ขับเคลื่อนขบวนการนักศึกษาประชาชน “เปลี่ยนแปลง-ปฏิรูป-ปฏิวัติ” ประเทศไทย
ปุจฉา – สงสัยบ้างไหมว่า ทำไมประเทศไทยเราดีทุกอย่าง มีทุกอย่าง แต่กลับไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า คนไทยส่วนใหญ่ต้องทนอยู่กับสภาวะที่ตีบตัน อัดอั้นตันใจ ไม่เห็นทางออก ใช้ชีวิตแบบ “ทน-ฝืน-ฝืด”ไปวันๆ ? ในที่สุด ทำให้คนไทยยืนอยู่ปลายแถวเพื่อนบ้าน ?
วิสัชนา – เพราะประเทศไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ตามแนวคิดของตัวเอง แต่เปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิดของผู้อื่น โดยผู้มี “อำนาจกำหนด” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้ความสำคัญ และหวังผลของการเปลี่ยนแปลงในวงแคบ ไม่เปิดกว้างถึงประชาชนโดยรวม
ในรัชสมัย ร.5 “อำนาจเจ้า” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ด้วยการกระชับอำนาจในรูปสมบูรณาญาสิทธิราช ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ด้วยการเชื่อมอำนาจรัฐไทยเข้ากับวงจรมหาอำนาจตะวันตก
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475โดยเฉพาะหลังปี พ.ศ.2490 “อำนาจเผด็จการทหาร” บดบังแนวคิดปฏิรูปของนักเปลี่ยนแปลงหัวใหม่อย่างสิ้นเชิง ดำเนินนโยบาย “ตามก้น” สหรัฐฯ ทำตัวเป็นลูกสมุนสหรัฐฯในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสม์
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 “อำนาจกลุ่มทุน” สามารถเบียดแทรกขึ้นมาเป็นอำนาจนำร่วมกับทหาร และหลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬฯ” 2535 อำนาจกลุ่มทุนก็ผงาดขึ้นเป็นอำนาจนำ จัดตั้งรัฐบาล ดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อกลุ่มธุรกิจการค้าเป็นสำคัญ ระบบข้าราชการ ได้ศิโรราบและสยบต่ออำนาจการเมือง ปรับตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจการเมืองอย่างรวดเร็ว
ภายหลังวิกฤติการเงินในปี พ.ศ. 2540 กลุ่มทุนใหม่นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สถาปนาอำนาจนำเหนือกลุ่มทุนดั้งเดิม และเมื่อได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2544 จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ก็ได้ใช้อำนาจในระบบเป็นเครื่องมือ บีบเค้นกลุ่มการเมืองต่างๆให้เข้าสวามิภักดิ์ รวมตัวกันเข้าเป็น “กลุ่มอำนาจทุนนิยมสามานย์” ตั้งโต๊ะแบ่งปันประเทศไทย โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นหัวโจก เชื่อมโยงผลประโยชน์ตระกูลชินวัตรเข้ากับวงจรทุนผูกขาดครอบโลก (กลุ่ม 1% ของประชากรโลก)
สรุปคือ ประเทศไทยตั้งแต่รัชสมัย ร.5 ผู้มี “อำนาจกำหนด” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะ และเหตุปัจจัยภายนอก ทั้งด้านแนวคิดและบุคลากร ขาดเป้าหมายระยะยาว ไม่ได้ถือเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในระหว่างนั้น ประชาชนโดยขบวนการประชาชนรูปแบบต่างๆ ได้เคลื่อนไหวแสดงเจตนารมณ์ที่จะเข้ามีส่วนร่วมเป็น “เจ้าภาพ” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยตามแนวคิดอุดมการณ์ของตนมาเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบจากกลุ่มอำนาจใดๆในทางสร้างสรรค์ ตรงกันข้าม กลับถูกกีดกัน กำราบปราบปราม ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ขบวนการประชาชนที่ปรากฏตัวออกมาในแต่ละระยะๆ ที่สำคัญก็เช่น ขบวนการเสรีไทย และขบวนการเรียกร้องสันติภาพภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การชุมนุมเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2500 การเรียกร้องประชาธิปไตยในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 การประท้วงอำนาจทหารในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬฯ 2535 และล่าสุด คือการชุมนุมประท้วงการทุจริตโกงกินชนิด “โคตรโกง-โกงทั้งโคตร”ของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณตั้งแต่ปลายปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งบัดนี้ขบวนการประชาชนฯได้พัฒนาเป็น “อำนาจประชาชน” ที่เผชิญหน้าโดยตรงกับ “อำนาจทักษิณ” แล้ว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ขบวนการประชาชนฯ นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้พัฒนาเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว ในท่ามกลางการต่อสู้กับอำนาจการเมืองกลุ่มทุน ทั้งกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ และกลุ่มทุนดั้งเดิมที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทน
ณ บัดนี้ ด้วยทิศทางและเป้าหมายที่ถูกต้องชัดเจน ขบวนการประชาชนฯ ได้ผนึกกันเข้าเป็น “อำนาจประชาชน” อย่างมีการจัดตั้ง โดยมีสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(สภาการเมืองประชาชน)เป็นแกนกลาง แสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ตามเจตนารมย์ร่วมกันของประชาชนไทย
ณ วันนี้ การต่อสู้ช่วงชิงความเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ระหว่าง “อำนาจประชาชน” กับ “อำนาจทักษิณ” ได้ก้าวมาถึงขั้น “เผชิญหน้า” กันแล้ว โดยด้านหนึ่ง กลุ่มอำนาจทักษิณได้กลืนกินกลไกอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จ รุกตีกระหน่ำกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างได้ผล ยึดครองเสียงข้างมากในสภาฯแบบเบ็ดเสร็จ ผ่านกฎหมายต่างๆได้ตามอำเภอใจ คู่ขนานไปกับการทุจริตโกงกินอย่างมโหฬาร ขณะที่ “อำนาจประชาชน” ได้พัฒนาสู่ความเป็นองค์กรจัดตั้งระดับชาติ นาม “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” รวมองค์กรต่างๆทั่วประเทศ 77 จังหวัดเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน สร้างความพร้อมเบื้องต้นให้แก่การรุกทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ในโอกาสและเงื่อนไขที่อำนวย ที่จะนำไปสู่การเผด็จศึกระบอบทักษิณได้ในที่สุด
พฤติกรรมของกลุ่มอำนาจทักษิณนับวันสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งแก่คนไทยผู้รักความถูกต้องเป็นธรรม จนกระทั่ง “ทนไม่ไหว” ฮือต้านเป็นระลอกๆ และทยอยรวมกันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ “อำนาจประชาชน” ในรูปแบบต่างๆ ที่โดดเด่นก็คือ “เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” นำโดยคณะนักศึกษามหาวิทยาลัยรามกำแหงและนักเรียนอาชีวะฯ ยืนหยัดปักหลักชุมนุมกันอยู่ที่แยกอุรุพงษ์ ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2556 อันเป็นจุดรวมพลสำคัญจุดหนึ่งในยุทธศาสตร์การต่อสู้ของ “อำนาจประชาชน” กับ “อำนาจทักษิณ” ในขั้นแตกหัก
ทั้งนี้ การพัฒนาเติบใหญ่ของขบวนการประชาชนฯ จนกระทั่งผงาดขึ้นมาเป็นอำนาจต้านยันการรุกกินประเทศไทยของอำนาจทักษิณได้ ดังเช่นที่กำลังเป็นอยู่นี้ ที่สำคัญเพราะความ “ตื่นรู้” และ “เดินถูกทาง” มาโดยตลอด ด้วยการยืนหยัดปฏิบัติ “ 3 ธรรม” ได้แก่ 1.เข้าถึงธรรม เข้าถึงความจริง ในระดับแก่นแท้ และกฎเกณฑ์ที่กำหนดความเป็นไปของสังคมไทยและสังคมโลก อีกนัยหนึ่งก็คือการเข้าถึง “กฎภววิสัย” 2. เดินทางธรรม กำหนดแนวคิด เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง อีกนัยหนึ่งคือการปรับความพยายามทาง “อัตวิสัย”ของเราให้สอดคล้องกับ “กฎภววิสัย” และ 3. สร้างทางธรรม ด้วยการดำเนินการปฏิบัติอย่างพลิกแพลง เสริมสร้างและนวัตกรรม/คิดประดิษฐ์รูปแบบวิธีการใหม่ๆ ที่นำไปสู่ความสำเร็จและชัยชนะได้ในทุกขั้นตอน
ผลปรากฏออกมาว่า ขบวนการประชาชนฯสามารถบรรลุสู่ความเป็น “ 3เอกภาพ” ได้ในที่สุด อันประกอบด้วย 1.เอกภาพทางความคิด เกิดความเข้าใจตรงกันในสถานการณ์โดยรวม รู้เขารู้เรา มีเป้าหมายร่วมกันในการต่อสู้ 2. เอกภาพทางการเมือง ร่วมกันทุกฝ่าย โค่นล้มระบอบทักษิณ ปฏิรูปประเทศไทย และ 3. เอกภาพทางการจัดตั้ง ร่วมกันจัดตั้งสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย อันเป็นองค์กรร่วมของขบวนการประชาชนฯที่ประกอบไปด้วยตัวแทนกลุ่มองค์กรมวลชนต่างๆจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ อันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองประเทศไทย
โดยสรุปคือ “อำนาจประชาชน” ที่จะเป็นอำนาจกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศไทย ด้วยการต่อสู้เอาชนะ “อำนาจทักษิณ”ได้ในที่สุด ได้พัฒนาตัวเองมาตามแนวทางที่สอดคล้องกับกฎการพัฒนาของตัวเองมาตั้งแต่เริ่มต้น นั่นคือ เริ่มจาก “จุดเทียนปัญญา” มาเป็น “จัดตั้งกันขึ้นมา” โดยชูธงการปฏิรูปประเทศไทย ให้ทุกฝ่ายรับได้ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้กับอำนาจทักษิณ
โดยสาระก็คือ 1.ล้มอำนาจกลุ่มทุน ปัจจุบันก็คืออำนาจกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ 2.เลิกระบบรัฐสภา ที่พิสูจน์แล้วว่า ใช้ไม่ได้กับประเทศไทย 3.สถาปนาระบบสภาประชาชน ที่สามารถรองรรับอำนาจประชาชนได้ดีที่สุด และ 4.ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ปุจฉา – สงสัยบ้างไหมว่า ทำไมประเทศไทยเราดีทุกอย่าง มีทุกอย่าง แต่กลับไม่เจริญ ไม่ก้าวหน้า คนไทยส่วนใหญ่ต้องทนอยู่กับสภาวะที่ตีบตัน อัดอั้นตันใจ ไม่เห็นทางออก ใช้ชีวิตแบบ “ทน-ฝืน-ฝืด”ไปวันๆ ? ในที่สุด ทำให้คนไทยยืนอยู่ปลายแถวเพื่อนบ้าน ?
วิสัชนา – เพราะประเทศไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง ตามแนวคิดของตัวเอง แต่เปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิดของผู้อื่น โดยผู้มี “อำนาจกำหนด” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงให้ความสำคัญ และหวังผลของการเปลี่ยนแปลงในวงแคบ ไม่เปิดกว้างถึงประชาชนโดยรวม
ในรัชสมัย ร.5 “อำนาจเจ้า” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ด้วยการกระชับอำนาจในรูปสมบูรณาญาสิทธิราช ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ด้วยการเชื่อมอำนาจรัฐไทยเข้ากับวงจรมหาอำนาจตะวันตก
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475โดยเฉพาะหลังปี พ.ศ.2490 “อำนาจเผด็จการทหาร” บดบังแนวคิดปฏิรูปของนักเปลี่ยนแปลงหัวใหม่อย่างสิ้นเชิง ดำเนินนโยบาย “ตามก้น” สหรัฐฯ ทำตัวเป็นลูกสมุนสหรัฐฯในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสม์
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 “อำนาจกลุ่มทุน” สามารถเบียดแทรกขึ้นมาเป็นอำนาจนำร่วมกับทหาร และหลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬฯ” 2535 อำนาจกลุ่มทุนก็ผงาดขึ้นเป็นอำนาจนำ จัดตั้งรัฐบาล ดำเนินนโยบายที่เอื้อต่อกลุ่มธุรกิจการค้าเป็นสำคัญ ระบบข้าราชการ ได้ศิโรราบและสยบต่ออำนาจการเมือง ปรับตัวเองเข้าเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจการเมืองอย่างรวดเร็ว
ภายหลังวิกฤติการเงินในปี พ.ศ. 2540 กลุ่มทุนใหม่นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้สถาปนาอำนาจนำเหนือกลุ่มทุนดั้งเดิม และเมื่อได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2544 จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ ก็ได้ใช้อำนาจในระบบเป็นเครื่องมือ บีบเค้นกลุ่มการเมืองต่างๆให้เข้าสวามิภักดิ์ รวมตัวกันเข้าเป็น “กลุ่มอำนาจทุนนิยมสามานย์” ตั้งโต๊ะแบ่งปันประเทศไทย โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นหัวโจก เชื่อมโยงผลประโยชน์ตระกูลชินวัตรเข้ากับวงจรทุนผูกขาดครอบโลก (กลุ่ม 1% ของประชากรโลก)
สรุปคือ ประเทศไทยตั้งแต่รัชสมัย ร.5 ผู้มี “อำนาจกำหนด” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะ และเหตุปัจจัยภายนอก ทั้งด้านแนวคิดและบุคลากร ขาดเป้าหมายระยะยาว ไม่ได้ถือเอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในระหว่างนั้น ประชาชนโดยขบวนการประชาชนรูปแบบต่างๆ ได้เคลื่อนไหวแสดงเจตนารมณ์ที่จะเข้ามีส่วนร่วมเป็น “เจ้าภาพ” ขับเคลื่อนกระบวนการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยตามแนวคิดอุดมการณ์ของตนมาเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ได้รับการสนองตอบจากกลุ่มอำนาจใดๆในทางสร้างสรรค์ ตรงกันข้าม กลับถูกกีดกัน กำราบปราบปราม ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ขบวนการประชาชนที่ปรากฏตัวออกมาในแต่ละระยะๆ ที่สำคัญก็เช่น ขบวนการเสรีไทย และขบวนการเรียกร้องสันติภาพภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การชุมนุมเดินขบวนประท้วงการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2500 การเรียกร้องประชาธิปไตยในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 การประท้วงอำนาจทหารในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬฯ 2535 และล่าสุด คือการชุมนุมประท้วงการทุจริตโกงกินชนิด “โคตรโกง-โกงทั้งโคตร”ของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณตั้งแต่ปลายปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งบัดนี้ขบวนการประชาชนฯได้พัฒนาเป็น “อำนาจประชาชน” ที่เผชิญหน้าโดยตรงกับ “อำนาจทักษิณ” แล้ว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 ขบวนการประชาชนฯ นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้พัฒนาเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว ในท่ามกลางการต่อสู้กับอำนาจการเมืองกลุ่มทุน ทั้งกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ และกลุ่มทุนดั้งเดิมที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทน
ณ บัดนี้ ด้วยทิศทางและเป้าหมายที่ถูกต้องชัดเจน ขบวนการประชาชนฯ ได้ผนึกกันเข้าเป็น “อำนาจประชาชน” อย่างมีการจัดตั้ง โดยมีสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(สภาการเมืองประชาชน)เป็นแกนกลาง แสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ตามเจตนารมย์ร่วมกันของประชาชนไทย
ณ วันนี้ การต่อสู้ช่วงชิงความเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนินการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ระหว่าง “อำนาจประชาชน” กับ “อำนาจทักษิณ” ได้ก้าวมาถึงขั้น “เผชิญหน้า” กันแล้ว โดยด้านหนึ่ง กลุ่มอำนาจทักษิณได้กลืนกินกลไกอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จ รุกตีกระหน่ำกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างได้ผล ยึดครองเสียงข้างมากในสภาฯแบบเบ็ดเสร็จ ผ่านกฎหมายต่างๆได้ตามอำเภอใจ คู่ขนานไปกับการทุจริตโกงกินอย่างมโหฬาร ขณะที่ “อำนาจประชาชน” ได้พัฒนาสู่ความเป็นองค์กรจัดตั้งระดับชาติ นาม “สภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” รวมองค์กรต่างๆทั่วประเทศ 77 จังหวัดเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน สร้างความพร้อมเบื้องต้นให้แก่การรุกทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ในโอกาสและเงื่อนไขที่อำนวย ที่จะนำไปสู่การเผด็จศึกระบอบทักษิณได้ในที่สุด
พฤติกรรมของกลุ่มอำนาจทักษิณนับวันสร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งแก่คนไทยผู้รักความถูกต้องเป็นธรรม จนกระทั่ง “ทนไม่ไหว” ฮือต้านเป็นระลอกๆ และทยอยรวมกันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ “อำนาจประชาชน” ในรูปแบบต่างๆ ที่โดดเด่นก็คือ “เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” นำโดยคณะนักศึกษามหาวิทยาลัยรามกำแหงและนักเรียนอาชีวะฯ ยืนหยัดปักหลักชุมนุมกันอยู่ที่แยกอุรุพงษ์ ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ มาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2556 อันเป็นจุดรวมพลสำคัญจุดหนึ่งในยุทธศาสตร์การต่อสู้ของ “อำนาจประชาชน” กับ “อำนาจทักษิณ” ในขั้นแตกหัก
ทั้งนี้ การพัฒนาเติบใหญ่ของขบวนการประชาชนฯ จนกระทั่งผงาดขึ้นมาเป็นอำนาจต้านยันการรุกกินประเทศไทยของอำนาจทักษิณได้ ดังเช่นที่กำลังเป็นอยู่นี้ ที่สำคัญเพราะความ “ตื่นรู้” และ “เดินถูกทาง” มาโดยตลอด ด้วยการยืนหยัดปฏิบัติ “ 3 ธรรม” ได้แก่ 1.เข้าถึงธรรม เข้าถึงความจริง ในระดับแก่นแท้ และกฎเกณฑ์ที่กำหนดความเป็นไปของสังคมไทยและสังคมโลก อีกนัยหนึ่งก็คือการเข้าถึง “กฎภววิสัย” 2. เดินทางธรรม กำหนดแนวคิด เป้าหมาย ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง อีกนัยหนึ่งคือการปรับความพยายามทาง “อัตวิสัย”ของเราให้สอดคล้องกับ “กฎภววิสัย” และ 3. สร้างทางธรรม ด้วยการดำเนินการปฏิบัติอย่างพลิกแพลง เสริมสร้างและนวัตกรรม/คิดประดิษฐ์รูปแบบวิธีการใหม่ๆ ที่นำไปสู่ความสำเร็จและชัยชนะได้ในทุกขั้นตอน
ผลปรากฏออกมาว่า ขบวนการประชาชนฯสามารถบรรลุสู่ความเป็น “ 3เอกภาพ” ได้ในที่สุด อันประกอบด้วย 1.เอกภาพทางความคิด เกิดความเข้าใจตรงกันในสถานการณ์โดยรวม รู้เขารู้เรา มีเป้าหมายร่วมกันในการต่อสู้ 2. เอกภาพทางการเมือง ร่วมกันทุกฝ่าย โค่นล้มระบอบทักษิณ ปฏิรูปประเทศไทย และ 3. เอกภาพทางการจัดตั้ง ร่วมกันจัดตั้งสภาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย อันเป็นองค์กรร่วมของขบวนการประชาชนฯที่ประกอบไปด้วยตัวแทนกลุ่มองค์กรมวลชนต่างๆจากทุกจังหวัดทั่วประเทศ อันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองประเทศไทย
โดยสรุปคือ “อำนาจประชาชน” ที่จะเป็นอำนาจกำหนดทิศทางอนาคตของประเทศไทย ด้วยการต่อสู้เอาชนะ “อำนาจทักษิณ”ได้ในที่สุด ได้พัฒนาตัวเองมาตามแนวทางที่สอดคล้องกับกฎการพัฒนาของตัวเองมาตั้งแต่เริ่มต้น นั่นคือ เริ่มจาก “จุดเทียนปัญญา” มาเป็น “จัดตั้งกันขึ้นมา” โดยชูธงการปฏิรูปประเทศไทย ให้ทุกฝ่ายรับได้ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้กับอำนาจทักษิณ
โดยสาระก็คือ 1.ล้มอำนาจกลุ่มทุน ปัจจุบันก็คืออำนาจกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ 2.เลิกระบบรัฐสภา ที่พิสูจน์แล้วว่า ใช้ไม่ได้กับประเทศไทย 3.สถาปนาระบบสภาประชาชน ที่สามารถรองรรับอำนาจประชาชนได้ดีที่สุด และ 4.ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข