xs
xsm
sm
md
lg

ขจัดทักษิณซินโดรม ต้องขุดรากเหง้าออกไป

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต

การจัดการปัญหาใดก็ตาม หากกระทำอย่างผิวเผินและเพียงเสี่ยงเสี้ยวโดยขจัดเพียงอาการที่ปรากฏของปัญหา อย่างดีที่สุดก็เพียงบรรเทาอาการได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่รากเหง้าของปัญหายังคงดำรงอยู่และเมื่อมีบริบท จังหวะที่เหมาะสม ปัญหาก็จะปะทุขึ้นมาใหม่และยังทวีความรุนแรงยิ่งกว่าเดิมจนยากที่จะแก้ไขเยียวยาได้

สังคมไทยในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมามีสภาพคล้ายคนป่วยหนัก ด้วยถูกเชื้อทุนนิยมสามานย์และประชานิยมโจมตีกัดกินจนทำให้คุณธรรมของสังคมสั่นคลอนอ่อนแอ ผู้คนจำนวนมากที่ติดเชื้อนี้มีอาการบ้าคลั่งแสดงอาการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนอย่างสุดขั้ว มีโอกาสทุจริตได้เมื่อไร ก็ไม่ลังเลที่จะกระทำ ซ้ำยังยอมรับและส่งเสริมหากการทุจริตให้ทำให้ตนเองได้รับส่วนแบ่ง แม้จะเป็นเพียงเศษเนื้อที่ถูกโยนให้มาก็ตาม

อาการที่สำคัญอีกประการหนึ่งอันเป็นผลพวงจากเชื้อโรคร้ายนี้คือ การลุแก่อำนาจหรือการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ใช้กลไกรัฐตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษปิดกั้นบั่นทอนเสรีภาพของประชาชน และใช้ ส.ส.เสียงข้างมากในสภาเป็นเครื่องมือในการละเมิดหลักการ ทำลายเนื้อหา และบิดเบือนธรรมเนียมปฏิบัติของวิถีประชาธิปไตย

ที่ผ่านมา แม้จะมีประชาชนจำนวนหนึ่งในสังคมพยายามชี้ให้เห็นภยันตรายของโรคร้ายเผด็จการทุนนิยมสามานย์ที่แอบแฝงมาในคราบของประชาธิปไตย แต่ประชาชนส่วนใหญ่ดูเหมือนจะไม่อินังขังขอบมากนัก ด้วยถูกมายาคติพลางสายตา หรือไม่ก็ยอมจำนนด้วยไม่รู้ว่าจะขจัดโรคร้ายนี้อย่างไร หรือไม่ก็อดทนจมปลักอยู่กับโรคร้ายและกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน

จวบจนอาการของโรคปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงในช่วงที่ผ่านมา เมื่อบรรดาเชื้อโรคทั้งหลายลงมือปฏิบัติการ “ลักหลับ” ประเทศไทย ประชุมถึงตีสี่ รุมกระหน่ำรวบรัดขั้นตอน ปิดกั้นการอภิปรายของฝ่ายค้านยกมือผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง

การที่ ส.ส. พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลผ่าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมล้างความผิดแก่ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร นักโทษหนีคุกคดีทุจริต และกลุ่มที่โกงบ้านกินเมือง รวมทั้งกลุ่มก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง เป็นอีกอาการหนึ่งของโรคเผด็จการทุนสามานย์ ที่เรียกว่า “ทักษิณซินโดรม”

เมื่ออาการของโรคร้ายนี้ปะทุขึ้นมาก็ได้ทำให้ประชาชนจำนวนมากเริ่มรู้สึกตื่นตระหนกและเริ่มตระหนักถึงภยันตรายที่คุกคามต่อสุขภาวะของสังคม ประชาชนจำนวนมากมายมหาศาลจึงได้ร่วมมือกันออกมาชุมนุมกดดันจนทำให้บรรดาเชื้อโรคทุนสามานย์ต้องถอยร่นหลบรี้หนีหายไปชั่วขณะหนึ่ง

ทั้งยังส่งกระแสพลังไปยังวุฒิสภา จนสามารถทำการยับยั้งร่างกฎหมายทำลายสังคมฉบับนี้เอาไว้ได้เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2556 แต่ทว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงการกดอาการของโรคมิให้สำแดงออกมาชั่วคราว หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป 180 วัน หากบรรดาเชื้อโรคทั้งหลายยังดำรงอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร อาการของโรคนี้ก็จะปรากฏออกมาอีกครั้งซึ่งจะทำให้สังคมไทยต้องเจ็บป่วยหนักอีกหนอย่างเลี่ยงไม่ได้

ประชาชนบางส่วนอาจคิดว่าการกดอาการของโรคให้หายไปชั่วคราวเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจแล้ว แต่การคิดเช่นนั้นเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้เชื้อโรคร้ายของเผด็จการทุนสามานย์ได้ฟื้นตัว และมีโอกาสวิวัฒนาการ จนดื้อยา จากนั้นจะกลับมาใหม่ด้วยความเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม เมื่อถึงเวลานั้นการจะจัดการเชื้อโรคนี้ให้หมดไปก็อาจสายเกินไป หรือไม่ก็ยิ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่สังคมเพิ่มมากขึ้นกว่าขจัดเสียแต่ตอนนี้ เปรียบเหมือนมะเร็ง หากรักษาเสียตั้งแต่ระยะแรกหรือระยะที่สองก็ยังพอมีโอกาสหายได้ แต่หากปล่อยไปถึงระยะสาม ความยากลำบากก็มากขึ้น การรักษาจะทำให้ร่างกายเสียหายมาก และเมื่อถึงระยะสี่โอกาสที่จะรอดชีวิตก็แทบจะไม่เหลืออีกเลย

โรคเผด็จการทุนสามานย์ซึ่งสำแดงอาการ “ทักษิณซินโดรม” ออกมา หากเปรียบเทียบกับมะเร็งก็เป็นระยะที่สามแล้ว ดังนั้นหากปล่อยให้เชื้อโรคนี้แพร่เชื้อครอบงำการเมืองและประเทศไทยอีกต่อไป ก็จะเข้าสู่ระยะที่สี่ และหากปล่อยไปถึงตอนนั้น สิ่งที่เราจะได้พบเห็นคือ การพังทลายลงของสังคมต่อหน้าต่อตา

ดังนั้นกลุ่มคนที่พึงพอใจต่อการถอยชั่วคราวของทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อไทยจึงต้องกลับไปทบทวนใหม่ และคิดให้หนักยิ่งกว่าเดิมถึงผลในระยะยาว

การรักษาโรคทางสังคมและการเมืองมีบางส่วนคล้ายคลึงกับการรักษาโรคทางกายภาพในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งการรักษาด้วยยา เคมีบำบัด และการผ่าตัด ผู้ป่วยอาจต้องประสบกับความเจ็บปวดและได้รับผลกระทบบ้าง นั่นเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของการเยียวยารักษา ยิ่งผู้ใดป่วยเป็นโรคร้ายแรงมากเท่าไร ก็ยิ่งอาจจะทำให้ได้รับผลกระทบของการรักษามากขึ้นเท่านั้น

เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อเราปล่อยให้สังคมป่วยเป็นโรคร้ายแรงเรื้อรังมานาน โดยปล่อยปละละเลยจนกระทั่งโรคร้ายนั้นเกาะกินทำลายสังคม จนถึงขั้นรุนแรงในปัจจุบัน การรักษาก็ต้องใช้พลังอย่างมหาศาล ใช้วิธีการที่หลากหลาย และต้องกระทำอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งโรคร้ายนี้หายไปหรือสามารถควบคุมไม่ให้ออกมาทำร้ายสังคมได้อีกต่อไป แน่นอนว่ากระบวนการรักษาโรคทางสังคมซึ่งอยู่ในระยะร้ายแรงแล้ว ผลกระทบจากการรักษาก็คงต้องมีบ้างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แต่การกลัวผลกระทบ แล้วตัดสินใจยุติการรักษาโรคลงกลางคัน ดูจะเป็นทางเลือกที่ไม่ค่อยมีเหตุผลและไม่ชาญฉลาดเท่าไรนัก เพราะผลที่ตามมาของการยุติการรักษารังแต่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้น จนถึงขั้นการล่มสลายของสังคมได้

สังคมไทยได้เผชิญวิบากจากอาการทักษิณซินโดรมนี้มาอย่างยาวนานนับสิบปี บางครั้งบางคราวอาการทักษิณซินโดรมก็หายไปชั่วคราวด้วยความร่วมมือร่วมใจของประชาชนและสถาบันทางสังคมทั้งหลาย แต่เนื่องจากเราไม่ได้ขจัดต้นตอและแหล่งของโรคอันเป็นรากเหง้าของปัญหาให้หมดสิ้น จึงทำให้เมื่อเวลาผ่านไปอาการทักษิณซินโดรมก็ผุดขึ้นมาอีก

เราคงจะต้องจดจำ เรียนรู้และสรุปบทเรียนเสียที และนำบทเรียนนั้นมาเป็นแนวทางในการจัดการกับปัญหาอย่างเป็นระบบ หากเราไม่ใส่ใจบทเรียน เราก็จะกระทำผิดซ้ำซาก ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งหลายคราวช่วง 12 ปีที่ผ่านมา

วันที่ 20 พ.ย. 2556 ที่กำลังจะถึงนี้ หวังว่าศาลรัฐธรรมนูญอันเปรียบเสมือนแพทย์ทางการเมืองจะได้วินิจฉัยโรคทางการเมืองได้อย่างถูกต้องและครอบคลุม และลงมือกำหนดแนวทางการรักษาที่จะสามารถขจัดอาการทักษิณซินโดรมให้หายไปจากสังคมไทยได้ เพื่อเปิดทางให้ภาคประชาชนได้ร่วมกันกำหนดแนวทางในการรักษาและขจัดเชื้อโรคร้ายของเผด็จการทุนนิยมสามานย์ได้ต่อไป

หากอาการทักษิณซินโดรมไม่หายขาด ก็ยากที่จะลงมือขจัดเชื้อโรคและแหล่งการเพาะพันธุ์แพร่ขยายของโรคได้ ดังนั้นสิ่งนี้จึงเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นที่จะต้องลงมือกระทำก่อน อันการปูทางสำหรับการฟื้นฟูสุขภาวะของสังคมไทยต่อไป

ส่วนเงื่อนไขที่เพียงพอต่อการขจัดเชื้อโรคร้ายเผด็จการทุนสามานย์ให้หมดไปหรือทำให้เชื้อนี้อ่อนแอจนไม่อาจทำร้ายสังคมได้อีกก็คือ การปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้านทั้งด้านปัจเจกบุคคล กลุ่ม และโครงสร้าง

การปฏิรูปด้านปัจเจกบุคคลนั้น คือ การปฏิรูปกระบวนทัศน์ ความเชื่อ ความคิด จิตสำนึกทางการเมืองและสังคมของผู้ให้เพื่อให้มีภูมิต้านทานระบบบริโภคนิยมและประชานิยมของทุนนิยมสามานย์

การปฏิรูปด้านกลุ่มคือ คือการส่งเสริมบทบาทและกระบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มอาชีพ ชนชาติ ชนชั้น เพศ วัย และกลุ่มที่ด้อยโอกาสต่างๆให้เป็นมีอำนาจและเข้าถึงอำนาจทางการเมืองอย่างเท่าเทียมกัน รวมทั้ง การส่งเสริมและสร้างเครือข่ายภาคประชาสังคมให้เข้มแข็ง

ส่วนการปฏิรูปโครงสร้าง หมายถึง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การบริหาร และกระบวนการยุติธรรม ในรูปแบบใหม่ที่จะทำให้เกิดบริบทในการเอื้อต่อการเติบโตของคุณธรรม ความเป็นธรรม ความเท่าเทียม และประชาธิปไตยต่อไป

สังคมไทยมีโอกาสหายป่วยได้ หากขจัดทักษิณซินโดรม และเชื้อโรคร้ายของเผด็จการทุนนิยมสามานย์อันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สังคมเจ็บป่วย


กำลังโหลดความคิดเห็น