2505 หรือไม่
ถามว่า ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เกิดกรณีทหารกัมพูชาจับตัว “นายพนิช วิกิตเศรษฐ์” ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และคนไทยอีก 6 คน เช่น นายวีระ สมความคิด ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ฯลฯ พร้อมตั้งข้อหาบุกรุกดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2553 ขณะลงไปสำรวจพื้นที่บริเวณชายแดนบ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว แทนที่นายอภิสิทธิ์จะยืนยันหนักแน่นว่า คนไทยกลุ่มดังกล่าวถูกจับกุมในดินแดนของไทย นายอภิสิทธิ์กลับพูดหน้าตาเฉยว่า ณ ที่แห่งนั้นคือดินแดนของกัมพูชา
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว บริเวณดังกล่าว เป็นพื้นที่พิพาทที่ยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องของเขตแดนระหว่างทั้งสองประเทศที่ชัดเจน หนำซ้ำยังมีข้อมูล ยืนยันเสียด้วยซ้ำไปว่าเป็นดินแดนใต้อธิปไตยของไทย
ที่สำคัญคือกระทั่งบัดนี้ นายวีระ สมความคิด ก็ยังไม่ได้ถูกปล่อยตัวมา
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ ในขณะที่กัมพูชานำข้อพิพาทปราสาทพระวิหารเข้าสู่การพิจารณา นายอภิสิทธิ์กล่าวอย่างชัดเจนว่า “เราไม่เสียเปรียบในการสู้คดีที่ศาลโลก เราพร้อมทั้งในด้านข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง"
โก กล่าวว่า นี่คือความดื้อตาใสของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และจนกระทั่งศาลโลกมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 นายอภิสิทธิ์ ก็มิได้ออกมายอมรับถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วยการเอ่ยปาก “ขอโทษ” คนไทยทั้งประเทศเพราะรัฐบาลของตนเองมีส่วนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
มาวันนี้ นายอภิสิทธิ์ก็ยังคงเล่นเกมการเมืองแบบเดิมๆ ด้วยการให้คำแนะนำรัฐบาลในทำนองว่า รัฐบาลไทยไม่จำเป็นต้องยอมรับคำตัดสินของโลกก็ได้ แถมยังยกตัวอย่างอีกต่างหากว่า แม้ไทยเป็นส่วนหนึ่งของสหประชาชาติ แต่หลายประเทศที่เป็นสมาชิกที่มีบทบาทสำคัญของสหประชาติทั้งรัสเซีย อเมริกา ก็ไม่ปฏิบัติตามมามากแล้ว ซึ่งรัฐบาลต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการแสดงท่าที เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเจรจาในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ
ทว่า คำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ในช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เคยมีท่าทีในทำนองนี้หรือไม่
และที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ก็คือ ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพไม่เคยที่จะนำเรื่องข้อเท็จจริงของความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นมาพูดบนเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เลยแม้แต่น้อย
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ แถลงการณ์ของกองการข่าวและตอบโต้เร่งด่วนของสำนักงานคณะรัฐมนตรีกัมพูชา ที่มีเนื้อหาโจมตีกรณีการเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกัมพูชา-ไทย และพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะการเจรจาอย่างลับๆ ระหว่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2552 ที่ จ.กันดาล ประเทศกัมพูชา และยังได้พบปะกับนายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ฮ่องกง เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2552 และต่อมาที่เมืองคุนหมิง เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2553
นี่ใช่ใหมที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ต้องอมสาก ไม่กล้าพูดถึงการพ่ายแพ้คดีตีความคดีปราสาทพระวิหาร อย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะตัวเองมีส่วนทำให้ไทยเสียดินแดนด้วยเช่นกัน
** “ปู” นายกฯ นกแก้ว คนบาปหมายเลข 2 แห่งพระวิหาร
ถัดจากนายอภิสิทธิ์ ชื่อที่คนไทยจะต้องจดจำและบันทึกเอาไว้ในบัญชีหนังหมาก็คือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ซึ่งนั่งถ่างขาควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกตำแหน่งหนึ่ง เพราะถ้าจะว่าไปแล้วก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับนายอภิสิทธิ์คือ มิได้กระทำการใดๆ ที่จะแก้ปัญหา แต่มุ่งหน้าแต่เล่นเกมการเมืองเพื่อมุ่งหวังทำลายศัตรูทางการเมือง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ถ้านางสาวยิ่งลักษณ์มีสมองและไม่ได้เป็นเพียงแค่รัฐบาลหุ่นเชิดของพี่ชาย เธอย่อมต้องคิดได้ว่า หายนะภัยกำลังมาเยือนราชอาณาจักรไทยจากคำพิพากษาของศาลโลกนับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งและก้าวขึ้นเป็นรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดิน
แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เองกลับมิได้กระทำการใด
แถมขณะที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศต่างลุ้นระทึกว่าผลคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร นางสาวยิ่งลักษณ์กลับแอ่นระแน้เตรียมเดินทางไปเยือนเอธิโอเปียระหว่างวันที่ 12-15 พ.ย.56 เพื่อปาฐกถาเรื่อง “การวางแผนครอบครัวและบทบาทสตรี” หน้าตาเฉยก่อนที่ตัดสินใจยกเลิกหลังถูกก่นด่า
นอกจากนี้ เมื่อผลของคำพิพากษาออกมาแล้ว แทนที่นางสาวยิ่งลักษณ์จะชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับประชาชนผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย แต่นายกฯ นกแก้วกลับบิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยการบอกว่า ไทยมิได้เสียดินแดน ทั้งๆ ที่เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ที่สำคัญคือ โดยข้อเท็จจริงแล้ว การที่ราชอาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดนในขณะที่นางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งเดียวที่จะเกิดขึ้นก็คือการแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำสูงสุดของประเทศด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่งนี้ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข
จะมีอะไรยิ่งใหญ่และน่าอับอายขายขี้หน้าไปกว่าการที่ราชอาณาจักรไทยต้องเสียดินแดนของประเทศ
แต่นางสาวยิ่งลักษณ์กลับมิได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ
ยิ่ง “อ้ายปึ้ง-นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ เนื่องเพราะมีพฤติกรรมที่แทบจะไม่ได้มีอะไรเป็นคุณกับแผ่นดินเกิดจนหลายคนพาลนึกไปด้วยซ้ำไปว่า เป็นรัฐมนตรีของกัมพูชา
1 มกราคม 2556 นายสุรพงษ์ยอมรับว่า คดีปราสาทพระวิหารเป็นคดีที่น่าหนักใจมาก มีแต่เสมอตัวกับแพ้เท่านั้น คือถ้าแพ้ก็เสียดินแดน ถ้าหากเสมอตัวก็คงคำพิพากษาปี 2505 เอาไว้ คือ ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา พื้นที่รอบปราสาทเป็นของไทย
และหลังศาลโลกมีคำพิพากษา นายสุรพงษ์ก็ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า “วันนี้เชื่อว่าคนไทยฟังคำตัดสินแล้ว เข้าใจว่าไทยไม่ได้เสียหาย แต่ได้ประโยชน์ที่การต่อสู้ครั้งนี้มีความชัดเจนขึ้น”
แต่จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรที่ทั้งนางสาวยิ่งลักษณ์และนายสุรพงษ์จะมีท่าทีเช่นนี้ เพราะถ้าหากย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของทั้งสองคนก็ยิ่งเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้น
มีอย่างที่ไหน ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าผลของคำพิพากษาจะออกมาเพียงแค่ 2 ทางคือ “เจ๊ง” กับ “เจ๊า” แต่นายสุรพงษ์กลับบอกว่าให้ยอมรับคำตัดสิน แถมก่อนที่คำพิพากษาจะออกมาไม่กี่วันนายสุรพงษ์โดยคำสั่งของนางสาวยิ่งลักษณ์ และอาจจะรวมไปถึงนักโทษชายหนีคดี กลับไปตั้งโต๊ะเจรจากับ “นายฮอร์ นัม ฮง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2556 ที่โรงแรมฮอลิเดย์ พาเลซ เมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา เสร็จแล้วก็ข้ามฟากมาแถลงข่าวร่วมกันที่โรมแรมอรัญเมอร์เมด อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
อ้ายปึ้งแถลงออกมาชัดแจ้งว่า การเจรจาต้าอวยในครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของนางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรีไทยและสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยแถลงการณ์มีทั้งหมด 4 ข้อ ซึ่งสรุปรวมความให้สังคมเข้าใจเหลือบรรทัดเดียวว่า “ทั้งไทยและกัมพูชาจะยอมรับผลการตัดสินของศาลโลก”
ต่อมา เมื่อศาลมีคำพิพากษาออกมาว่าไทยต้องเสียดินแดน นายสุรพงษ์ก็บอกหน้าตาเฉยว่า ผลคำพิพากษาเป็นที่น่าพอใจของทั้งสองฝ่าย เช่นเดียวกับนางสาวยิ่งลักษณ์ที่บอกหน้าตาเฉยว่า ผลคำพิพากษาเป็นคุณกับฝ่ายไทย
“เชื่อว่าหลายประเทศเมื่อศาลโลกพิพากษามาแล้ว ทั้งสองประเทศก็ต้องหารือแนวทางตามเจตนาของศาลโลก เพราะไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง ซึ่งคงอยู่ที่สองประเทศถ้าสามารถที่จะหารือในการบริหารพื้นที่ร่วมกันได้ก็น่าจะเป็นประโยชน์”นางสาวยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 11 พ.ย.2556
“การตัดสินของศาลโลกที่ออกมาถือว่าเป็นผลบวกกับฝ่ายไทย แต่ยังมีประเด็นเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งเราก็คงต้องมาหารือกันในรายละเอียดต่อไป ที่ผ่านมาเราทำอย่างดีที่สุด ซึ่งเชื่อว่าวันนี้เราก็มีความสบายใจว่า บรรยากาศในเมืองไทยก็ดีใจที่เห็นพี่น้องประชาชนในบริเวณชายแดนนั้นมีความร่วมใจกันมากขึ้น ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ในความเป็นจริง หากดูจากประเด็นคำตัดสินก็ถือว่าเรามีความพอใจในหลายๆ เรื่อง และเรื่องที่เป็นพื้นที่ใหญ่ก็พอใจ สำหรับพื้นที่เล็ก เราก็จะใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงต่อไป”นางสาวยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 13 พ.ย.
การเสียดินแดนนี่น่ะหรือคือสิ่งที่นายสุรพงษ์ พอใจ
การเสียดินแดนนี่น่ะหรือคือสิ่งที่นางสาวยิ่งลักษณ์ บอกว่าเป็นคุณกับฝ่ายไทย
นี่ไม่นับรวมถึงข้อสงสัยเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 190 ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลานี้พอดิบพอดี ซึ่งนั่นเท่ากับว่า การเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาเพื่อตกลงกันในเรื่องเขตแดนจะไม่ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาอีกต่อไป โดยรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายบริหารสามารถดำเนินการได้ทันที ราวกับว่าเป็นเรื่องที่ตระเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า
ยิ่งฟังคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ก็ยิ่งเห็นได้ชัด เพราะแสดงความมุ่งมาดปรารถนาที่จะ “พัฒนาพื้นที่ร่วมกัน” เป็นทุนเดิมดังที่โคลนนิ่งผู้พี่ได้วางแนวทางเอาไว้ตั้งแต่ต้นเพื่อแลกกับขุมทรัพย์มหาศาลในอ่าวไทย
ทั้งนี้ สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์แล้ว สังคมมิได้แปลกใจอะไรที่มีท่าทีต่อการเสียดินแดนเช่นนี้ เพราะรับรู้อยู่เต็มหัวใจแล้วว่า มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาลฮุนเซน ยิ่งนักโทษชายหนีคดีผู้เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะสมเด็จฯ ฮุนเซนถึงกับออกปากว่าเป็น “เพื่อนรักชั่วนิรันดร์” และแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจของสมเด็จฯ ฮุนเซ็น ก่อนที่จะลาออกในเวลาต่อมา
นอกจากนั้น ในช่วงที่ผ่านมานักโทษชายทักษิณก็มักเดินทางเข้ากัมพูชาบ่อยครั้ง เช่น ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รัฐบาลฮุนเซนก็เปิดประเทศต้อนรับคนเสื้อแดงให้เดินทางไปรดน้ำดำหัวนักโทษชายหนีคดีอย่างโจ่งแจ้ง
แถมเครือญาติคนหนึ่งซึ่งได้แก่ลูกสาวของ “เจ๊แดง” และ “ชายตู้เย็น” ยังได้แต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกับลูกชายของนักการเมืองกัมพูชาที่ใกล้ชิดกับสมเด็จฯ ฮุนเซนอีกต่างหาก
ด้วยเหตุดังกล่าว จงอย่าแปลกใจว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำว่า นี่เป็นชัยชนะของทั้งสองประเทศ
ขณะที่ในการสู้คดี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ทำประหนึ่งว่าไม่ได้ให้ความสำคัญ โดยผลักภาระทั้งหมดให้ “ทูตวีรชัย พลาศรัย” เพียงเพื่อจะเล่นเกมการเมืองว่า เป็นทีมต่อสู้คดีที่ตั้งขึ้นในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นขายของ อีกทั้งตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยคือนายสุรพงษ์ ก็เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า มิได้มีขีดความสามารถหรือคุณสมบัติใดๆ ที่จะผลักภาระให้โดยลำพัง
เว้นเสียแต่ว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์พอใจกับคำว่า นี่เป็นชัยชนะของทั้งสองประเทศ
สุดท้าย สิ่งที่สังคมกำลังเฝ้าจับตามองอย่างใกล้ชิดก็คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะประกาศยอมรับและปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก หรือมีท่าทีอื่นใดที่นอกเหนือไปจากนี้ ดังเช่นที่ได้ประกาศกลางที่ประชุมร่วมรัฐสภาร่วมเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2556 ว่า
“ขอยืนยันว่าไม่เคยพูดว่าจะยอมรับคำพิพากษา พูดเพียงไม่ว่าผลตัดสินเป็นอย่างไร จะดูแลความเรียบร้อยและความสัมพันธ์ที่ดีให้คงอยู่ และไม่ว่ารัฐบาลไปดำเนินการอย่างไรก็จะนำเข้ามารับฟังความเห็นและขอมติรัฐสภา ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ทำการใดๆ จนกว่าจะได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา